บทที่ 56 ช่วงเวลาของครอบครัว

The king of War

รุ่งเช้าวันต่อมา ฉินซีที่ยังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ก็ถูกเสียงร้องไห้ของเสี้ยวเสี้ยวปลุกให้ตื่น

“เสี้ยวเสี้ยวไม่ร้องนะ ไม่ร้อง คุณแม่อยู่ตรงนี้นะ !” ฉินซีรีบอุ้มลูกสาวตัวเองขึ้นมาปลอบใจ

เวลานี้ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกยังเป็นสีขาวเหมือนท้องปลา นาฬิกาปลุกเองก็ยังไม่ส่งเสียงร้อง

“คุณพ่อ ! หนูจะเอาคุณพ่อ !” เสี้ยวเสี้ยวพูดพร้อมกับร้องไห้ด้วยความเสียใจ

ตอนนี้เองฉินซีถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมจู่ๆเสี้ยวเสี้ยวถึงร้องไห้ขึ้นมา ที่แท้ก็เพราะหลังจากตื่นขึ้นมา ก็พบว่าคุณพ่อไม่อยู่แล้ว

“เสี้ยวเสี้ยว คุณพ่ออยู่ตรงนี้ไง !”

เสี้ยวเสี้ยวกำลังร้องไห้ แล้วจู่ๆข้างๆหูก็มีเสียงของหยางเฉินดังขึ้น

เสียงร้องไห้หยุดลงทันที เสี้ยวเสี้ยวพลิกตัวลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของคุณพ่อทันที แล้วพูดพึมพำว่า “คุณพ่อ เสี้ยวเสี้ยวคิดว่าคุณพ่อจะทิ้งหนูแล้ว”

หยางเฉินรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เพราะว่าขาดความรักจากพ่อไปถึงห้าปี เสี้ยวเสี้ยวถึงได้ติดเขาขนาดนี้

ในใจของฉินซีเองก็รู้สึกโศกเศร้า เธอเองก็อยากมอบครอบครัวที่สมบูรณ์แบบให้แก่เสี้ยวเสี้ยว และอยากให้ทุกค่ำคืน เสี้ยวเสี้ยวได้มีคุณพ่อคอยกอดเวลาเข้านอน

เพียงแต่เธอไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่อยู่ในใจได้ หยางเฉินหายตัวไปถึงห้าปี เธอเคยนึกเกลียด แต่พอบังเอิญได้ยินเขาพูดถึงเรื่องในอดีตแล้ว ความเกลียดชังเหล่านั้นกลับมลายหายไปจนหมดสิ้น

แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอหลงรักผู้ชายคนนี้ นับได้แค่ว่ารู้สึกดีด้วย เพราะระหว่างพวกเขามีเสี้ยวเสี้ยว ที่เป็นเพียงอุบัติเหตุ ตัวเขาสำหรับเธอแล้ว ไม่มีพื้นฐานทางความรู้สึกใดๆเลย

หยางเฉินกอดเสี้ยวเสี้ยวอยู่นาน จนอารมณ์ของเธอคงที่

หยางเฉินในขณะนี้ เพิ่งกลับมาจากการฝึกซ้อมเช้า บนตัวยังสวมชุดออกกำลังกายอยู่

“เสี้ยวเสี้ยว ตัวพ่อเต็มไปด้วยเหงื่อ ให้พ่อไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยกลับมากอดลูกดีไหมคะ ?” จู่ๆฉินซีก็พูดขึ้น

หลังจากร้องไห้โวยวายไปพักหนึ่งแล้ว เสี้ยวเสี้ยวก็สดใสขึ้น และไม่ได้เกาะติดกับหยางเฉินอย่างตอนที่พึ่งตื่นขึ้นมาแล้ว เธอพยักหน้า “คุณพ่อคะ คุณพ่อไปอาบน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวพาเสี้ยวเสี้ยวออกไปเที่ยว ดีไหมคะ ?”

หยางเฉินมองดูฉินซีทีหนึ่ง เธอพยักหน้าเบาๆ “วันนี้เป็นวันเสาร์ เดี๋ยวตอนกลางวันพวกเราพาเสี้ยวเสี้ยวออกไปเที่ยวก่อน เดี๋ยวตอนค่ำเสี่ยวยีจะเลี้ยงข้าวพวกเรา”

“ได้ ไม่มีปัญหา งั้นเดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน” หยางเฉินอุ้มเสี้ยวเสี้ยวขึ้นไปนั่งบนเตียง

หยางเฉินเพิ่งจะลุกขึ้น แต่จู่ๆก็คิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าก็เลยย่ำแย่ขึ้นเล็กน้อย

ฉินซีกำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับคิดขึ้นมาได้ก่อน เลยพูดว่า “คุณอาบในห้องฉันเถอะ”

หยางเฉินพักอยู่ในห้องเก็บของ มีเพียงพื้นที่แคบๆเท่านั้น และไม่มีแม้กระทั่งที่อาบน้ำ

หยางเฉินหยิบเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยน และกำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ

จู่ๆสีหน้าของฉินซีก็เปลี่ยนไป แล้วรีบตะโกนออกไปว่า “รอเดี๋ยว !”

เพียงแต่ตอนที่เธอเรียกหยุดเอาไว้นั้น หยางเฉินก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเสียแล้ว

ห้องอาบน้ำไม่ได้กว้าง และในนั้นยังมีเครื่องสักผ้าเครื่องเล็กๆตั้งอยู่ด้วย บนไม้แขวนเสื้อที่อยู่ด้านในสุดนั้น ยังมีชุดชั้นในหลายชุดแขวนอยู่ด้วย

หยางเฉินไหนเล่าจะคาดคิดว่าห้องอาบน้ำจะเป็นสถานที่ที่หอมอบอวลเช่นนี้

ภายในห้องอาบน้ำยังมีกลิ่นหอมจางๆ

ถึงแม้เขาจะมีลูกสาวตัวน้อยแล้ว แต่ก็ยังเหมือนถูกปืนยิงเข้าเป้าภายในนัดเดียวทันที เติบโตมาขนาดนี้ แต่ก็เพิ่งเคยมีประสบการณ์แค่เพียงในคืนนั้นกับฉินซีเท่านั้น อีกอย่างยังสำเร็จไปในระหว่างที่อยู่ในสภาพมึนเมาด้วย

เดิมที่ก็อยู่ในช่วงวัยที่กำลังฮอร์โมนพลุ่งพล่านอยู่ด้วย พอมองดูชุดชั้นในที่แขวนอยู่ ลมหายใจของเขาก็เริ่มผิดปกติขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณยังจะจ้องอยู่อีก ?”

ตอนที่ฉินซีพุ่งเข้าไปนั้น สายตาของหยางเฉินก็กำลังจ้องไปที่ชุดชั้นในของตัวเธอ เธอหน้าแดงเพราะความอาย แล้วดึงชุดชั้นในพวกนั้นมาเก็บทันที

มองตามฉินซีที่วิ่งเหมือนกำลังจะหนีเข้าป่า หยางเฉินก็เผยรอยยิ้มสดใสออกมา แล้วพูดพึมพำว่า “นี่คงถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกันแล้วสินะ”

“พี่คะ ได้เวลากินข้าวเช้าแล้ว !”

ฉินซีกำลังหวีผมให้เสี้ยวเสี้ยว จู่ๆฉินยีก็ผลักประตูเข้ามา

“รู้แล้ว พวกเธอกินก่อนเลย อีกเดี๋ยวพวกเราตามไป” ฉินซีกล่าวตอบ

แต่ฉินยีกลับไม่มีทีท่าว่าจะจากไป จ้องฉินซีแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่คะ เมื่อกี้ฉันไปเรียกพี่เขย แต่เขากลับไม่อยู่ที่ห้อง พี่ว่าเช้าขนาดนี้ เขาจะไปไหนได้เหรอคะ ?”

ขณะที่ฉินยีพูด เธอยังจงใจชายสายตาไปมองทางห้องอาบน้ำด้วย

ฉินซีมีสีหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมาทันที แต่ฝืนทำเป็นสงบนิ่งแล้วพูดว่า “ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่ดันลืมปิดฝักบัวซะได้”

“เหรอคะ !” ฉินยีแสร้งทำเป็นเหมือนพึ่งรู้ แล้วมองไปทางผมที่แห้งสนิทของฉินซี แล้วพูดแหย่เล่นว่า “พี่เริ่มอาบน้ำแต่ไม่สระผมตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ ?”

“ฉัน ฉัน ฉันก็แค่ลืมปิดฝักบัว เธอรีบลงไปกินข้าวก่อนเถอะ ! ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวแม่ก็โมโหหรอก” ฉินซีเปลี่ยนจากอายกลายเป็นโกรธ

ฉินยีทำตัวเหมือนไม่ได้ยิน ยิ้มกริ่มแล้วเดินไปข้างๆเสี้ยวเสี้ยว พร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า “เสี้ยวเสี้ยว หนูฉลาดขนาดนี้ ต้องรู้แน่ๆเลยใช่ไหมว่าคุณพ่ออยู่ที่ไหน ? บอกน้ามาเร็ว เดี๋ยวน้าซื้อขนมเค้กให้หนูกินนะ”

“คุณพ่อกำลังอาบน้ำ !”

ฉินซียังไม่ทันได้ห้าม เสี้ยวเสี้ยวก็ชี้นิ้วไปทางห้องน้ำแล้ว สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งแหลกสลายก็คือ เสี้ยวเสี้ยวยังพูดอย่างมีความสุขอีกว่า “คุณน้าคะ เมื่อคืนวาน คุณพ่อกอดเสี้ยวเสี้ยวนอนด้วยล่ะ”

“อืม เสี้ยวเสี้ยวนี่มีความสุขจังเลยนะ ด้านซ้ายมีคุณแม่ ด้านขวาก็มีคุณพ่อ” ฉินยีลูบหัวเสี้ยวเสี้ยว

“เสี่ยวยี ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ หยางเฉินเขา……”

ฉินซีเริ่มลุกลี้ลุกลนขึ้นมา กระสับกระส่ายอย่างจะอธิบาย แต่กลับถูกฉินยีขัดจังหวะเสียก่อน พอเห็นเธอยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้ว “พี่คะ พี่ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ ข้าวใหม่ปลามันสินะ แต่พวกพี่ต้องหัดควบคุมตัวเองบ้างนะ เรื่องแบบนั้นทำเยอะเป็นก็ไม่ดีต่อสุขภาพ”

พอเห็นสีหน้าของฉินซีที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดุร้ายขึ้น ฉินยีก็รีบวิ่งหนีออกจากห้องไปทันที

“ฉินยี !” ฉินยีวิ่งหนีออกไปตั้งไกลแล้ว ด้านหลังถึงได้มีเสียงคำรามของฉินซีดังตามมา

หลังจากที่หยางเฉินอาบน้ำเสร็จและออกมาแล้ว ก็สัมผัสได้ว่าสายตาที่ฉินซีมองตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ

เขาเลยพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “เสี่ยวซี เธอเป็นอะไรไป ?”

“หึ !”

ฉินซีไม่ได้สนใจเขา แต่กลับถลึงตาใส่หยางเฉินอย่างเย็นชา แล้วลากเสี้ยวเสี้ยวเดินลงไปกินข้าวที่ชั้นล่าง

หยางเฉินสีหน้าอินโนเซ้นท์ “หรือว่าฉันจะทำอะไรผิดไป ?”

จนตอนที่เขาลงมากินข้าวที่ชั้นล่าง ฉินยีก็มองหยางเฉินด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม แล้วก็ถามขึ้นทันทีว่า “พี่เขยคะ เมื่อคืนนอนหลับสบายไหมคะ ?”

หยางเฉินกลืนข้าวเข้าไปคำหนึ่ง “ก็ดีนะ !”

“ฉินยี !”

ฉินซีกัดฟันแล้วพูดออกมา “ขนาดข้าวยังอุดปากเธอไว้ไม่ได้เลยเหรอ !”

“พี่เขยคะ เมียพี่รังแกฉัน คุณจะไม่ช่วยเหรอคะ ?” ฉินยีเบ้ปากแล้วพูดขึ้น

หยางเฉินมีรอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ไม่ช่วย !”

“พี่เขย พี่ลำเอียง !”

เป็นเพราะโจวยู่ชุ่ยกับฉินต้าหย่งต่างก็ไม่อยู่ ฉินยีก็เลยกล้าล้อเล่นอย่างเปิดเผย

ทันใดนั้นหยางเฉินก็รู้สึกอิ่มเอมกับบรรยากาศแบบนี้มาก ถ้าได้อยู่แบบนี้ตลอดชีวิต แม้ว่าจะต้องให้อายุขัยของเขาสั้นลงสักสิบปี เขาก็ยินยอม

ข้าวมือนี้สิ้นสุดลงด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม

หยางเฉินกับฉินซีพาเสี้ยวเสี้ยวออกจากบ้าน แล้วพาไปเที่ยวอยู่หลายที่

หนึ่งวันเต็มๆ ที่ปากของเสี้ยวเสี้ยวแทบไม่ได้หุบลงเลย เอาแต่ยิ้มไม่หยุด ฉินซีไม่เคยได้เห็นเสี้ยวเสี้ยวยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้มาก่อน

เธอยืนอยู่ไม่ไกลนัก มองดูหยางเฉินกับเสี้ยวเสี้ยวนั่งม้าหมุนด้วยกัน ใบหน้าของเสี้ยวเสี้ยวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เจ้าม้ารีบวิ่งเร็ว! วิ่งเร็ว! ฮี๊ ! กับ ! กับ !”

“คุณแม่คะ ถ่ายรูปให้เสี้ยวเสี้ยวกับคุณพ่อหน่อยค่ะ” ตอนที่ม้าหมุนผ่านมาทางฉินซี เสี้ยวเสี้ยวก็ตะโกนเสียงดังออกมา

ฉินซีเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา หยิบกล้องSLRขึ้นมาเตรียมพร้อม ตอนที่สองพ่อลูกผ่านมาอีกครั้งนั้น “แช๊ะ” เสียงกดชั๊ตเตอร์ดังขึ้น ใบหน้าของสองพ่อลูกที่เต็มไปด้วยความสุข ถูกบันทึกลงภายในกล้องถ่ายรูป

ครอบครัวทั้งสามคนเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกทั้งวัน จนถึงช่วงตะวันตกดิน หยางเฉินถึงได้ขับรถพาสองแม่ลูกไปที่ร้านอาหารซูจี้ ร้านที่ฉินยีจะเลี้ยงก็คือที่นี่นั่นเอง

“พี่คะ ?”

หยางเฉินพาภรรยาและลูกเข้าไปในร้านอาหาร แล้วก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่แสนคุ้นเคยเข้า

ทุกคนต่างก็เผลอหันไปมองทันที ฟางเยว่กำลังควงแขนหยางเวยอย่างสนิทสนมเข้าไปในร้านอาหาร

“ท่านนี้คือ ?” หยางเวยแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว

ครั้งที่แล้วเคยเจอกันที่ฉินซื่อกรุ๊ปแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับจงใจทำเป็นแกล้งโง่

ฟางเยว่หัวเราะคิกคักออกมา “เธอคือลูกพี่ลูกน้องของของฉันเองชื่อฉินซี เมื่อไม่กี่วันก่อนพึ่งเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของซานเหอกรุ๊ป”

“เหรอ ?” ดวงตาของหยางเวยฉายแววเจ้าเล่ห์ และรอยยิ้มก็เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เขาเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา แล้วยื่นมือไปหาฉินซี “สวัสดีครับ ผมคือหยางเวยจากตระกูลหยางของเมืองโจวเฉิง พ่อของผมคือเฉินจื้อจวินรองผู้จัดการของบริษัทฉิงเหอกรุ๊ป ผู้จัดการฉินน่าจะเคยได้ยินมาบ้างนะครับ”

ตระกูลหยางเป็นตระกูลชนชั้นผู้ดีของเมืองโจวเฉิง หยางเวยเลยรู้สึกว่าตัวเองสูงส่ง

แต่ฉินซีกลับไม่รู้จริงๆ เลยมองหยางเวยอย่างเรียบเฉย แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อนค่ะ !”

พอพูดจบ ก็จูงมือเสี้ยวเสี้ยวเดินไปทางห้องส่วนตัวที่ฉินยีบอกไว้ทันที

มือของหยางเวยที่ยื่นออกไปค้างอยู่กลางอากาศ สีหน้าเองก็ดูไม่จืดเอาเสียเลย