หนึ่งร้อยยี่สิบสอง

เผชิญหน้ากัน

หลังจากได้ฟังคำสารภาพของตันหงอี้ เสวี่ยเจียเยว่ได้แต่สบถในใจว่าเหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ตีเขาให้ตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น

เธอคิดว่าวันนี้ช่างมีแต่เรื่องแย่ๆ ก่อนหน้านี้ก็เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งที่กลายเป็นกระดาษหน้าต่างมีรูโหว่ ถูกเขากดกับกำแพงเพื่อจูบอย่างดูดดื่ม และตอนนี้ยังถูกตันหงอี้สารภาพรักบนท้องถนนอีก

อีกอย่าง… ตันหงอี้ชอบเธอตั้งแต่เมื่อไร แล้วเขาชอบเธอเพราะเหตุใด พวกเขาทั้งสองเพิ่งพบหน้ากันกี่ครั้งเอง ทุกครั้งที่ได้พบกันก็มักจะปะทะฝีปากอยู่ร่ำไปไม่ใช่หรือ

อย่าบอกนะว่าเพราะตันหงอี้ชอบเธอ ถึงได้หาเรื่องทะเลาะกับเธอทุกครั้งที่ได้พบกัน นี่มันเรียกว่าชอบแบบไหนกัน

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเธอควรจะทำสีหน้าอย่างไร และไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใดกับเขาดี เธอจึงทำได้เพียงมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหลังให้ชายหนุ่มแล้วเดินต่อ

ตอนนี้ในหัวใจของเธอสับสนยิ่งนัก เธออยากอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง

แต่ตันหงอี้กลับยังไล่ตามมาเช่นเคย และเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่ไม่เลิก “เจ้าจะไปไหน”

เสวี่ยเจียเยว่เริ่มรู้สึกว่าเธอมีอาการปวดศีรษะเสียแล้ว

“ข้าจะกลับเรือน” เธอตอบอย่างเย็นชา “พี่ชายข้าอยู่ที่เรือน เจ้าจะตามข้าไปหรือ”

แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่ได้บอกเรื่องที่ตันหงอี้เอ่ยกับเธอเมื่อครู่ แต่ตอนที่เขาได้ยินจะต้องเดือดดาลจนแทบลุกเป็นไฟแน่ และคงไม่ได้พูดดีๆ หรือมีท่าทีดีๆ กับอีกฝ่ายนัก ตันหงอี้ไม่กลัวหรืออย่างไร

ทว่าคิดไม่ถึงว่าตันหงอี้จะไม่กลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังบอกออกมาอีก “หลายวันที่ผ่านมานี้ ข้าไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว แม้ว่าเมื่อก่อนข้ากับพี่ชายของเจ้าจะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่พี่ชายก็เหมือนพ่อ งานแต่งงานของเจ้าอย่างไรก็ต้องได้รับการยินยอมจากเขา ดังนั้นข้าจึงอยากทำดีเมื่อเจอหน้าเขา หากเขาเห็นความจริงใจที่ข้ามีต่อเจ้า ข้าว่าสุดท้ายเขาก็ต้องยอมให้พวกเราสองคนแต่งงานกันอย่างแน่นอน”

เมื่อชายหนุ่มพูดจบก็พบว่าเสวี่ยเจียเยว่หยุดกะทันหันแล้วหันหน้ามามองเขา สีหน้านั้นดูแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ทำให้เขารู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบแน่นชั่วขณะ ก่อนจะรีบเอ่ยถาม

“มีอันใดหรือ ข้าพูดผิดอย่างนั้นหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องคิดอีกแล้วละ พี่ชายของข้าไม่ยอมตกลงเรื่องที่เจ้าว่ามาแน่นอน”

“ทำไมล่ะ” ตันหงอี้เอ่ยถาม “หรือว่าข้ายังดีไม่พอ พี่ชายของเจ้าอยากจะเลือกสามีแบบไหนให้เจ้า ขอเพียงเขาบอกมา ข้าจะพยายามทำอย่างสุดกำลัง”

ตันหงอี้คงไม่มีวันทำเช่นนั้นได้ เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากให้เธอแต่งงานกับใคร แต่อยากให้แต่งงานกับเขาเพียงผู้เดียว

เมื่อคิดเรื่องนี้เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

แต่ถึงจะสับสนอย่างไร ก็ยังต้องปฏิเสธดอกท้อที่อยู่ตรงหน้านี้ คิดได้ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงบอกตันหงอี้อย่างละมุนละม่อม

“คุณชายตัน เจ้าเป็นคนดีมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกัน ข้าไม่อาจแต่งงานกับเจ้าได้ ต่อไปเจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้กับข้าอีก”

แม้เสวี่ยเจียเยว่จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ตันหงอี้ถึงได้ชอบเธอ ความรู้สึกนี้มีความจริงอยู่กี่มากน้อย แต่ดอกท้อดอกนี้… เธอไม่เคยคิดอะไรเกินเลยทั้งนั้น จึงต้องปฏิเสธโดยไม่มีข้อยกเว้น และเมื่อปฏิเสธแล้วเธอก็เดินต่อไป

ตันหงอี้ถูกปฏิเสธตรงๆ เช่นนั้นก็ยืนอึ้งอยู่กับที่ไปชั่วขณะ

แต่ถึงอย่างไรทุกครั้งที่ได้พบกับเสวี่ยเจียเยว่ในช่วงที่ผ่านมานี้ เด็กสาวก็พูดไม่ดีใส่เขาจนชินแล้ว กล่าวได้ว่าตันหงอี้สามารถต้านทานแรงกดดันได้มากขึ้น อีกทั้งในใจของเขายังชอบเสวี่ยเจียเยว่เป็นอย่างมาก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้แต่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบวิ่งตามไปพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมาอีก “ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าเป็นคนดี ไยเจ้าถึงไม่ชอบข้าเล่า”

เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่กล่าวคำใด เขาก็รีบเอ่ยต่อ “เจ้ายังไม่ต้องตอบข้าตอนนี้ก็ได้ ข้ารอเจ้าได้ ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะชอบข้า”

“เจ้าไม่ต้องรอหรอก ข้าไม่มีวันชอบเจ้า” เสวี่ยเจียเยว่ตัดสินใจที่จะตัดปัญหายุ่งเหยิงตรงหน้าออกไป หลังจากที่กลับไปถึงเรือนจะได้มีสมาธิคิดหาวิธีจัดการกับความสัมพันธ์ของเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

“แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา ข้าโมโหทุกครั้งที่เจอเจ้า จนอยากจะกระโดดถีบเจ้า เจ้าจะชอบข้าทำไม ในใต้หล้านี้ยังมีสตรีอีกมากมาย เจ้าไปชอบพวกนางเถอะ”

ตันหงอี้ได้ยินเช่นนั้นกลับพูดอย่างจริงจัง “ต่อให้เจ้าโมโหร้ายกว่านี้ หรือทะเลาะกับข้าทุกครั้งที่พบกัน ในใจของข้าก็ยังชอบเจ้า ความจริงแล้วการที่เจ้าด่าข้านั้น ข้า… ข้ามีความสุขมาก”

เสวี่ยเจียเยว่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีใครตกหลุมรักคนคนหนึ่งเพราะถูกด่า

เสวี่ยเจียเยว่อับจนถ้อยคำจะพูดแล้วจริงๆ เธอไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธตันหงอี้อย่างไร ที่สำคัญคือ… ไม่ว่าเธอจะปฏิเสธอย่างไร เขาก็โต้แย้งกลับมาทุกครั้ง และยังสารภาพรักกับเธออีก

การสนทนากับคนฉลาดจะอึดอัดใจเช่นนี้หรือไม่ ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเธอเจ็บปวดใจจริงๆ

เธอยังคงไม่กล่าวคำใด เอาแต่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยคิดว่าตันหงอี้จะเรียนรู้ว่า เมื่อเห็นเธอไม่มีอารมณ์อยากเสวนากับใคร ก็ควรปล่อยให้เธอได้อยู่เงียบๆ คนเดียว

แต่ตันหงอี้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะทำความเข้าใจกับคำพูดของสตรี ดังนั้นเขาจึงตามเสวี่ยเจียเยว่ไปเรื่อยๆ ทั้งยังพูดบางอย่างเพื่อทำให้เด็กสาวมีความสุข และถือโอกาสแสดงให้เห็นว่าหากเสวี่ยเจียเยว่แต่งงานกับเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาจะดีกับอีกฝ่าย และทำให้เด็กสาวมีความสุขในทุกๆ วัน

ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็เริ่มทนไม่ได้ จึงตะคอกใส่เขาเสียงดัง “เจ้าไม่ต้องตามข้ามาแล้ว! ข้าขออยู่เงียบๆ คนเดียวได้หรือไม่ ถือเสียว่าข้าขอเถอะ”

คุณชายตันผู้เข้าใจคำพูดของหญิงงามรีบพยักหน้าทันที “ได้… ได้… ข้าไม่พูดแล้ว ข้าจะไม่พูดสักคำเลย เจ้าอยู่คนเดียวเงียบๆ ได้ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ แต่ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ค่อยวางใจ จึงอยากส่งเจ้าให้ถึงเรือนเสียก่อน พอข้าส่งเจ้าแล้วจะรีบจากไปทันที”

เมื่อกล่าวจบ เพื่อแสดงความมุ่งมั่น เขาจึงยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเดินตามเสวี่ยเจียเยว่ไม่ห่าง

เสวี่ยเจียเยว่หงุดหงิดจนอยากต่อยเขา แต่สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงถลึงตามองตันหงอี้อย่างดุร้ายเท่านั้น ก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินหน้าต่อ

ไม่ใช่ว่าเธออยากกลับเรือนในยามนี้ เพราะกลัวว่าตันหงอี้จะไปพบกับเสวี่ยหยวนจิ้งจริงๆ แต่ถ้าไม่กลับเธอก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี จึงเดินวกไปวนมา สุดท้ายก็เลือกที่จะเดินกลับเรือน

ตันหงอี้เดินตามเสวี่ยเจียเยว่ไม่ห่าง แต่โชคดีที่เขาไม่พูดอะไรสักคำ เธอจึงรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบสงบอย่างที่ต้องการ

เธอคิดในใจว่าเมื่อไปถึงหน้าเรือน จะหันกลับไปบอกให้ตันหงอี้กลับไป เขาคงไม่กล้าตามเธอเข้าไปในเรือนหรอกกระมัง วันนี้ป้าเฝิงและลูกๆ ของนางต่างก็ไปดูการแข่งเรือมังกรที่แม่น้ำ หากเขาเข้าไปกับเธอ และเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาเห็นชายหญิงอยู่ในเรือนกันสองต่อสองแล้วละก็…

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากจะคิดภาพสิ่งที่จะเกิดขึ้น

เมื่อเดินมาใกล้จะถึงประตูลานเรือน เธอก็หันกลับไปพูดกับตันหงอี้ “ขอบใจเจ้ามากที่มาส่งข้า ตอนนี้ข้าถึงเรือนแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”

ตันหงอี้ยังไม่อยากจากไป เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะได้อยู่กับเสวี่ยเจียเยว่ตามลำพัง จะดีกว่ามากหากได้อยู่กับอีกฝ่ายต่อสักพัก

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเดินจนเหนื่อยแล้ว เจ้าจะไม่เชิญข้าเข้าไปดื่มชาที่เรือนของเจ้าก่อนหรือ ไม่มีชาก็ไม่เป็นไร น้ำก็ได้ ถ้าไม่มีน้ำร้อน น้ำเย็นก็ได้”

ตราบใดที่เขาได้อยู่กับเสวี่ยเจียเยว่ต่ออีกสักพัก ไม่ว่าน้ำอะไรเขาก็ยอมดื่ม

เสวี่ยเจียเยว่แหงนหน้ามองฟ้าโดยไม่กล่าวคำใด เหตุใดเธอต้องฟังคำพูดเมื่อครู่นี้ของตันหงอี้ด้วย หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกคงไม่มีทางปล่อยให้เขาเดินตามมา แต่ตอนนั้นเธอเห็นว่าเขาดื้อรั้น ต่อให้ปฏิเสธอย่างไรเขาก็ต้องตามมาอยู่ดี

ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่ถูกเขารบเร้าทำให้อับจนปัญญา แต่ในใจของเธอรู้ดีว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจให้ตันหงอี้อยู่ในเรือนกับเธอสองต่อสองได้ ทางที่ดีควรจะไล่เขากลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นหากเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาพบว่าพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน…

เธอไม่อยากจะคิดถึงเหตุการณ์ต่อไปเลย

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เสวี่ยเจียเยว่ก็หยิบก้อนเงินออกมาจากถุงเงินของเธอแล้วส่งให้เขา ก่อนจะชี้ไปที่ร้านน้ำชาพลางกล่าว

“ร้านน้ำชาอยู่ตรงนั้น เจ้าเห็นหรือไม่ ข้าให้เงินนี้แก่เจ้า ถือเสียว่าข้าเลี้ยงน้ำชาเจ้า เจ้าไปที่นั่นเองแล้วกัน อยากจะดื่มหรือกินอะไรก็ตามใจเจ้าเลย ดีหรือไม่”

ตันหงอี้ไม่รับเงินมา ทั้งยังเอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้ามีเงิน อีกอย่าง… ที่เรือนข้าก็มีชามาก แม้แต่ร้านน้ำชาที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยางก็ยังสู้ชาที่เรือนข้าไม่ได้ ข้าไม่ไป ข้าแค่อยากดื่มน้ำในเรือนของเจ้าเท่านั้น”

ในใจของเสวี่ยเจียเยว่เต็มไปด้วยความปั่นป่วน ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับอย่างจนใจ

ไม่ว่าจะพูดอะไร เขาเป็นต้องเถียงเธอกลับทุกที เขาจะฟังเธอบ้างไม่ได้หรือ ตันหงอี้คิดจะให้เธอโมโหจนตายเลยหรืออย่างไร

หน้าอกของเสวี่ยเจียเยว่ขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการหายใจแรงขึ้น ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะข่มกลั้นอารมณ์เดือดดาลที่กำลังจะทะลักออกมา ในที่สุดเธอก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าจะเข้าไปในเรือนของข้านั้นย่อมไม่เหมาะ กลับไปดื่มชาดีๆ ของเจ้าเถอะ”

หากมองดีๆ จะเห็นได้ว่ารอยยิ้มนั้นดูฝืนใจยิ่งนัก อีกทั้งใบหน้าอันงดงามของเธอยังดูตึงเครียด มองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังโกรธมาก

ทว่าตันหงอี้กลับดูไม่ออกว่าเสวี่ยเจียเยว่ใกล้จะระเบิดความโกรธออกมาเต็มที เขายังคงพูดรบเร้าไม่เลิก “มีสิ่งใดไม่เหมาะ? หรือเป็นเพราะว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในเรือน ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอยากจะทำดีเมื่อเจอหน้าเขา และมีเรื่องอยากพูดกับเขาพอดี แม้ว่าการสอบในครั้งนี้เขาจะได้อันดับหนึ่งและกดอันดับของข้าอีกครั้ง แต่หลังจากนี้สามปี เขาจะไม่สามารถกดอันดับของข้าได้อีก ข้าจะเอาชนะเขาให้ได้สักครั้ง”

ดูเหมือนว่าความปรารถนาที่จะเอาชนะเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงอยู่ แต่เรื่องนั้นเกี่ยวอันใดกับเธอ เสวี่ยเจียเยว่แค่ไม่อยากให้ตันหงอี้ตามมาเท่านั้น อยากเดินกลับเงียบๆ คนเดียว เพื่อปรับอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงในใจให้สงบลง และอยากไตร่ตรองเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เหตุใดถึงได้ยากเย็นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งที่เธอพูดออกไปอย่างชัดเจนแล้ว ทำไมตันหงอี้ถึงไม่เข้าใจ ยังตามมายุ่งวุ่นวายกับเธอไม่เลิก

เสวี่ยเจียเยว่รู้ตัวแล้วว่าไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เธอเดือดดาลจนใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะกัดฟันกล่าว “ตันหงอี้ เจ้าจะ…”

เมื่อสายตาของเธอมองเห็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังตันหงอี้ เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกราวกับมีใครสาดน้ำแข็งใส่ใบหน้า ชั่วขณะนั้นร่างของเธอแทบทรุดลง และไม่เพียงปิดปากเงียบ แต่ใบหน้าที่เคยแดงก่ำก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดแทน

ก่อนหน้านี้ตันหงอี้เห็นท่าทางเสวี่ยเจียเยว่เดือดดาลเป็นอย่างมาก แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นหวาดกลัวเช่นนี้ อีกทั้งสายตายังมองไปด้านหลังของเขา เขาจึงหันกลับไปมองด้วยความสงสัย

เขาเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลนัก ใบหน้าอีกฝ่ายมืดครึ้มและเย็นชาราวกับพายุฝนกำลังจะโหมกระหน่ำลงมาก็ไม่ปาน ช่างเป็นเหมือนกับเมฆดำที่จะบดขยี้ทั้งเมืองให้แหลกเป็นผุยผง