“ซีเอ๋อร์ เจ้ารังเกียจข้าขนาดนั้นเลยหรือ? พวกเราสนิทกันดั่งพี่สาวน้องสาวแท้ ๆ เหตุใดมาวันนี้ถึงได้ห่างเหินกันเสียแล้วล่ะ ?” มู่หรูเหยียนน้ำตาคลอหน่วย จ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความขุ่นข้องหมองใจ
เหล่าข้ารับใช้ที่คุกเข่าอยู่ตรงประตู ล้วนแต่มองมู่เฉียนซีอย่างโกรธเคือง
มู่เฉียนซีมิใช่เป็นเพราะว่ามีบิดาแสนประเสริฐถึงได้มีตำแหน่งสูงส่งในวันนี้หรอกหรือ? นางแทบจะเทียบไม่ได้เลยกับคุณหนูใหญ่ มาวันนี้กลับกล้ามาทำให้คุณหนูใหญ่ที่เป็นดั่งนางฟ้านางสวรรค์ของพวกเขาช้ำใจอีก
ช่างชั่วช้าเสียจริง!
มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก เกรงว่าในสายตาของคนพวกนี้ นางคงได้กลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในเมื่อพวกเขาคิดว่านางชั่วช้า… เช่นนั้นก็ใจร้ายให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน!
“มานี่สิ ยังมัวรอช้าอะไรอยู่อีก ? ลากตัวพวกมันออกไปให้หมด! โบยคนละห้าสิบไม้ ข้ามองเห็นแววตาของพวกมันทุกคนช่างแข็งกร้าวนัก สมควรโดนแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
“ซีเอ๋อร์ อย่า อย่าเลย…”
มู่หรูเหยียนได้ฟังวาจามู่เฉียนซี แววตานางเจือความวิตกกังวล นางยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อมู่เฉียนซีด้วยความตระหนกตกใจ ส่งสายตาเว้าวอนหวังให้ยกเลิกคำสั่ง ‘อันโหดร้าย’
“อย่ามาแตะข้า ไสหัวไปซะ!”
มู่เฉียนซีสะบัดมือ ฉับพลันทันใดข้อเท้าของมู่หรูเหยียนพลิก ทำให้นางล้มลงทั้งตัว
“โอ๊ย!” มู่หรูเหยียนร้องลั่น ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางซีดขาวลงเพราะความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามา นางกัดฟันเบา ๆ น้ำตานองหน้า แม้ตัวนางในเวลานี้จะได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ทว่าปากก็ยังไม่ลืมที่จะขอร้องไม่ให้ลงโทษพวกข้ารับใช้
“ซีเอ๋อร์ อย่าเลย พวกเขา…”
กล่าวยังไม่ทันจบ ท่าทางที่นางร้องไห้เหมือนดอกแพร์เปียกน้ำฝนนั้นช่างน่าสงสารจับจิต
แต่เยวี่ยเจ๋อ เขาทำตัวเหมือนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่ได้มีปฏิกริยาใด ๆ แม้แต่น้อย
ถึงแม้หญิงสาวผู้นี้จะหน้าตาเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ แต่ว่าสำหรับเยวี่ยเจ๋อ เขาจะมองอย่างไรก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ถึงอย่างไรพี่ใหญ่ก็ดีที่สุดในสายตาเขา
“ลากตัวออกไป” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเยียบเย็น
“ซีเอ๋อร์ เจ้าปล่อยพวกเขาไปเถอะ ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดข้าเอง ถ้าหากไม่เป็นเพราะข้า พวกเขาก็ไม่ต้องถูกลงโทษ หากซีเอ๋อร์เห็นข้าแล้วไม่สบายใจ ข้าจากไปก็ได้ แต่เจ้าอย่าทำร้ายพวกเขาเลยนะ”
มู่หรูเหยียนร้องไห้สะอึกสะอื้น สายตานางจ้องอยู่บนตัวของมู่เฉียนซี แม้ว่าน้ำตาจะนองเต็มหน้า แต่นางก็ยังคงไม่ยอมก้มหน้า แสดงให้เห็นถึงความดึงดันดื้อรั้น
พวกที่เคารพนับถือนางได้เห็นภาพเช่นนี้ใจแทบสลาย
“คุณหนูใหญ่ อย่าได้ไปขอร้องนางเลยเจ้าค่ะ ต่อให้ถูกโบยหนึ่งร้อยไม้ก็หนึ่งร้อยไม้ พกเราทนไหวเจ้าค่ะ”
“ไม่… ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ซีเอ๋อร์… ขอแค่เจ้าปล่อยพวกเขาไป เจ้าจะให้ข้าทำอะไรก็ย่อมได้” มู่หรูเหยียนมองมู่เฉียนซีอย่างคาดหวัง
มู่เฉียนซียิ้มเย็นเยือก
“ได้ นับแต่วันนี้ไป เจ้า มู่หรูเหยียนถูกลบชื่อออกจากตระกูลมู่แล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีความสัมพันธ์ใดข้องเกี่ยวกับตระกูลมู่ของข้าอีกแม้เพียงเล็กน้อย จากวันนี้ไปจงหายไปจากหน้าของข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
มู่หรูอวิ๋นสตรีชอบเสแสร้ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นร้ายจนทำให้ทุกคนขยะแขยง และยังมามู่หรูเหยียนผู้ที่เป็นดั่งดอกบัวขาวขี้แย มู่เฉียนซีสะอิดสะเอียนทั้งสองคนนี้นัก
นางรับไม่ได้!
ทันใดนั้น มู่หรูเหยียนเบิกตาโพลง ราวกับได้ฟังเข้าใจเรื่องอะไรที่ไม่น่าเชื่อก็มิปาน จากนั้นนางเม้มปากที่เวลานี้ไร้สีสัน พร้อมก้มหัวลง กล่าวด้วยเสียงขรึม
“ได้ หรูเหยียนให้สัญญา”
“ดี ในเมื่อสัญญาแล้ว เช่นนั้นก็ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” มู่เฉียนซีเอ่ยปากไล่อย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันไปโบกมือ “ส่วนคนอื่น ก็ไล่ไออกไปให้พ้นหน้าข้า!”
มู่เฉียนซีหมุนตัวไป นางขี้คร้านแม้แต่จะหันมองมู่หรูเหยียน เดินเข้าจวนตระกูลมู่ในทันใด ดูเหมือนบรรดาผู้เฒ่าตระกูลมู่จะหมดหนทางจริง ๆ จึงได้ปล่อยอาวุธสังหารร้ายแรงเช่นนี้มารับมือกับนาง
ต้องบอกก่อนว่า แผนของพวกผู้เฒ่าน่าเบื่อนั่นสำเร็จแล้ว มู่เฉียนซีถูกดอกบัวขาวดอกนี้ทำให้สะอิดสะเอียนเสียจนทนไม่ไหว
“ตระกูลมู่นี่ช่างมีควันเยอะเสียจริง ทำให้ข้าไม่มีความสุขเอาเสียเลย นับแต่วันนี้ไปข้าจะค่อย ๆ จัดการชำระล้างให้สะอาดหมดจด” มู่เฉียนซีออกคำสั่ง
“ขอรับ”
ในเวลาหนึ่ง ผู้ที่บรรดาผู้อาวุโสส่งเข้ามาเป็นหูตาในตระกูลมู่ถูกตัดปีกร่วงไปเจ็ดแปดราย
หากไม่ได้เห็นแก่… การที่พวกเขาทุกคนมีความสามารถระดับราชายอดยุทธ์ หรือยังคงต้องการเก็บพวกเขาไว้ป้องปราม ทำให้ราชวงศ์และพวกตระกูลอื่นเกรงใจ นางคงใช้ยาพิษจัดการส่งพวกเขาไปนรกนานแล้ว จะได้ไม่ต้องทนให้พวกเขามาก่อกวนจิตใจ
“ผู้นำตระกูลมู่ไล่มู่หรูเหยียนผู้มีพรสวรรค์อันดับสองออกไป มู่เฉียนซี นางบ้าไปแล้วกระมัง!”
“มู่หรูเหยียนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถบรรลุได้ถึงระดับขั้นราชาแห่งภูตในตอนอายุสามสิบปี มู่เฉียนซีมาขับไล่นางออกไปเช่นนี้ อนาคตตระกูลมู่ช่างน่าเป็นห่วงนัก”
“มู่หรูเหยียนมีดีอะไรกัน ผู้นำตระกูลมู่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนที่ประหลาดเช่นนั้น เพียงเวลาแค่ไม่ถึงสองเดือนก็สามารถฝึกฝนจนได้เป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับหกแล้ว บางที นางอาจใช้เวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็สามารถตามมู่หรูเหยียนได้ทัน”
ผู้คนในเมืองจื่อตูแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ทว่าส่วนมากจะสนับสนุนมู่หรูเหยียนเสียมากกว่า
ในใจของฝูงชนคนทั่วไป ภาพของมู่หรูเหยียนช่างไร้ที่ติเสียเหลือเกิน ไม่เหมือนกับมู่เฉียนซีที่มีแต่ประวัติมืดดำ
มู่หรูเหยียนได้รับความช่วยเหลือจากหญิงรับใช้ที่พามาถึงด้านหน้าโรงแรม ใบหน้าของนางยังคงขาวซีด แววตายังดูมึนงงราวกับว่ายังไม่ได้สติจากการกระทบกระทั่งในวันนี้ ช่างน่าปวดใจเสียจริง
“คุณหนูใหญ่ มู่เฉียนซีจะมากเกินไปแล้ว ทำให้ท่านกลับบ้านไม่ได้แม้มีบ้าน ทำได้เพียงอาศัยอยู่ที่โรงแรม”
หญิงรับใช้ของมู่หรูเหยียนพร่ำบ่นไม่พอใจ เสียงที่สาวใช้กล่าวนั้นแจ่มแจ้งเสียจนคนที่เดินผ่านไปมาได้ยินอย่างชัดเจน
“เสี่ยวเถา เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซีเอ๋อร์ เป็นข้าเองที่ทำให้นางไม่สบายใจ เดี๋ยวผ่านไปสักสองสามวัน เมื่อนางเบาโกรธลงแล้วก็จะมารับข้ากลับไปเอง”
เสียงของนางที่ส่งออกมานั้นอ่อนแรงนัก เห็นได้ชัดว่าแม้ผลกระทบของวันนี้มีไม่น้อย นางกลับยังคง ‘เชื่อ’ ในน้องสาวของนาง
ผู้คนแถวนั้นถอนหายใจ พลางกล่าวกันยกใหญ่ประมาณว่า… มู่หรูเหยียนนางโดนรังแกจนเป็นเช่นนี้ ยังจะไปแก้ต่างให้กับคนที่รังแกตนอีก คุณหนูหรูเหยียนนั้นช่างจิตใจดีเสียจริง ๆ
“เหยียนเอ๋อร์”
เสียงเรียกดังขึ้น เงาร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาจากบรรดาผู้คนที่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อผ้าหรูหรา กลิ่นอายอ่อนโยนสง่างามแผ่ออกมา ดูดีมีบารมี ความสง่างามสูงส่งแบบราชวงศ์ก็ไม่ขาด ทำให้ดวงตาของบรรดาหญิงสาวรอบข้างลุกโชนขึ้นตามกัน
มีแต่เพียงแววตาของมู่หรูเหยียนเท่านั้นที่ยังคงชัดใสเหมือนเดิม เพียงแต่ว่ามันซุกซ่อนความคับข้องใจที่ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนไว้
เสียงของนางกล่าวขึ้นแผ่วเบา “องค์รัชทายาท ท่านมาได้อย่างไร ?”
“ได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลมู่ไล่เจ้าออกมา ข้าจึงมาดูสักหน่อยว่าเจ้าต้องการให้ช่วยอะไรหรือไม่ ?” ซวนหยวนหลี่ซางยิ้ม รอยยิ้มของเขาดูโดดเด่นเจิดจ้า
“ไม่ต้องหรอก หรูเหยียนสามารถดูแลตัวเองได้ ข้าไม่รบกวนองค์รัชทายาทดีกว่า”
มู่หรูเหยียนเดินโซซัดโซเซเข้าไปในโรงแรม ปรากฏว่าเจ้าของโรงแรมกล่าวขึ้น “ขออภัย แต่ว่าคุณชายเจ๋อสั่งข้าไว้ว่าหากแม่นางหรูเหยียนเข้ามาพัก จะไม่ให้เข้าอยู่”
“ชิ!” ฝูงชนเริ่มส่งเสียง
“มู่เฉียนซีจะมากเกินไปแล้ว! ไม่ใช่ว่าจะให้ผู้หญิงตัวบางร่างน้อยไปนอนบนถนนหรอกนะ”
“นึกไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์สูงมาก แต่กลับเป็นคนเลวทรามต่ำช้า แล้งน้ำใจแม้กับพี่น้อง”
เวลานี้ร่างมู่หรูเหยียนสั่นเทาเล็กน้อย เดินถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมส่ายหัวอย่างช้า ๆ แล้วถอยหลังออกไปอีก นางไม่สามารถยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้
“หรูเหยียน ข้าห้ามมิให้เจ้าปฏิเสธข้า ในเมืองมู่เฉียนซีบังคับขู่เข็ญเจ้าเช่นนี้ เจ้ากลับไปที่จวนรัชทายาทกับข้าเถอะ”
ไม่ว่ามู่หรูเหยียนจะยืนกรานปฏิเสธเพียงใด องค์รัชทายาทก็ยังยืนกรานที่จะพาตัวนางไป
“พรวด!”
เยวี่ยซู่ดื่มชาอยู่ด้านบน เมื่อเห็นภาพฉากองค์รัชทายาทพาตัวมู่หรูเหยียนไปนั้น พลันสำลักพ่นน้ำชาออกมาคำโต
“พี่ใหญ่ นี่มันช่างเป็นเรื่องน่าสนุกเสียจริง เสียดายที่มู่เฉียนซี พี่ใหญ่ผู้นั้นของท่านไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง”
เยวี่ยเจ๋อกล่าวอย่างจนปัญญา “ช่างเถอะ พี่ใหญ่เพิ่งโดนนางทำให้สะอิดสะเอียนมา ไม่มีกะจิตกะใจจะมาดูอะไรเช่นนี้หรอก”
“แต่จะว่าไปก็แปลก ผู้มีพรสวรรค์อันดับสองของแคว้นจื่อเยี่ย เหตุใดจึงอ่อนแอปวกเปียกเช่นนั้นเล่า ?”
“พี่ใหญ่เคยบอกไว้ว่าคนเราเมื่อมองเรื่องอะไรไม่อาจมองแค่ผิวเผิน” เยวี่ยเจ๋อกล่าวอย่างจริงจัง
เยวี่ยซู่มองดูพี่ชายตน หัวเราเยาะเย้ยออกมา “ฮ่า ๆ ๆ พี่ใหญ่ ท่านเสร็จแน่ ทุกประโยคที่ท่านพูดนั้น พูดถึงแต่พี่ใหญ่ผู้นั้นของท่านหมดเลย”
.