บทที่ 127 แลกเปลี่ยน (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 127 แลกเปลี่ยน (1)
“สาเหตุและความจริงถูกไขแล้ว ต้นเหตุคือคันฉ่องปีศาจบานนั้น” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ “พรรคชาเสียหายสาหัส ต้องฟื้นฟูให้ดี แต่ข้ากลับสงสัยอยู่บ้าง ในเมื่อพวกท่านพึ่งพิงกองทัพเฟยเหลียน เหตุใดไม่ขอความช่วยเหลือกองทัพเฟยเหลียนแต่แรก”

ต่งฉีได้ยินก็ถอนใจ

“ท่านทูตยังไม่ทราบ แม้กองทัพเฟยเหลียนจะอยู่รอบนอก แต่พวกเราไม่อาจขอยืมกำลัง อย่างมากสุดก็ยัดเงินให้ตอนพวกเขาลาดตระเวน พวกเขาจะได้อนุญาตให้พวกเราทำการค้าอยู่เบื้องหลังพวกเขา แค่นี้เท่านั้น จะให้พวกเขาลงมือช่วยเหลือจริงๆ กฎกองทัพไม่อนุญาต”

ลู่เซิ่งพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง”

“ท่านทูตอยู่ในเมืองใหญ่ ไม่เข้าใจความยากลำบากของพวกเรา” ต่งฉีถอนใจเอ่ย “พวกเราพรรคชาแม้เป็นค่ายพรรค แต่ค่ายพรรคแบบนี้แม้มีคนมากหากไร้เรี่ยวแรงต่อต้านวิถีทางโลก หมดหนทางค่อยร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่ตัวเอง แม้แต่ถนนก็เดินไม่ไกล ไม่จำเป็นต้องนำทาง แค่โจรภูเขาและอันตรายลี้ลับแต่ละอย่างบนเส้นทาง ก็ทำให้คนยากจะก้าวเดินแล้ว”

“วิถีทางโลกลำบาก นอกจากจับกลุ่มกัน พวกเราไม่อาจมีตัวเลือกอันใดกระมัง” ต่งฉีเอ่ยพลางยิ้มเฝื่อน “สภาพทางบ้านดีหน่อยก็ฝึกฝนวรยุทธ์ปกป้องตัวเอง แย่หน่อยก็คอยทำงานทำการให้คนอื่น ล่าสัตว์ประทังชีวิต เพื่อเรียนรู้การปกป้องชีวิตอันน้อยนิด คนหนุ่มสาวในปัจจุบันถ้าไม่ใช่เลอะเลือนดั่งหลับฝัน ยอมแพ้โดยสิ้นเชิง ก็หาทางออกเพื่อใช้ชีวิตที่สงบมั่นคง แค่จะใช้ชีวิตให้มั่นคง ก็เป็นความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดแล้ว”

ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่าต่งฉีผู้นี้จะมีประสบการณ์เช่นนี้ ต้องมองใหม่อีกที

“ท่านกลับมองได้ปรุโปร่ง”

“ท่านทูตชมเกินไป น่าเสียดายตอนยังเล็กข้าไม่ได้ตั้งใจเรียนวรยุทธ์ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงใช้ชีวิตที่ปลอดภัยกว่านี้ได้ ถ้าหากไม่กลัวภูตผี คงองอาจกล้าหาญเหมือนท่านทูตได้ บางที…บางทีบิดาข้าคงไม่ตาย…” คิดถึงตรงนี้ ต่งฉีขอบตาแดงอีกครั้ง

นางเป็นสตรีที่มีความเห็นของตัวเองและมีความสามารถ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางตัดสินใจให้คนไปขอความช่วยเหลือที่พรรควาฬแดงด้วยตัวเอง ถึงแม้จะขี้ขลาดขี้ตกใจ แต่ยังคงกลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ฮึดขึ้นอีกครั้ง จัดการพรรคชาได้อย่างมีระเบียบเรียบร้อย

‘นี่เป็นผู้มีความสามารถ’ ลู่เซิ่งให้นิยามนาง

เขาพูดคุยกับต่งฉีอีกพักหนึ่ง รอรถม้าที่รักษาไว้อย่างดีมาถึง ค่อยพลิกตัวขึ้นไป

ล้อรถม้าจมเล็กน้อย ในตัวรถเป็นฐานคันฉ่องกับเศษที่สวีชุยรวบรวมมา ยังมีหนังสือสีเหลืองเข้มที่ประณีตสองเล่ม

ลู่เซิ่งนั่งบนที่นั่ง รถม้าค่อยๆ ออกตัว

เขาหยิบตุ๊กตาผ้าตัวเล็ก และเศษผ้าสีน้ำเงินผืนนั้นออกมา กัดนิ้วชี้จนเป็นแผลเล็กๆ เลือดไหลซึมออกมา ก่อนป้ายใส่ตุ๊กตาผ้าและเศษผ้า

ซู่…

ควันดำลอยขึ้น พริบตาเดียวก็หายไปในอากาศ

ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายเย็นฉ่ำหลายสายไหลตามนิ้วของตัวเองเข้าสู่ปลายแขน ต้นแขน และทรวงอกอย่างรวดเร็ว จากนั้นเข้าสู่หัวใจ ก็สลายไปด้วยความเร็วสูง

ลมปราณไหลเข้าไปหลายอึดใจ ก็จางหายไป

‘ดีปบลู’ เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยน

กรอบสีน้ำเงินโผล่ออกมา ลอยอยู่ตรงหน้าเขา

ด้านหลังวรยุทธ์ส่วนใหญ่บนเครื่องมือปรับเปลี่ยนปรากฏปุ่มปรับเปลี่ยนได้ มีแต่ด้านหลังวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานยังคงไร้ปุ่มเรียนรู้ได้

‘หลังจากถึงระดับแปด ปริมาณปราณหยินที่วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานต้องใช้เรียนรู้กับยกระดับก็มากขึ้นเรื่อยๆ ยุ่งยากอยู่บ้างจริงๆ’ ลู่เซิ่งส่ายศีรษะ ละสายตาจากเครื่องมือปรับเปลี่ยน มองฐานคันฉ่องกับเศษกระจกที่วางบนพื้นด้านข้าง

เขาลุกขึ้นดึงคันฉ่องมา รอยเลือดยังเหลืออยู่บนแผลที่นิ้วชี้ซึ่งยังไม่ทันสมานตัวดี ป้ายเลือดใส่ฐานคันฉ่อง

ซู่…

ควันดำที่ตาเนื้อมองเห็นได้ลอยออกมา ลมปราณอันเย็นฉ่ำขนาดใหญ่หลายสายทะลักเข้าสู่กลางฝ่ามือ ลู่เซิ่งเย็นจนสะดุ้ง ลมปราณที่ทะลักเข้ามาอย่างกระทันหันมากไปบ้าง ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน

ปราณหยินของฐานคันฉ่องนี้มีมากกกว่าเศษผ้าและตุ๊กตาผ้าก่อนหน้านี้มาก

ตามการคาดคะเนอย่างคร่าวๆ ของตัวลู่เซิ่ง ได้ใช้ปริมาณปราณหยินในการยกระดับวรยุทธ์ขั้นพลังปลอดโปร่งระดับหนึ่งเป็นหนึ่งหน่วย ตุ๊กตาผ้ากับเศษผ้ารวมกัน เป็นปราณหยินสองหน่วย

ส่วนปราณหยินขนาดใหญ่หลายสายจากฐานคันฉ่องที่ทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายนี้ ผ่านไปสิบกว่าอึดใจค่อยหยุดลง เขาคำนวณดู อย่างน้อยมีหกเจ็ดหน่วย!

รอจนปราณหยินหยุดยั้งโดยสิ้นเชิง ลู่เซิ่งก็มองฐานคันฉ่องอย่างค่อนข้างอัศจรรย์ใจ

คันฉ่องที่เดิมทำจากสำริด ตอนนี้ขึ้นสนิมเป็นรอยกระดำกระด่างเล็กน้อย แตกต่างกับความแวววาวเมื่อก่อนหน้า ดูเก่าลงมาก

‘หลังจากปราณหยินถูกดูดไปก็มีลักษณะแบบนี้หรือ เช่นนั้นของอย่างปราณหยินคืออะไรกันแน่ คุณสมบัติของมันเป็นอะไร’ ความสงสัยนี้แวบผ่านห้วงสมองของลู่เซิ่ง แต่เขาก็หยุดคิดทันที ตอนนี้ไม่มีวิธีการและเวลาสำหรับศึกษาคุณสมบัติของปราณหยิน ยกระดับตัวเองก่อน หลังจากจัดการปัญหา รอมีเวลาว่างค่อยว่ากัน

ปราณหยินจากของสามอย่างถูกดูดจนหมดสิ้น ลู่เซิ่งค่อยมองไปที่วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน เป็นอย่างที่คาด ครั้งนี้ด้านหลังวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานปรากฏปุ่มปรับเปลี่ยนได้

ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย ยังคงไม่กด แต่มองกรอบวรยุทธ์ด้านล่าง

วิชาโอสถกลองพลบค่ำ วิชาด้ายทอง วิชาโซ่เก้าสินธุ หัตถ์หมีขยุ้ม สี่วิชาแข็งกร้าวนี้รวมกัน กอปรเป็นพื้นฐานอันแข็งแกร่งของสภาพหยางโชติช่วง

นั่นเป็นการตีแบบขึ้นรูปวิชาแข็งกร้าวที่เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน

‘หลังจากปรับสมดุลหยินหยางได้ ค่อยแก้ไขปัญหาการทำให้ปราณภายในเป็นของเหลว’ ลู่เซิ่งวางฐานคันฉ่องห่างๆ ใช้เชือกมัดไว้ ค่อยนั่งลงหลับตา ฝึกฝนปราณขวดสมบัติ

เมืองเลียบคีรี

เซียวหงเย่ค่อยๆ ลงจากรถม้า มองดูกำแพงและประตูที่สูงใหญ่ด้านหน้า หน้าประตูมีรูปสลักหินกิเลนสองตัว ลักษณะดุร้ายทรงอำนาจ

จวนแห่งนี้อยู่ใกล้กับทำนบ รอบๆ เย็นสดชื่น มีบ้านเรือนไม่กี่หลัง ใกล้ๆ กันยังมีโรงหมอหลังหนึ่ง คนไข้ที่ไอไม่หยุดเข้าออกตลอด ให้ความรู้สึกหม่นหมองแก่บริเวณนี้

เซียวหงเย่สีหน้าจริงจัง เดินไปเคาะประตูเบาๆ

ก๊อกๆ

ไม่ทันไร เสียงฝีเท้าเนิบช้าก็ดังมาจากด้านใน

แอ๊ด…

ประตูใหญ่สีแดงแง้มออก เผยให้เห็นชายชราอาภรณ์สีเทาหลังค่อมตาเดียว อีกฝ่ายมองเซียวหงเย่

“นายท่านเพิ่งตื่นพอดี ท่านทูตเซียวมาได้บังเอิญไปเสียทุกครั้ง”

เซียวหงเย่เค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าอวบ

“เฒ่าเฮยเกรงใจแล้ว พอดีที่บ้านได้เห็ดแดงป่าอายุห้าร้อยปีต้นหนึ่งมา นึกได้ว่าใต้เท้าผู้ประกอบพิธีเพิ่งมาถึง อาจขาดของไว้ชงชา จึงรีบนำมาให้” เขาชูถุงใบเล็กขึ้น

เฒ่าเฮยหลังค่อมตาเดียวมองของในมือเขา สีหน้าอบอุ่นเล็กน้อย

“เข้ามาเถอะ” เขาเปิดประตู

เซียวหงเย่ยิ้มให้เขา เข้าช่องประตูอย่างระมัดระวัง

ตัวลานด้านในไม่แตกต่างจากตัวลานทั่วไป ภูเขาจำลอง น้ำไหล สะพานน้อย แต่ว่าตาคมของเซียวหงเย่บังเอิญเห็นข้ารับใช้คนหนึ่งกำลังขุดหลุมดินที่มุมหนึ่ง คล้ายกำลังฝังบางอย่าง

“ตามข้ามา นายท่านกำลังอารมณ์ดี” เฒ่าเฮยนำทางเซียวหงเย่ เดินผ่านสะพานน้อย เข้าสู่โถงหลัก

ด้านในโถงหลัก ชายชราผมขาวร่างสูงใหญ่ หูซ้ายแหว่งไปข้างหนึ่ง กำลังถือกระดูกสะโพกเนื้อข้างหนึ่ง มีชามเครื่องปรุงอยู่ด้านหน้า เขากินคำโต เนื้อชิ้นใหญ่ถูกฉีกจากกระดูกสะโพก ก่อนที่เขาจะเคี้ยวแล้วกลืนลงไป

ชายชราน่าเกรงขาม ใบหน้าแดงเรื่อ สวมอาภรณ์สีขาวเรียบง่าย ยังคงเห็นเค้าโครงกล้ามเนื้อที่นูนขึ้นมาจากข้างใต้

“เซียวหงเย่คำนับใต้เท้าผู้ประกอบพิธี” เซียวหงเย่พอเข้าโถงหลัก ก็รีบประสานมือเอ่ย ชายชราด้านหน้าเป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดระดับฉลักษณ์มานานหลายปี แม้เขาจะไม่ใช่ลูกน้องของอีกฝ่าย แต่การให้ความเคารพเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเกินเลย

“แดนเหนือดูเหมือนจะไม่แย่นี่ ทูตเซียวอยู่ที่นี่นับว่าไม่เลว” ชายชราทางหนึ่งเคี้ยวเนื้อ ทางหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีล้อเล่นแล้ว พิธีในครั้งนี้ล้วนพึ่งใต้เท้าจัดการ ผู้แซ่เซียวเป็นมือรองก็พอแล้ว” เซียวหงเย่กล่าวอย่างนอบน้อม

“ปากท่านกล่าววาจาน่าฟัง ตระกูลซั่งหยางกับขุนนางประสานงานกันเป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราผู้ประกอบพิธีถามด้วยรอยยิ้ม

“ทางตระกูลซั่งหยางรับค่ายพรรคของมนุษย์ที่นี่ เรียกว่าพรรควาฬแดง นับว่ามีอำนาจส่วนหนึ่งในแดนเหนือ ให้พวกเขาช่วยรวบรวมของเซ่นได้พอดี อีกฝ่ายตอบรับแล้ว ทางขุนนางก็ไม่มีปัญหา ไป๋เฟิงเหล่าเต้าให้ความร่วมมือดีมาโดยตลอด” เซียวหงเย่แนะนำคร่าวๆ

“พรรควาฬแดงหรือ… ฟังดูคล้ายเป็นขุมกำลังที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ก่อตั้งขึ้นใช่หรือไม่” ชายชราถาม

“ถูกต้อง พรรคนี้เป็นองค์กรต่อสู้ของมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งแดนเหนือ ขนาดนับว่าใช้ได้ จะตรวจสอบข่าวอะไร ก็หาจากพวกเขาได้” เซียวหงเย่บอกเล่าพอประมาณ

“งูเจ้าถิ่นหรือ สุนัขป่าที่ส่งมาตรวจสอบหลี่ซุ่นซีครั้งล่าสุดก็คล้ายหายตัวไปในเมืองเลียบคีรีแห่งนี้ ท่านให้พวกเขาไปตรวจสอบดู ดูว่าจะได้ความหรือไม่” ชายชราผู้ประกอบพิธีกล่าวเรียบเฉย

“ขอรับ” เซียวหงเย่พยักหน้าอย่างเคารพ

“นอกจากนี้ ประสิทธิผลท่านต่ำเกินไป ให้ไป๋เฟิงกับพรรคอะไรนั่นติดต่อกับข้าโดยตรง ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่ง ให้ข้ารับผิดชอบอำนาจทั้งหมดก่อน” ผู้ประกอบพิธีเอ่ยอีก

เซียวหงเย่ใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง คล้ายไม่มีความไม่พอใจที่ถูกริบอำนาจ ยังคงก้มหน้ากล่าวอย่างนอบน้อม

“ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีกล่าวถูกแล้ว”

“ทูตเซียวยังคงไม่เลว รู้จักหลักการสำคัญ สนใจสถานการณ์ใหญ่” สตรีงดงามรูปร่างยั่วยวนคนหนึ่งเยื้องกรายออกมาจากด้านข้างโถงหลัก ใส่เสื้อเกาะอกสีขาว สวมกระโปรงสั้นแนบเนื้อ ชายกระโปรงสั้นจนไม่ต้องดึงขึ้น ก็เห็นจุดที่ชวนลุ่มหลงได้

สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดของนางมิใช่การแต่งกายของนางยั่วยวน หากเป็นตะขาบตัวใหญ่สีม่วงดำตัวหนึ่งที่ไต่บนเอวนาง

“ที่แท้เป็นทูตไป๋จิ้ง” เซียวหงเย่ยิ้มกว้าง เอ่ยพลางประสานมือ

“เพื่อพิธีกรรมรอบนี้ ครั้งนี้ทางพวกเราสี่ทูตมาถึง ทั้งหมดเป็นผู้รับผิดชอบที่อยู่รอบๆ” ไป๋จิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีใต้เท้าผู้ประกอบพิธีควบคุมสถานการณ์ใหญ่ บวกกับทูตหลายคนมาถึงพร้อมเพรียง พิธีกรรมครั้งนี้จะต้องไม่เกิดปัญหาใดๆ”

“นี่ย่อมแน่นอน” เซียวหงเย่คล้อยตาม

“เอาล่ะ ทูตเซียวท่านไปเถอะ วางของไว้ ข้าทราบความต้องการของท่านแล้ว” ผู้ประกอบพิธีเอ่ยอย่างเฉยชา

“ขอบคุณผู้ประกอบพิธี” เซียวหงเย่รีบก้มหน้าค้อมเอวคารวะ จากนั้นมอบของให้เฒ่าเฮย แล้วค่อยๆ จากไป

รอจนเขาออกจากโถงหลัก ไม่ทันไรก็ผละไปด้านนอกประตูใหญ่

ไป๋จิ้งค่อยหันไปมองผู้ประกอบพิธี

“ใต้เท้า เซียวหงเย่ผู้นี้ยังคงทราบหลักการ พวกเราพอมาถึง เขาก็มอบอำนาจให้เอง”

……………………………………….