ตอนที่ 584 วันสิ้นโลกของเมืองไร้โอหัง

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ที่หว่างคิ้วของฉินมู่ ดวงตารูปใบหลิวค่อยๆ เปิดออก จากรอยแยกนั้น แสงอันเจิดจ้าในรูปทรงปีกผีเสื้อก็เล็ดลอดออกมา

“สวยอะไรอย่างนี้!” ยายเฒ่าซีอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม แต่แม้ว่ารอยประทับรูปปีกผีเสื้อจะงดงามกุก่อง แต่มันก็ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีดซ่อนอยู่ในนั้น

คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบมันอย่างละเอียด ฉินมู่กำลังขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือของเขา และดวงตาตั้งตรงนั้นก็อ้ากว้างขึ้นทุกที ราวกับว่าหัวของฉินมู่กำลังกลายเป็นผีเสื้อตัวยักษ์

แน่ล่ะ ผีเสื้อนี้งอกเงยขึ้นมาที่หน้าผากของเขา

ทันใดนั้น คนแล่เนื้อและคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ถึงคลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดอันน่าสยดสยองกำลังจะลืมตาตื่นขึ้นมาในเหวลึกไร้บึ้ง ค่อยๆ เปิดดวงตาแดงฉานราวโลหิตของมัน!

“มันคืออะไรน่ะ”

คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และเฒ่าใบ้ คือพวกแรกที่กลับมาได้สติ หลังจากปลดปล่อยคลื่นเทวานุภาพออกไป

พวกเขาสัมผัสถึงภัยคุกคาม และร่างกายของพวกเขาตอบสนองไปโดยอัตโนมัติ ความเร็วของคนแล่เนื้อเร็วที่สุด และด้วยเสียงดังกังวาน มีดเทวะของเขาก็ลอยขึ้นไปและวนอยู่รอบหนึ่งก่อนที่หยุดค้างกลางอากาศ

เฒ่าใบ้เป็นคนถัดไป ลำแสงเพลิงลำหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากเตาหลอมข้างหลังเขา เสาเพลิงหมุนปั่นอย่างดุเดือดและแผดเผาอากาศจนแดงฉาน

เฒ่าบอดช้ากว่าหน่อย ทวนเทวะหลงถัวส่งเสียงแกรกกรากเมื่อมันสั่นเขย่าและแปลงร่างเป็นมังกรดำที่กระหวัดพันรอบกายเขา รอจู่โจมระหว่างสะสมพลังงาน

ถัดไปนั้นคือยายเฒ่าซีที่ปลดปล่อยรัศมีของนางออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงดาวมากมายพร่างพรายอยู่ข้างหลังนาง ก่อขึ้นมาเป็นเขตพลังหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภาเพื่อต่อสู้กับคลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัว!

ตูมมม!

เฒ่าเป๋หันกายวิ่งหนี วิ่งไปถึงหนึ่งร้อยลี้ เขาจึงเพิ่งตระหนักได้ ดูเหมือนว่ามันจะออกมาจากร่างกายของมู่เอ๋อ และไม่ได้มาจากสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวที่ไหน..

ชิ้ง!

ป้าซานชักมีดของเขาออกมาและมองไปรอบๆ ด้วยความแตกตื่นพลางตะโกน “สัตว์ประหลาดอยู่ที่ไหน”

เขาก็เป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง แม้ว่าวิชามีดของเขาจะไม่อาจเทียบกับยอดคนอย่างคนแล่เนื้อได้ แต่เขาก็ยังก่อตั้งแนวทางเวทมนตร์บู๊ขึ้นมา ทั้งยังสัมผัสไวต่อภยันตราย

เฒ่าหนวกและนักปรุงยามีสีหน้าว่างเปล่า โดยเฉพาะนักปรุงยาผู้ไม่รู้เลยสักนิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น

วรยุทธของเฒ่าหนวกยังฝึกปรือไม่ถึงเขตขั้นเทวะ เขาเพิ่งฝึกปรือถึงกลางสะพานเทวะ ดังนั้นเขายังไม่ได้เริ่มกระบวนการซ่อมแซมสะพานเลยด้วยซ้ำ ปัญหาของเขาก็คือเขางมงายในมรรคาแห่งภาพวาดมากเกินไป และไม่สนใจสถานการณ์ในโลกหล้า ดังนั้นปฏิกิริยาตอบสนองของเขาจึงเชื่องช้า

เมื่อสองปีก่อน นักปรุงยาได้ทลายกำแพงเป็นตายของเขาได้สำเร็จ แต่เขาก็ยังอยู่ในขั้นวรยุทธนั้น เขาไม่ได้มองวรยุทธของตนเป็นเรื่องสูงส่งอะไร ดังนั้นมันจึงเพิ่มพูนไปอย่างเชื่องช้า

ก็มีแต่หลังจากที่ฉินมู่ได้เผยแพร่เคล็ดลับสะพานนกกางเขน เคล็ดลับนำทางปริศนา และเคล็ดลับเทพข้ามพ้น เขาจึงเริ่มมุ่งมั่นกับการฝึกวิทยายุทธ แต่ทว่า เขายังคงมีสตรีมากมายล้อมรอบ จึงถ่วงรั้งให้วรยุทธของเขาช้าลงไป

ทั้งสองคนนั้นตอบสนองช้าที่สุด แต่ไม่นานพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ คลื่นกระเพื่อมนั้นที่จู่ๆ ก็พุ่งผ่านพวกเขาไปดูเหมือนจะมาจากสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสนอันกำลังค่อยๆ ฟื้นตื่นขึ้นมา กระนั้นที่มาของมันก็คือดวงตาที่สามอันฉินมู่กำลังเปิดมันอยู่!

ทุกคนมองตรงไปยังหว่างคิ้วของเขา แสงยังคงสาดส่องมาจากที่นั้น กลายเป็นงดงามตระการมากขึ้นเรื่อยๆ จากข้างในนั้น สามารถมองเห็นเงาร่างดำๆ ได้ลางๆ

มันเล็กกระจ้อยร่อยราวกับว่าเป็นทารกคนหนึ่ง แต่ทว่า มันกำลังยืนอยู่บนแสง และค่อยๆ เดินออกมาจากส่วนลึกของดวงตาที่สามของฉินมู่ ขณะที่เขาเดินมา มันก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ไม่นาน มันก็ขยายจนเต็มดวงตาที่สามของฉินมู่!

“มู่เอ๋อ หยุดขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ!” คนแล่เนื้อตะโกนด้วยเสียงอันดังราวกับเขากำลังเผชิญกับศัตรูอันร้ายกาจ “มันมีบางอย่างผิดประหลาดในดวงตาของเจ้า! รีบหยุดเสีย!”

กระนั้นมันก็สายไปเสียแล้ว เงาร่างดำนั้นได้เติมเต็มทั้งดวงตาตั้งฉากของฉินมู่ และกำลังจะเดินออกมา

“ข้ารู้สึกเต็มไปด้วยพลัง…” เสียงอันเหม่อลอยดังออกมาจากปากของฉินมู่ “พลังที่ทำลายได้ทุกสิ่ง!”

เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ผู้เฒ่าทั้งหลายแห่งหมู่บ้านพิการชราก็รู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ พวกเขาสามารถได้ยินเสียงสองเสียงพูดพร้อมๆ กัน!

พวกมันซ้อนทับกันออกมาจากปากฉินมู่

แกรกๆ!

ท้องฟ้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เมื่อแสงจากดวงตาที่สามบิดเบี้ยวห้วงอวกาศ พลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวเล็ดลอดออกมาและทำให้ห้วงมิติสั่นไหวไม่เสถียร รอยร้าวเริ่มปรากฏอย่างต่อเนื่องท่ามกลางเสียงเปรี้ยงปร้างของอสุนีบาต!

เพราะฝีมือของเผ่ามาร ห้วงอวกาศของสวรรค์ไท่หวงก็ไม่เสถียรอยู่แล้ว และสามารถถูกฉีกให้ขาดได้โดยง่าย แต่ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกวิชาเทวะทั่วไปจะสามารถทำได้ อย่างน้อยก็ต้องมีฤทธิทัดเทียมเทพเจ้า

กระนั้นพลานุภาพที่แผ่ออกมาจากดวงตาของฉินมู่ ถึงกับทำให้ห้วงอวกาศโดยรอบพังทลายลงไปอย่างต่อเนื่อง รอยร้าวมากมายแตกปริไปไกลลิบตา!

ผู้ฝึกเทวะหลายสิบคนในหอสังเกตการณ์เห็นรอยร้าวแผ่ขยายออกไป พวกเขาก็หนีไปด้วยความตื่นตระหนก กิเลนมังกรที่กำลังฝึกปรืออย่างขยันขันแข็งก็โงหัวขึ้นมาและรีบกระโดดหนีไปไกลเมื่อเขาเห็นรอยร้าวพุ่งมาหาเขา

รอยร้าวนี้ฉีกพื้นดินที่เขายืนอยู่ก่อนหน้า และในพริบตานั้น รอยแยกลึกอันเหยียดยาวเป็นสิบลี้ก็ปรากฏ มันยิ่งลึกลงไปทุกทีๆ!

กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้ม และฮู่หลิงเอ๋อก็กระโดดขึ้นไปบนหัวของเขา “มังกรอ้วน หนีเร็ว! คุณชายกำลังเผยร่างที่แท้จริง!”

กิเลนมังกรโกยแน่บไปอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งเสียงระเบิดสะท้านโลกเอาไว้ข้างหลัง ฮู่หลิงเอ๋อหันกลับไปมองและเห็นวัวเขียวก็กำลังหนีตายมาเช่นกัน ข้างหลังเขาคือหอสังเกตการณ์ที่สูงร้อยห้าสิบวาและกินพื้นที่กว่าสี่ไร่

การระเบิดนั้นมาจากหอสังเกตการณ์

มันถูกบิดเบี้ยวจากรอยแยกในอวกาศ และเฉือนตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ละชิ้นนั้นล่องลอยอยู่ในชิ้นส่วนอวกาศที่แตกออกจากกัน!

ไม่นานนัก การระเบิดอีกจำนวนมากก็กึกก้องไปในอากาศ เมื่อทักษะเทวะที่เทพและมารในซากเมืองไร้โอหังหลงเหลือเอาไว้ถูกแตะต้อง มันตามมาด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่ระเบิดตามๆ กันมา ดอกไม้ไฟเบ่งบานอยู่ในห้วงอวกาศที่แตกหัก และดูสวยงามอย่างวิเศษ ภาพนั้นตระการตาจนเกินจะบรรยาย

ฮู่หลิงเอ๋อไม่มีเวลาชื่นชมมัน สายตาของนางจ้องเขม็งไปยังแสงรูปปีกผีเสื้อ มันทำให้นางผิดหวังเล็กน้อย “คุณชายไม่ใช่พรายจิ้งจอก แต่เป็นพรายผีเสื้อ…”

ฉินมู่ยืนอยู่บนพื้นที่กำลังถล่มยุบรอบตัวเขาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เขาจมลงไป สิ่งเดียวกันนั้นก็เกิดขึ้นกับพื้นใต้เท้าคนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ จนกระทั่งข้างใต้พวกเขาคือหินหลอมเหลวสีแดงเพลิง!

ซากเมืองไร้โอหังจมลงไปใต้ดิน ก้อนหินใหญ่และกำแพงซอมซ่อร่วงลงไปในแมกม่าที่เดือดปุดๆ และลุกไหม้เป็นไฟ

ทุกคนพยายามอย่างดีที่สุดที่จะยืนให้มั่น คนแล่เนื้อ เฒ่าใบ้ เฒ่าบอด ยายเฒ่าซี และป้าซาน ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ต้านทานห้วงอวกาศอันฉีกขาด ปกป้องนักปรุงยาและเฒ่าหนวก ระหว่างที่พุ่งไปมาท่ามกลางห้วงอวกาศที่แตกทำลาย พยายามจะมุ่งหน้าเข้าไปใกล้

ทุกคนแตกตื่นสะท้านขวัญจากเรื่องที่เกิดขึ้น

เฒ่าบอดเอื้อมมือของเขาออกไปเพื่อคว้าจับทวนเทวะหลงถัว ทวนนี้เคลื่อนไหวไปพร้อมกับร่างกายของเขา และในเสี้ยวพริบตา เขาก็แทงออกไปด้วยเงาทวนจำนวนนับไม่ถ้วน สกัดขัดขวางพลังงานอันร้ายกาจในห้วงอวกาศรอบๆ พวกเขา เขาตะโกนออกไป “คนแล่เนื้อ คุ้มกันข้าให้ไปถึงตัวเขา ข้าจะได้ปิดผนึกดวงตา!”

คนแล่เนื้อคว้าดาบสวรรค์ของตนและพุ่งทะยานไปยังข้างกายเฒ่าบอด “ยายเฒ่า เฒ่าใบ้ พวกเจ้าปกป้องคนอื่น!”

ทั้งสองคนร่วมมือกันและเข้าใกล้ฉินมู่ไปทีละก้าว แต่ทว่า เมื่อห้วงอวกาศฉีกแยกออกจากกันอย่างต่อเนื่อง การข้ามระยะห่างระหว่างพวกเขากับฉินมู่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย

ทั้งสองคนพยายามอย่างดีที่สุดที่จะพุ่งไปข้างหน้า ผ่านพลังประหลาดที่ทำลายห้วงอวกาศรอบๆ ตัวพวกเขา คนแล่เนื้อพลันก้มลงมองและเห็นเมืองไร้โอหังจมหายลงไปในทะเลหินหลอมเหลว ข้างล่างพวกเขามีแต่ทะเลเพลิง

ปราณมารอันประหลาดพิสดารอย่างสุดขั้วพลันท่วมทะลักออกมาจากในนั้น ปราณมารนี้แตกต่างจากที่มีอยู่ในเขตแดนมารแห่งสวรรค์ไท่หวง นั่นเป็นเพียงแค่ปราณจิตวิญญาณที่ถูกสันดานมารแปดเปื้อน ในขณะที่ปราณมารจากทะเลเพลิงนี้โบราณกว่า ดึกดำบรรพ์กว่า

มันคือปราณมารแดนใต้พิภพ!

เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดในร่างกายของฉินมู่ได้ฟื้นตื่นขึ้นมาและฉีกม่านคุ้มกันระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย เชื่อมต่อโลกจริงเข้ากับแดนใต้พิภพ!

ผู้เฒ่าทั้งสองค่อยๆ รุกคืบเข้าใกล้ฉินมู่ จนเหลือระยะเพียงสองสามวาเท่านั้น แต่ทว่าระยะห่างก็ยังดูเหมือนจะไกลลิบลับ และทั้งสองคนก็ฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความยากลำบาก มีดของคนแล่เนื้อและทวนของเฒ่าบอดล้วนแต่ถูกตรึงไว้ในอากาศด้วยพลานุภาพอันแข็งแกร่งที่พวกเขามิอาจต่อต้าน

กายเนื้อของพวกเขาส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากพลังอันกดดันเข้ามาทุกทิศทาง ร่างกายของเฒ่าบอดยิ่งเล็กลงกว่าเดิม และคนแล่เนื้อก็เตี้ยลงไปทั้งสองคนถูกบีบอัดจนแทบจะกลายเป็นลูกบอล คนแล่เนื้อรีดเร้นพละกำลังทั้งหมดของเขาเพื่อเปิดทางให้กับเฒ่าบอด เลือดหลั่งไหลออกมาจากมุมปาก เฒ่าบอดใช้ชั่วจังหวะนั้นเพื่อแทงเข้าด้วยทวนเทวะหลงถัวยังดวงตาที่สามของฉินมู่ด้วยมืออันสั่นเทา

เขานั้นเป็นยอดฝีมือเชิงพยุหะ และทักษะการปิดผนึกของเขาก็สูงล้ำ แต่ทว่า ทวนของเขาแตะไปไม่ถึงหว่างคิ้วของฉินมู่

“มู่เอ๋อ ตื่นเร็ว!”

เฒ่าบอดกัดฟันและผลักทวนเทวะหลงถัวไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก ผิวของเขาบนมือทั้งสองข้างเริ่มปริแตก และหยดเลือดที่หลั่งไหลจากรอยปริเหล่านั้นก็ระเหยเป็นไอ

“คนแล่เนื้อ ข้าไม่ไหวแล้ว…” เฒ่าบอดกระอักเลือดกำใหญ่ออกมาจากคอพลางกล่าวด้วยความยากเย็น

หัวมังกรของทวนเทวะหลงถัวก็ร่ำร้อง “นายท่าน ข้าเองก็ต้านทานไม่ไหวแล้ว…”

ปลายทวนเริ่มจะแตกหัก และมือทั้งสองของเฒ่าบอดก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เลือดและเนื้อบนแขนของเขาเริ่มปริหลุดลงไป

ในตอนนั้น ฉินมู่ก็ยกฝ่ามือของเขาและคว้าจับจี้หยกที่หน้าอก ทึ้งมันออก

“อย่าโยน…” เฒ่าบอดพูดเสียงแผ่วด้วยความยากเย็น

สีหน้าของฉินมู่ไม่ยินดียินร้าย เขาคลายนิ้วออก และจี้หยกก็ร่วงลงไปในทะเลเพลิงข้างล่าง

ความสิ้นหวังท่วมท้นใจทุกคน เฒ่าเป๋เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านห้วงอวกาศเพื่อคว้าจับจี้หยก แต่มันสายไปแล้ว

ในตอนนั้นเอง แมกม่าก็ผุดนูนขึ้น และปรากฏเขาแหลมเก้าบิดสองข้างโผล่ขึ้นมา เผยให้เห็นเทพเจ้าผู้น่าเกรงขามอันมีศีรษะของวัวและดวงตาของเสือ

เฒ่าเป๋รีบหลบเขาพลางร้องออกมา “ภูติบดี!”

“ภูติบดี เจ้าทำลายแผนของข้าอีกแล้ว!” ฉินมู่กล่าวด้วยโทสะ

ภูติบดีคว้าจี้หยกและส่งมันขึ้นไปด้วยนิ้วที่ชี้ จี้หยกเข้าไปแตะกับหว่างคิ้วของฉินมู่และปิดผนึกดวงตามาร

จากนั้นจี้หยกก็หายไป หลุดหายไปในดวงตาที่สามของฉินมู่

ปรากฏการณ์ผิดปกติทั้งหลายในบริเวณรอบข้างพลันหยุดลง และห้วงอวกาศที่ฉีกขาดก็กลับเป็นปกติ ร่างหินหลอมเหลวของภูติบดีก็พังทลายลงไป ร่วงกลับสู่แมกม่าอันเดือดปุดๆ

ฉินมู่ก็ร่วงลง และเฒ่าบอดรีบปาทวนเทวะหลงถัว มันเหาะเหินไปพลางแปรเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกมังกรดำเพื่อคว้าจับเด็กหนุ่มเอาไว้ จากนั้นมันก็โผนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และลงจอดที่นอกซากเมืองไร้โอหัง

เฒ่าบอดกระอักเลือดออกมากำใหญ่ ขณะที่คนแล่เนื้อ ยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ สูดหายใจลึกก่อนจะออกมาจากเขตซากเมืองและเหยียบลงกับพื้น

ฉินมู่สลบไปด้วยดวงตาที่สามอันปิดสนิท เฒ่าเป๋วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนและมองไปที่เด็กหนุ่มที่สิ้นสติสมประดีด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ของที่อยู่ในดวงตาเขา มันยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ทำไมพวกเราไม่ลองเปิดเปลือกตาเขาตรวจดูสักหน่อย…”

ทุกคนถลึงตาจ้องเฒ่าเป๋ และเขาก็รีบหุบปากทันที

ยายเฒ่าซีพึมพำกับตนเองสักพัก ก่อนจะกล่าว “แม้ว่าสิ่งประหลาดในดวงตาของเขาจะถูกภูติบดีปิดผนึกเอาไว้ แต่พวกเราก็ยังต้องทำให้แน่ใจ…”

นางยื่นมืออันสั่นเทาออกไปเปิดเปลือกตาของดวงตาที่สาม แต่ไม่ทันที่นางจะเอื้อมมือไปถึง มันก็เปิดออกมาเอง

ด้วยความตื่นตระหนก ยายเฒ่าซีผงะไปข้างหลัง ขณะที่ฉินมู่ลุกขึ้นนั่ง เขาก็มองไปที่นางด้วยความฉงนฉงาย “ท่านยาย ทำไมพวกท่านมารุมล้อมข้าล่ะ”

………………………….