บทที่ 126 คันฉ่อง (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 126 คันฉ่อง (4)
ครั้งนี้เสียงระเบิดตัดเสียงที่สะท้อนอยู่ข้างหูลู่เซิ่งจนขาดลงโดยสมบูรณ์

“นี่เป็นความทรงจำของเจ้าหรื? ทั้งหมดถูกผนึกไว้ในคันฉ่องบานนี้” ลู่เซิ่งห้อยดาบคู่ ย่างสามขุมเข้าหาสตรีคลุ้มคลั่งที่อยู่ไกลออกไป

เฮอ!

สตรีคลุ้มคลั่งพุ่งเข้าใส่ลู่เซิ่ง

การเคลื่อนไหวของนางเร็วกว่าดรุณีคนก่อนหน้า เล็บคมกริบบนนิ้วทั้งสิบแข็งแกร่งกว่า แต่สำหรับลู่เซิ่ง ทุกอย่างไร้ประโยชน์

เขาไม่เหลือบแลเงาของอีกฝ่าย เพียงแต่เดี๋ยวหุบเดี๋ยวขยายตาข่ายโลหิตทั่วร่าง

ตูม!

ปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่ร้อนแรงเป็นธาตุหยางแกร่ง ระเบิดสตรีคลุ้มคลั่งด้านหลังลู่เซิ่งจนกระเด็นไป

ลู่เซิ่งพลิกมือสะบัดดาบใหญ่ในมือออกไป

ตูม!

ดาบใหญ่ตรึงสตรีคลุ้มคลั่งให้อยู่กับพื้นอย่างรุนแรง ปราณภายในหยางแกร่งที่ร้อนลวกบนคมดาบเผาไหม้จนนางร้องด้วยความเจ็บปวด หมายจะถอนดาบบนตัวออก แต่ว่าไร้ผล

ลู่เซิ่งเดินถึงหน้านางอย่างสงบ ก้มมองดู

“เจ้าเคียดแค้นหรือ”

เขาถามคำถามเหมือนเสียงนั้น

สตรีคลุ้มคลั่งดิ้นรน ตะโกนอย่างปวดร้าว ไม่รับรู้อะไร คล้ายกับสัตว์ป่าที่ใกล้ตาย

ลู่เซิ่งกำด้ามดาบ

“หลิงหลิง…หลิงหลิง…” แม่อยู่นี่ ” สตรีคลุ้มคลั่งนางนั้นพลันร้องเบาๆ

ร่างนางผ่อนคลาย ดวงตาในผมเผ้าที่รุงรังค่อยๆ อ่อนโยนลง สองมือปัดป่ายไปรอบๆ คล้ายกำลังหาสิ่งใด

“… แม่อยู่นี่… ” เสียงสตรีนุ่มนวล ทวนซ้ำๆ

ลู่เซิ่งสีหน้าเยือกเย็น ถ่ายปราณภายในใส่ด้ามดาบ

ฟุ่บ!

ร่างสตรีนางนั้นลุกไหม้ กลายเป็นฝุ่นดำผืนหนึ่งโดยสมบูรณ์

พร้อมกับการหายไปของนาง นาข้าวรอบๆ เริ่มบิดเบี้ยวกลายเป็นสีดำ กลับไปเป็นตัวลานของโรงงานชาเลิศในตอนแรก

ลู่เซิ่งถือดาบยืนอยู่กลางลาน มองฝุ่นดำบนพื้น

ผู้สร้างคันฉ่องบานนี้มอบความหวังเช่นนี้ให้แก่ดรุณีนางนั้น ไม่ทราบเพราะอะไร

ลู่เซิ่งบอกไม่ถูกว่าเจตนาของอีกฝ่ายดีหรือแย่ เขาเพียงรู้สึกไม่พอใจ ฆ่าภูตผีไปมากมาย นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้

ประโยคนั้นที่เขาถามเป็นครั้งสุดท้าย คำตอบของสตรีนางนั้นกลับทำให้เขาคับข้องใจ

“ใต้เท้า?” สวีชุยยามนี้เดินออกมาจากในห้อง “ฐานคันฉ่องนั้นจะจัดการอย่างไร” เขาคล้ายไม่พบว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอันใด

ลู่เซิ่งหันกลับไปมองเขา

“ห่อกลับไปทั้งหมด”

“นี่…เศษก็ต้องการหรือ” สวีชุยกล่าวอย่างลังเล

“ทั้งหมด”

“ขอรับ!”

ลู่เซิ่งยืนนิ่งๆ อยู่ในลานเนิ่นนาน จนกระทั่งฟ้าสางดั่งท้องปลา ต่งฉีออกมาจากห้องนอนอย่างขัดเขิน

“ท่านทูต!” ต่งฉีเดินถึงตรงหน้าเขา คำนับเขาอย่างจริงจัง “เมื่อคืนถ้าไม่ใช่ท่าน ต่งฉีคงประสบเหตุไม่คาดฝัน”

“มอบค่าตอบแทนก็พอ” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ “ไปเถอะ ไปหาหมอยาจัวชิงหยางผู้นั้น”

“ได้”

ตอนนี้สวีชุยเก็บกวาดฐานคันฉ่องแล้ว เศษกระจกถุงใหญ่นั้นสร้างความลำบากแก่เขา จึงใช้ฟูกหนังวัวมาทำเป็นห่อสัมภาระ ห่อของทั้งหมดไว้

ทั้งสามคนไปถึงห้องนอนของจัวชิงหยาง

ก๊อกๆๆ

ก๊อกๆๆ

ไม่มีใครตอบ

ลู่เซิ่งมองสวีชุย ฝ่ายหลังเข้าใจ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วถีบประตูใหญ่ให้อ้าออก

ลู่เซิ่งเดินเข้าไปก่อน เห็นจัวชิงหยางนอนอยู่บนเตียง ไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าเป็นสีเขียว

เขาสาวเท้าเข้าไป ยื่นมืออังลมหายใจ ไม่มีลมแล้ว

“เขาตายแล้ว” เขาหันไปมองต่งฉี พลันนึกถึงเด็กรับใช้ หญิงรับใช้ และองครักษ์ที่เคยพบเหล่านั้น

“เหตุใดช้าแล้วจึงไม่มีเสียงอะไรเลย ท่านไปดูเด็กรับใช้ของท่าน”

ต่งฉีคล้ายนึกอะไรออก พยักหน้า หน้าขาวซีด ได้ยินลู่เซิ่งสั่ง นางค่อยรีบขานรับ วิ่งเหยาะออกจากห้องไป

สวีชุยเข้าไปตรวจสอบสาเหตุการตาย “ศพเหมือนชราตายตามธรรมชาติ ไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอกหรือเลือดออก ไม่มีร่องรอยต้องพิษ อาจเป็นฝีมือของภูตผีก็ได้”

ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ กำลังจะกล่าววาจา ทันใดนั้นด้านนอกแว่วเสียงกรีดร้องของต่งฉี

เขากับสวีชุยพลันหมุนตัววิ่งออกไปยังทิศทางของเสียง เจอต่งฉีที่กำลังพิงเสาหอบหายใจคำโตอยู่นอกห้องด้านข้างห้องหนึ่ง

พอเห็นทั้งสอง ต่งฉีแทบเสียสติ

“ท่านทูต…ตายแล้ว…ตายหมดแล้ว… ” นางร้องพลางสะอึกสะอื้น

ลู่เซิ่งมองด้านห้องข้างสองสามห้องที่เปิดอยู่ ก้าวเข้าไปดู หญิงรับใช้คนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ไม่มีลมหายใจแล้ว ศพมีกลิ่นเหม็นเล็กน้อย

อีกด้านหนึ่งสวีชุยไปดูห้องอีกห้อง เสียงอุทานดังมา

ลู่เซิ่งออกจากห้อง มองสวีชุย ฝ่ายหลังพยักหน้าให้ สีหน้าเคร่งเครียด ตายแล้วจริงๆ

เขาเดินจากประตูไปดูด้านใน ศพศพหนึ่งนอนอยู่บนเตียง กลิ่นของศพที่เข้มข้นโชยออกมา ห้องน่าสะอิดสะเอียนเล็กน้อย

“ตรวจสอบห้องที่เหลือทั้งหมด” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

“ขอรับ!” สวีชุยขานรับ เร่งความเร็วพังประตูเข้าไปทีละห้อง

ลู่เซิ่งแยกไปดูห้องอื่น

เวลาผ่านไป ทั้งสองคนตรวจลานหลายแห่งที่อยู่รอบๆ อย่างรวดเร็ว

โรงงานชาเลิศเงียบสงัด นอกจากหญิงรับใช้ข้างกายต่งฉี คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนตาย หนำซ้ำหลายคนตายไม่รู้นานเท่าไหร่ ศพมีหนอนไชแล้ว

ต่งฉีหวาดหวั่นพรั่นพรึง พรรคชาอย่างน้อยมีระดับสูงหนึ่งส่วนในสามส่วนพักอยู่ที่โรงงานชาเลิศ คิดไม่ถึงครั้งนี้จะ…

หลังฟ้าสว่าง พลพรรคบริวารด้านนอกรุดมา ค่อยยกศพออกไปจากโรงงานชาเลิศด้วยสีหน้าซีดขาวภายใต้คำสั่งของต่งฉี

ในตำบลมีคนไม่น้อยมามุงดูเป็นกลุ่มอยู่นอกประตู มองศพมากมายถูกยกขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายจากด้านใน

หัวหน้าร่างคำร้องที่อยู่ในตำบลนี้คือขุนนางฝ่ายปกครองที่ตำแหน่งใหญ่สุด นำขบวนมาตรวจสอบสถานการณ์ หัวหน้าร่างคำร้องผู้นี้เป็นหัวหน้าทัพเฟยเหลียนที่อยู่ในป้อมแถวๆ นี้ เป็นสหายเก่ากับพรรคชา ทุกๆ ปีต้องมอบเงินให้ไม่น้อย มาถามไถ่สถานการณ์ครั้งนี้เป็นเพราะน้ำใจ

ต่งฉีสนทนากับหัวหน้าร่างคำร้องสักครู่ ส่งอีกฝ่ายจากไป ยังยัดเงินส่วนหนึ่งให้ นับว่าเป็นค่าเหนื่อย จึงค่อยไล่คนจากกองทัพกลุ่มนี้ไปได้

ลู่เซิ่งพาสวีชุ่ยไปตรวจสอบศพของตงเชิงผิงประมุขพรรค

ทั้งสองคนเจอป้ายหลุมศพป้ายหนึ่งที่ฝังอยู่บนเนินนอกตำบลอย่างรวดเร็ว ภายใต้การช่วยเหลือของต่งฉี

ต่งฉีสั่งให้คนขุดศพออกมา ตั้งศาลาเย็น พาพวกลู่เซิ่งเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียด

อากาศร้อนเกินไป ในศาลาก็อบอ้าวเช่นกัน

ลู่เซิ่งยืนอยู่ข้างศพที่อยู่ใต้ผ้าขาว ยื่นมือไปยกผ้าขึ้น เผยให้เห็นส่วนหัวของศพ

ส่วนกะโหลกเห็นรอยดาบกรีดเอียงผ่านเบ้าตา สันจมูก และปากได้อย่างชัดเจน

มีความลึกมาก

“นี่สมควรส่งผลต่อชีวิต” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วกล่าว ไม่ต้องดูมาก เขาก็รู้สึกว่ามีปราณหยินที่เบาบางยิ่งลอยออกมาจากบาดแผล

ปลาณหยินเล็กน้อยนี้มีแต่บนศพที่ถูกภูตผีฆ่าเอง จึงจะสัมผัสได้ ส่วนปราณหยินนี้เป็นเพราะอ่อนแอเกินไป ลู่เซิ่งอย่างน้อยต้องดูดให้ได้มากกว่าร้อยครั้ง จึงค่อยเติมปราณหยินสำหรับยกระดับวรยุทธ์ขั้นพลังปลอดโปร่งได้ครั้งหนึ่ง

ดังนั้นเขาจึงคร้านจะสนใจ ตุ๊กตาคน เศษผ้า และฐานคันฉ่องสำริดเมื่อก่อนหน้า จึงเป็นแหล่งหลักๆ ของปราณหยิน

“ส่วนเอวมีรอยแผลอีกจุด เป็นแผลถูกแทง สมควรใช้อาวุธชนิดมีดสั้นแทงใส่” สวีชุยกล่าวเสริมอยู่ด้านข้าง

ลู่เซิ่งพยักหน้า บอกว่าตนเองทราบแล้ว มองศพ ใคร่ครวญเล็กน้อย

“คันฉ่องนั้นเป็นตัวการ ใช้ความแค้นของหลิงหลิงดรุณีตัวน้อย หลังจากฆ่านางเสร็จ ก็คล้ายกลายเป็นอุปกรณ์พิเศษ

คันฉ่องนี้ต้องมีปัญหาแน่ ไม่น่าจะฆ่าดรุณีที่น่าสงสารคนหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ ทั้งยังฆ่าไปหลายคน มันจะต้องมีจุดมุ่งหมาย”

ตรวจสอบอีกสักพัก ลู่เซิ่งก็ทราบคร่าวๆ ว่า คนในพรรคชากับตงเชิงผิงประมุขพรรคผู้นี้ตายอย่างไร

“ประมุขพรรคตายเพราะถูกลอบทำร้าย ไม่รู้ตัวฆาตกร แต่น่าจะเป็นผีตนที่ชื่อหลิงหลิงนั่น” ลู่เซิ่งอธิบาย

“ส่วนระดับสูงในพรรคที่เหลือก็ถูกหมอยาจัวชิงหยางล่อมา ใช้คันฉ่องดูดซับพลังชีวิตจนตาย”

“พลังชีวิตถูกดูดได้ด้วยหรือ” สวีชุยพลันงงงัน

“พลังชีวิตเป็นพลังงานที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตอนเจ้ากินนอนพักผ่อน พลังงานนี้ทำให้หัวใจเจ้าเต้น ทำให้เจ้ามีแรง ทำให้เจ้าขยับได้ พูดได้ หัวเราะได้ นี่คือพลังชีวิต” ลู่เซิ่งอธิบาย “พูดง่ายๆ ก็คือ ปราณหยาง”

“อ้อ… ” สวีชุยกระจ่าง

ลู่เซิ่งยืนอยู่ข้างศาลาเย็น หยิบตุ๊กตาคนที่เก็บมาก่อนหน้าออกมาจากในถุงเอว บนตุ๊กตาคนมีปราณหยินเข้มข้นกระจายอยู่

ภูตผีที่จัดการในครั้งนี้ พูดถึงด้านพลัง อาจเป็นแค่ความประหลาดลี้ลับระดับเอกะลักษณ์ แต่คันฉ่องที่อยู่เบื้องหลังบานนั้นกลับมีเลศนัยเล็กน้อย มองไม่ออก

“ช่างเถอะ เรื่องพรรคชาในครั้งนี้จัดการแบบนี้ก่อน พวกเราไปกวาดล้างสถานที่อื่นๆ ต่อ” ลู่เซิ่งกำชับ

“ขอรับ นอกจากที่นี่แล้ว ใกล้ๆ นี้ยังมีจุดขอความช่วยเหลือที่ใกล้ที่สุดอีกแห่ง แต่เป็นแค่ระดับวิญญาณ ค่าตอบแทนคือเงินสามร้อยตำลึง” สวีชุยพลิกรายการที่นำมาด้วย

“ไปขออาหารแห้งกับน้ำจากต่งฉี วันนี้พวกเราจะไปแล้ว” ลู่เซิ่งมองพลพรรคของพรรคชาที่รออยู่ด้านข้างไม่ไกล

จุดมุ่งหมายที่ออกมาในครั้งนี้ หลักๆ คือกวาดล้างปราณหยิน เขาจะฝึกฝนวิชากำลังภายในธาตุหยิน ต้องใช้ธาตุหยินจำนวนมาก หนำซ้ำยังมีการควบแน่นปราณภายใน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีเงื่อนงำ

‘อาจจะใช้ปราณหยินฝืนเรียนรู้ยกระดับวิชากำลังภายในได้ ถ้าร่างกายเราแข็งแกร่งพอ สมควรควบแน่นปราณภายใน ทำให้มันกลายเป็นของเหลวได้’ เขาพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น

‘แต่ยังต้องจัดการ การเสียสมดุลของหยินหยางก่อนค่อยว่ากัน’ ลู่เซิ่งไตร่ตรอง ‘ขอแค่เข้าสู่ระดับเบื้องต้นได้สักวิชา และฝืนใช้ปราณหยินยกระดับวิชากำลังภายในธาตุหยินนี้ได้ อาจจะบรรลุและเร่งการทำให้ปราณภายในกลายเป็นของเหลว กับปรับสมดุลหยินหยางได้’

‘เมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าทุกอย่างราบรื่น เราจำเป็นต้องทำให้ปราณขวดสมบัติเข้าสู่ระดับเบื้องต้น และยกระดับจนมีปริมาณมากพอ อาจจะได้รับผลน่าอัศจรรย์’ ลู่เซิ่งตื่นเต้น

สองปัญหาอย่างการเสียสมดุลของหยินหยาง และคอขวดพลังยุทธ์ที่เขาเป็นห่วงมาตลอด อาจจะจัดการได้ง่ายๆ

สวีชุยไปคุยกับคนในพรรคชาที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง ต่งฉีรีบมา สั่งให้คนฝังศพบิดาใหม่

“ท่านทูตจะไปแล้วหรือ ไม่ทราบตรวจสอบ…สาเหตุจนกระจ่างแล้วหรือไม่” ต่งฉีแอบยัดตั๋วเงินใบหนึ่งใส่มือลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งปรายตามองโดยไม่แสดงสีหน้า เป็นตั๋วเงิน ด้านบนประทับตัวอักษรทองคำหนึ่งร้อยตำลึง

ทองคำหนึ่งร้อยตำลึง นี่เป็นค่าตอบแทนที่ต่งฉีมอบให้ลู่เซิ่งอย่างลับๆ นอกจากค่าตอบแทนที่มอบให้พรรควาฬแดง

ทองคำหนึ่งร้อยตำลึงคือเงินหนึ่งพันตำลึง เปลี่ยนเป็นชาติก่อนก็คือสิบล้านหยวน

‘คนปลูกชาต่างก็ร่ำรวยมหาศาล’ ลู่เซิ่งทราบดี ยิ่งเป็นสถานที่เล็กๆ ในชนบทแบบนี้ ฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ไกล ผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวได้มีมากกว่าในเมืองใหญ่ๆ ที่ดูแลอย่างกวดขันมาก ค่ายพรรคที่ไม่โด่งดังแต่ร่ำรวยเช่นนี้ ในแดนเหนือมีอยู่ไม่น้อย ยิ่งอย่าว่าแต่เขตอื่นๆ

โดยเฉพาะพรรคชายังพึ่งพิงกองทัพเฟยเหลียน ในกองทัพมียอดฝีมือขุนนางตรวจการ นับว่าอยู่ในการปกครองของไป๋เฟิงเหล่าเต้า ความปลอดภัยไม่แย่กว่าเส้นทางการค้าของพรรควาฬแดง

……………………………………….