คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และเฒ่าใบ้เข้ามามุงดูดวงตาของเขาด้วยสายตาอันสุกใสและเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย พวกเขาสำรวจดูดวงตาที่สามของเขาโดยไม่กะพริบ

ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงตูมดังสนั่น และเห็นเฒ่าเป๋วิ่งไปไกลร้อยลี้ เมื่อเขาหันกลับมาและเห็นว่าคนแล่เนื้อและคนอื่นๆ ยังคงยืนมุงดูฉินมู่อยู่ แม้แต่เขาที่หน้าหนาเป็นพิเศษก็ยังอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงฉานด้วยความอับอายและรีบวิ่งกลับมา

ทุกคนรู้ว่าเขาขี้ขลาด แต่ก็ไม่ล้อเลียน ในทางกลับกัน พวกเขาล้วนแต่เพ่งความสนใจไปที่ดวงตาของฉินมู่

ลูกตาของเขากลิ้งไปรอบๆ และเขาพึมพำ “ท่านยาย ท่านปู่ พวกท่านมองดูอะไรกัน”

ยายเฒ่าซีมองไปที่ดวงตาตั้งฉากของเขาด้วยสมาธิอันจดจ่อ แต่นางไม่พบสิ่งผิดปกติข้างในนั้น นางเห็นก็แต่ว่าในแก้วตามีลวดลายปีกผีเสื้อ เส้นของลวดลายก็แตกต่างออกไป มันมีโครงสร้างเหมือนกับปีกผีเสื้อจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างต่อเนื่อง

“มู่เอ๋อ เจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ” ยายเฒ่าซีถาม

ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยความขมขื่นเล็กน้อย จากนั้นดวงตาเขาก็ลุกวาบ “ข้าจำได้!”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มกล่าวอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “ข้าขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เมื่อข้าโคจรไปยังดวงตาที่สามตามวิชาฝึกปรือเนตรเทวะที่ท่านปู่บอดเสริมแต่งมันให้สมบูรณ์ ข้าก็รู้สึกถึงคลื่นพลังอันไร้ประมาณที่ท่วมท้นตัวข้า ราวกับว่าข้ามีพลังที่จะทำอะไรก็ได้ จากนั้น…”

เขาขมวดคิ้วและจมจ่อมในความคิดของตนเอง แต่พบว่ามีความว่างเปล่าอยู่ในช่วงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ราวกับว่าเขาสูญเสียความทรงจำไปส่วนหนึ่ง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ในยมโลกเมื่อท้าวยมราชได้ปลดผนึกจี้หยกของเขา มันก็เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น เมื่อฟู่ยื่อลัวปลดผนึกจี้หยกของเขา มันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้มันไม่เกี่ยวข้องกับจี้หยก กระนั้นเขาก็ยังสูญเสียความทรงจำเหมือนกัน

“จี้หยก…จี้หยกของข้าอยู่ไหน”

ฉินมู่พลันรู้สึกขนหัวลุก และเขารีบลุกขึ้น เขาค้นหาทั่วตัวเอง มือเท้าเขาเย็นเฉียบ เขากล่าวด้วยเสียงสั่น “สมบัติสืบทอดตระกูลของข้าหายไป…บ๊ะ มันไม่ใช่สมบัติสืบทอดตระกูล จี้หยกที่ภูติบดีหลอมสร้างขึ้นมาสะกดสันดานมารในตัวข้าหายไปแล้ว! ท่านยาย ท่านปู่บอด พวกท่านเห็นจี้หยกข้าไหม…ท่านปู่เป๋ ท่านต้องเป็นคนเอาไปแน่ๆ! เลิกเล่นเลยนะ ไม่อย่างนั้นคำสาปจะมาถึง! คืนมาให้ข้าเร็วๆ เข้าเถอะ!”

เฒ่าเป๋ส่ายหัว “ข้าไม่ได้ขโมยจี้หยกของเจ้า แต่คำสาปมันมาจริงๆ นั่นแหละ”

ฉินมู่สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง และเขายืนตื่นด้วยความตะลึงลาน ตอนนี้เขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นหลุมใหญ่มหึมาข้างหน้าเขา

ตรงจุดที่เมืองไร้โอหังเคยตั้งอยู่ มันมีเหวขนาดมหึมาไร้ปานเปรียบ แมกม่าเดือดปุดๆ เต็มก้นเหวในนั้น

ทะเลเพลิงกว้างใหญ่ไพศาล

“พลานุภาพของคำสาปนี้จะต้องร้ายกาจมากแน่ๆ นี่มันแย่ยิ่งกว่าตอนที่ข้าตกในเงื้อมมือของฟู่ยื่อลัวเป็นร้อยเท่า…” ฉินมู่พึมพำ

“มู่เอ๋อ ภูติบดีได้ปรากฏตัวและใส่จี้หยกเข้าไปในดวงตาที่สามของเจ้า” ท่านยายซีกล่าวพลางเดินเข้ามา “เจ้าควรตั้งสติตัวเองก่อน พวกเราจะไปทางโน้นสักเดี๋ยวเพื่อปรึกษาหารือบางเรื่อง”

ฉินมู่ผงกหัวด้วยสีหน้าว่างเปล่า

ยายเฒ่าซีปรายตามองเฒ่าบอดที่หวาดระแวงขึ้นมาทันที เขานั้นกำลังจะหนี แต่คนแล่เนื้อและเฒ่าใบ้เบียดเขาเอาไว้จากสองข้าง หนึ่งคนหิ้วปีกซ้ายซ้าย และอีกคนก็หิ้วปีกขวา

“พวกเจ้าจะทำอะไร” เฒ่าบอดถูกพวกเขาลากไปโดยเท้าไม่แตะพื้น เขาร้องออกมา “พวกเราหมู่บ้านเดียวกันนะ พวกเจ้าจะทำอะไรข้า ไว้หน้าข้าด้วย! มู่เอ๋อ มู่เอ๋อ…”

คนแล่เนื้อและเฒ่าใบ้นำเขาไปไกลด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม ฉินมู่หันไปและหมายจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยายเฒ่าซียิ้มอ่อนโยนให้แก่เขา “มู่เอ๋อพวกเราจะไปปรึกษากันบางเรื่อง เจ้าไม่ต้องตามมาหรอก ตอนนี้พักผ่อนไปก่อนเถอะ เฒ่าเป๋ เฒ่าหนวก ไปกันเถอะ ป้าซาน ตามพวกเรามาด้วยสิ”

ทุกคนจากไป

“อย่าทำเกินไป ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย พวกเราก็พบหน้าค่าตากันตลอด และพวกเจ้าทั้งหมดก็มีส่วนในการสร้างสรรค์วิชาฝึกปรือเนตรเทวะนี้ เมื่อข้าสอนให้ฉินมู่ พวกเจ้าก็อยู่ข้างๆ ผงกหัวหงึกๆ เห็นด้วย…พวกเจ้ากระทืบข้าจริงๆ รึ…ไอ้เป๋ เจ้าก็กล้ากระทืบข้า? ป้าซาน ข้าเป็นอาจารย์อาของเจ้านะ พวกเราถูกคอกันที่สุดไม่ใช่หรือ…พวกเจ้ามันลำเอียง! ฉินมู่ก่อเรื่องชัดๆ ทำไมพวกเจ้าไม่ไปทุบตีเขา มู่เอ๋อ มู่เอ๋อ ช่วยข้าด้วย!”

ด้วยรู้สึกประหลาดใจ ฉินมู่จึงนำกระจกขึ้นมาส่องดูดวงตาที่หว่างคิ้วของเขา มันดูปกติ เขาไม่อาจพบสิ่งใดพิเศษออกไป

ดวงตานี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่ เขาพิศวง

ผ่านไปสักพัก ทุกคนก็กลับมายังข้างเหวใหญ่ ดูอิ่มเอม ใบหน้าของเฒ่าบอดฟกช้ำไปหมด และเสื้อผ้าของเขาก็หลุดลุ่ย

ฉินมู่หันหน้ากลับไปและกล่าวด้วยความแตกตื่นระคนยินดี “ท่านยายซี ข้าขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเมื่อกี้นี้ และในที่สุดก็ค้นพบความลับของดวงตาที่สาม!”

ขนหัวของยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ ลุกโพลงจนเต็มเหยียด พวกเขากำลังจะวิ่งหนี แต่เมื่อฉินมู่ขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะและไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็ระบายลมหายใจโล่งอก ลอบถอนหายใจ

ฉินมู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และบอกเล่าพวกเขาถึงสิ่งที่ค้นพบ “เมื่อข้าขับเคลื่อนดวงตาตั้งฉากนี้ ข้าสามารถมองเห็นแดนใต้พิภพอันไร้ขอบเขตได้ อันอยู่ข้างล่างสมบัติเทวะเป็นตายของทุกๆ คน ข้าคิดว่าข้าสามารถใช้ดวงตานี้เพื่อฉีกทึ้งแดนใต้พิภพของสมบัติเทวะเป็นตายของศัตรูเพื่อคร่าชีวิตพวกเขา!”

คนแล่เนื้อกระแอมไอและกล่าว “มู่เอ๋อ สังหารผู้คนด้วยการจ้องใส่นั้นไม่ค่อยดีกระมัง มันทำลายกฎธรรมชาติของสรรพสิ่ง และเป็นอันตรายต่อคุณงามความดี ยังคงดีกว่าถ้าจะสังหารผู้คนด้วยมีดดาบ ดวงตาของเจ้า ไม่ใช้เสียเลยจะดีที่สุด!”

ยายเฒ่าซี เฒ่าบอด และคนอื่นผงกหัวราวไก่จิก เฒ่าเป๋จึงกล่าว “หากว่าเจ้าแทงพวกเขาข้างหลังได้ ก็ยิ่งดีกว่าจ้องพวกเขาให้ตายด้วยดวงตาที่สาม”

ฉินมู่ฉงน “นี่มันไม่เหมือนกันหรือ”

“แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนกัน หากว่าเจ้าใช้ดวงตานี้ ข้าเกรงว่า–” ป้าซานกล่าวด้วยเสียงอันดัง

คนแล่เนื้อพาดมีดไว้ที่คออธิการบดีป้าซานด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม และคนโดนพาดก็หุบปากทันที

ฉินมู่มองไปที่พวกเขาด้วยความสงสัยพิรุธ

“ฟู่ยื่อลัว เจ้าสัมผัสมันได้ไหม” ลู่หลีสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ออกมาจากดวงตาที่สามของฉินมู่ อันทำให้ห้วงอวกาศบิดเบี้ยว นางจึงกล่าวด้วยเสียงต่ำ “นี่คือพลานุภาพของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ! ข้าสามารถช่วยเจ้ามาปกครองสวรรค์ไท่หวงได้ แต่เจ้าจะต้องช่วยข้าให้ได้ตัวเขามา! หากว่าข้าได้เขามาไว้ในมือ ข้าจะมีพลังอำนาจมากแค่ไหนกันนะ”

ฟู่ยื่อลัวมองไปยังทิศทางของเมืองไร้โอหังด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่พุ่งออกมาจากฉินมู่ซึ่งกำลังหลุดจากการควบคุม “หั่วถูลัวตายไปแล้ว หรือว่านี่จะเกี่ยวข้องกับเขา เทียนเฟิงโก้ว อย่าทำให้ข้าผิดหวัง…”

ห่างไกลจากพวกเขา มารเทวะจากแดนใต้พิภพกำลังนำทัพสัตว์ประหลาดใต้พิภพไปยังเมืองหลี เมื่อฉินมู่สูญเสียการควบคุม ร่างกายของบรรพชนมารก็แข็งทื่อ พวกเขามองไปยังทิศทางที่รัศมีของฉินมู่พุ่งมาด้วยความหวาดกลัว

กองทัพสัตว์ประหลาดใต้พิภพก็เริ่มโกลาหล พวกมันสะพรึงกลัวอย่างถึงขีดสุด และไม่กล้าจะมุ่งต่อไปข้างหน้า ในทางกลับกัน พวกมันหันหลังและวิ่งหนีกรู เหยียบกระทืบกันไปมา

ในอึดใจเดียวสัตว์ประหลาดใต้พิภพก็เกลื่อนไปทุกหนทุกแห่ง และสัตว์ประหลาดบางตัวก็ชังที่ตัวอื่นวิ่งช้าขวางทาง พวกมันซัดอาวุธของตนเองเข้าใส่สหายร่วมทัพ ทั้งกองทัพมารเต็มไปด้วยความปั่นป่วนสับสน!

ยิ่งไปกว่านั้น บรรพชนมารยังหันหลังวิ่งหนีตาย แตกซ่านไปทุกทิศทาง พวกเขาปรารถนาเสียยิ่งกว่าอะไรที่จะหนีกลับไปซ่อนในห้วงลึกของความมืดในแดนใต้พิภพ

พวกเขาหวาดกลัวฉินมู่ที่หลุดการควบคุมจนเข้ากระดูกดำ แม้ว่าพวกเขาจะมึนงงและไม่มีสติปัญญามากนัก แต่พวกเขาก็ไม่มีทางลืมทารกตัวใหญ่ที่กัดกินเพื่อนพ้องของตน!

ทันใดนั้น ลู่หลีก็กรีดร้องดังสนั่น และเสียงอันประหลาดพิกลของภาษาแดนใต้พิภพก็ดังมาจากปากของนาง บรรพชนมารทั้งหลายสงบลง และหยุดวิ่งหนี พวกเขาควบคุมสัตว์ประหลาดใต้พิภพ และสังหารพวกที่หนีทัพทั้งหมด

ไม่นานนัก ร่างแยกแมกม่าของภูติบดีก็ปรากฏตัวและปิดผนึกฉินมู่ เมื่อรัศมีอันน่าสยดสยองหายไป สัตว์ประหลาดใต้พิภพก็เลิกวิ่งพล่านไปทั่วสารทิศ พวกมันกลับมาจัดทัพอีกครั้ง และมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก

ในโลกของเผ่ามาร นักบุญคนตัดไม้และเทพเจ้ายี่สิบห้าตนจากแดนโบราณวินาศก็เงยศีรษะขึ้นมาเพื่อมองไปยังท้องฟ้า พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวอันผิดประหลาดที่มาจากสวรรค์ไท่หวง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกำลังอยู่ที่สวรรค์หลัวฝูก็ตาม

“มันเป็นสันดานมารอันถูกสะกดไว้โดยจี้หยกและปะทุขึ้นมา” นักบุญคนตัดไม้ระบายลมหายใจสะท้านและกล่าวด้วยเสียงเบา “โชคยังดี ข้าไม่ได้คลายผนึกบนจี้หยกนั้นไปตรงๆ ข้าได้ยินว่าเขาถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ก็รู้แล้วว่าต้องมีอะไรผิดปกติ…”

“ครูบาสวรรค์กำลังกล่าวถึงใครอยู่หรือ” เทพตนหนึ่งถาม

นักบุญคนตัดไม้รู้สึกปวดหัวตึ้บเล็กน้อย “ศิษย์คนเล็กของข้า…อย่าพูดถึงเขาเลย และทำกันต่อเถอะ”

เทพทั้งยี่สิบห้าวุ่นวายกับงานอีกครั้ง หลอมสร้างแท่นสังเวยทรงพีระมิดในสวรรค์หลัวฝู

ในเมืองหลี เมืองนวลอาภา และสถานที่อื่นๆ ราชครูสันตินิรันดร์ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ และเทพเจ้าอื่นๆ ต่างก็สัมผัสได้ถึงคลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัว พวกเขาเหาะขึ้นไปบนอากาศ และมองไปยังทิศทางที่มันส่งมาด้วยความตื่นตระหนก

“ดูเหมือนจะเป็นทิศทางของเมืองไร้โอหัง! อยู่ตรงหอสังเกตการณ์เลย!” เทพซังเย่ร้องออกมา “แย่แล้ว! จ้าวลัทธิฉินและสหายเต๋าประหลาดทั้งหลายยังอยู่ที่นั่น!”

ในเวลาเดียวกันนั้น แสงก็สว่างวาบในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เด็กหนุ่มหนึ่งคนกับเทพสามขาที่มีปีกเดินออกมา และพวกเขาพลันสัมผัสได้ถึงรัศมีอันรุนแรงและสูญเสียการควบคุม สีหน้าตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าพวกเขา

“ทำไมฉินมู่ถึงสูญเสียการควบคุมเอาตอนนี้ หากว่าเขาเริ่มต้นเข่นฆ่าผู้คนที่นี่ ก็คงไม่ง่ายที่จะหลอกล่อเขาไปยังสันตินิรันดร์…” คุณชายฉีสายตาวูบไหว แต่ไม่นานรัศมีอันดุร้ายของฉินมู่ก็หายวับ เขาระบายลมหายใจโล่งอก แย้มยิ้มและกล่าว “นั่นแหละถูกต้อง เด็กดี”

ทันใดนั้น เทพครองดาวตะวันก็ร้องออกมา “คุณชาย ข้าสัมผัสได้ถึงมือของข้า!”

เขายกแขนขวาของเขาที่มือขาดหายไปขึ้นมา

“ดาบสวรรค์ผู้นั้นที่สะบั้นมือขวาของข้าไป อยู่ในสวรรค์ไท่หวง! เขายังไม่ตายอีก!” เทพครองดาวตะวันสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหยัน “ข้าสับเขาเป็นสองท่อน และเขาก็ยังคงรอดชีวิต!”

ข้างๆ เหวลึกของเมืองไร้โอหัง คนแล่เนื้อจิตสะท้านเล็กน้อย และเขากำถุงเต๋าตี้เอาไว้ มันเล็กกว่าของฉินมู่และไม่ดูงดงามประณีตเท่า แต่มันสามารถเก็บข้าวของต่างๆ ไว้ข้างในได้มากมาย

ในถุงเต๋าตี้ของเขา กระดูกมือหนึ่งกระโดดขึ้นกระโดดลงไม่หยุด ราวกับว่ามันหมายจะบินออกไปและคืนสู่เจ้าของของมัน

บนหลังของคนแล่เนื้อ ดาบสวรรค์สั่นสะเทือนและส่งเสียงร้องออกมา

“ข้าไปล่ะ” คนแล่เนื้อกล่าวด้วยเสียงอันดังระหว่างที่จัดแจงเสื้อผ้าให้รัดกุมยิ่งขึ้น “หนึ่งในสหายเก่าของข้ามาถึงที่นี่ ได้เวลาที่ข้าจะสะสางความแค้นนี้ในรวดเดียว ป้าซาน อย่าตามข้า จงอยู่ที่นี่”

ดวงตาเสือของอธิการบดีป้าซานเจิดจ้าและเขาก็ยิ้มหยัน “อาจารย์ ท่านยังคิดจะทิ้งข้าไว้ข้างหลังอีกหรือ มันคือเทพที่ตัดเอวของท่านใช่หรือไม่ ในตอนนั้น ท่านตกลงในความอับอายอดสู และคืบคลานร่างท่อนบนเข้าไปในแดนโบราณวินาศ ท่านทำให้ข้าตามหาท่านอยู่ตั้งนาน ตะโกนเรียกชื่อของท่าน! หากว่าท่านต้องการเผชิญหน้าเขาโดยลำพัง ก็พาข้าไปด้วยเพื่ออย่างน้อยข้าก็จะได้เก็บศพให้ท่าน! ต่อให้ท่านถูกเขาสับมาอีกหน ข้าก็ยังอยากเห็นท่านหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนจะตัดใจ”

มือของคนแล่เนื้อสั่นเทิ้ม และเขาข่มระงับความอยากที่จะสับไอ้ศิษย์ปากเสียนี่เป็นสองท่อน

“ท่านปู่คนแล่เนื้อ ร่างกายท่านปกติดี ขณะที่สหายเก่าของท่านมือขาดไปข้างหนึ่ง ใช่หรือไม่ เช่นนั้นท่านไม่ใช่คนที่ต้องคิดแค้นหรอก เขาต่างหาก แม้ว่าท่านจะไม่ไปเสาะหาตัวเขา เขาก็จะมาหาท่านด้วยตนเอง ถ้าเช่นนั้นทำไมจะต้องเสียเรี่ยวแรงไปตามหาเขา แทนที่จะรออยู่ที่นี่ให้เขามาถึงล่ะ” ฉินมู่รีบเสนอแนะ