ตอนที่ 227 เลี้ยงส่ง + ตอนที่ 228 มนตร์เสน่ห์เกินต้านทาน

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 227 เลี้ยงส่ง

ไป๋เสี่ยวยันหน้าผากไม่หันมอง ไม่อาจทนมองต่อไปได้จริงๆ เพียงพูดพึมพำว่า “น่าขายหน้าเหลือเกิน…”

ชัดเจนว่าเป็นม้าเขา กลับสะบัดหัวส่ายหางไปเอาอกเอาใจหนุ่มน้อยชุดแดงผู้นั้น

เห็นชัดๆ ว่าเป็นม้าของเขา กลับไม่ยอมให้ขี่ซ้ำยังเตะเขา ไล่ตามหนุ่มน้อยชุดแดงไปตลอดทางเสียดื้อๆ

เขาบอกแล้ว ว่าหนุ่มน้อยชุดแดงเป็นผู้ชาย แต่มันยังยื่นคอไปข้างหน้า ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่รสนิยมเหล่าไป๋กลายเป็นชอบทั้งชายหญิง?

“ฮ่าๆๆ เจ้าม้านี่น่าสนใจจริงๆ เหมือนจะฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วย”

“ใช่แล้ว แม้จะอ้วนไปหน่อย แต่ก็ตลกดี”

“หากชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นไม่บอก ข้ายังคิดว่าม้าตัวนั้นเป็นของเขาเสียอีก! พวกเจ้าดูสิ ม้าตัวนั้นยื่นคอเข้าไป ท่าทางนั้น คงไม่ได้คิดจะจูบหนุ่มน้อยนั่นกระมัง? ฮ่าๆๆ!”

คำพูดตลกขบขันเปล่งออกมา คนทั้งด้านในด้านนอกล้วนหัวเราะร่าขึ้นมา เพราะภาพเช่นนี้ ช่างเห็นได้ยากจริงๆ

เวลานี้ ไป๋เสี่ยวเข้ามาจากด้านนอก เดินมานั่งลงข้างโต๊ะเฟิ่งจิ่ว บอกว่า “เหล่าไป๋ไม่ใช่สินค้า จะขายให้ท่านก็ช่างมันเถอะ แต่ในเมื่อเหล่าไป๋ชอบท่าน ข้ายกมันให้ท่านก็ได้”

ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็เลิกคิ้วขึ้น “ยกให้ข้ารึ?”

“อืม” ไป๋เสี่ยวพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าเลี้ยงเหล่าไป๋มาหลายปีดีดัก เจ้าหนุ่มนี่ปกติวันๆ นอกจากกินก็นอน ที่ลากเขาออกมาเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ข้าดูออก เหล่าไป๋ชอบท่านมาก ดังนั้นถึงยกมันให้ท่านได้”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอบคุณเจ้ามาก” เธอหัวเราะ หยิบถ้วยมารินเหล้าลงไปสองใบ “ถ้วยนี้ข้าขอคารวะท่าน”

ไป๋เสี่ยวยกขึ้นจิบก็วางถ้วยลง “ข้าไม่ชินกับการดื่มเหล้าเท่าไหร่”

“งั้นก็ทานอาหารเถอะ” เฟิ่งจิ่วพูดยิ้มๆ ตะโกนว่า “เสี่ยวเอ้อร์ ยกอาหารมาอีกสองอย่างกับน้ำแกงหนึ่งถ้วย”

“ได้ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ขานรับ รีบไปจัดการโดยเร็ว

“ตอนนี้บอกข้าได้แล้วกระมัง ว่าเจ้าชื่อแซ่อะไร?” ไป๋เสี่ยวมองเฟิ่งจิ่วพลางเอ่ยถาม

เฟิ่งจิ่วแย้มยิ้ม บอกว่า “ข้าชื่อเฟิ่งจิ่ว”

“ข้าชื่อไป๋เสี่ยว ก่อนหน้านี้เคยบอกท่านแล้ว” เขาพูดทั้งผุดเผยรอยยิ้ม ชะงักสักพัก ก็พูดอีกว่า “ที่จริงเหล่าไป๋เลี้ยงง่ายนัก ขอแค่เจ้าเตรียมปลาเล็กห้ากิโลฯให้มันทุกมื้อหรือกุ้งตัวเล็กก็ได้นะ”

“แค่กๆ!”

ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วก็สำลักเหล้าทันที ตบๆ หน้าอก เอ่ยถามด้วยความตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าไม่ให้มันกินหญ้า แต่ให้กินกุ้งปลารึ?”

ไป๋เสี่ยวพยักหน้า สีหน้าจริงจัง “อืม เหล่าไป๋ไม่ใช่ม้าธรรมดา มันเป็นม้ามังกร หนำซ้ำยังเป็นสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์ ดังนั้นมันจึงไม่กินพืช กินแต่เนื้อ”

“กินกุ้งปลา? นั่นกินดีกว่าคนเสียอีกนะ! มิน่าถึงได้เนื้อตัวอ้วนพี”

ชำเลืองมองเหล่าไป๋ที่หมอบอยู่ตรงหน้าต่างฟังพวกเขาพูดคุย คิดว่าเธอหาปัญหาให้ตัวเองแล้วหรือเปล่าเนี่ย?

หลังมื้ออาหาร เฟิ่งจิ่วจ่ายเงินออกมาด้านนอก เอ่ยกับไป๋เสี่ยวว่า “ข้ายังมีธุระ ต้องขอลาไปก่อน วันหน้าคงมีวาสนาได้พบกันอีก ถึงเวลานั้น จะต้องเลี้ยงข้าวท่านดีๆ สักมื้อแน่นอน”

“ได้เลย ขอให้เดินทางปลอดภัย” ไป๋เสี่ยงประสานมือพูด มองไปทางเหล่าไป๋ที่ไม่แม้แต่จะมองเขาสักแวบหนึ่ง ส่ายหน้า บอกเฟิ่งจิ่วว่า “จากนี้เหล่าไป๋ต้องให้ท่านคอยดูแลแล้ว”

“แหะๆ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะตั้งใจสั่งสอนมันแน่นอน” มุมปากเฟิ่งจิ่วอมยิ้มชั่วร้าย มองเหล่าไป๋ที่กวัดแกว่งหางอยู่แวบหนึ่ง

หลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วก็พลิกตัวโดดขึ้นหลังม้า ขี่มันมุ่งไปนอกประตูหมู่บ้าน ทว่า เพิ่งเดินไปหนึ่งช่วงถนน เหล่าไป๋ก็ก่อเรื่องให้เสียแล้ว…

………………………………………………….

ตอนที่ 228 มนตร์เสน่ห์เกินต้านทาน

เห็นเหล่าไป๋ที่ก้มหัวลง ใช้จมูกพ่นลมหายใจออกไปยกกระโปรงแม่นางคนหนึ่ง เฟิ่งจิ่วก็ปิดตาไม่หันมองอย่างหมดคำพูด

เจ้าเหล่าไป๋นี่จะร้ายไปแล้ว…

“กรี๊ด!”

เสียงกรีดร้องแหลมๆ ดังขึ้นทันใด สาวน้อยสวมชุดกระโปรงสีชมพูใช้มือกดกระโปรงผ้าบางที่ปลิวไปตามลม พลางหันตัวมาทั้งใบหน้าแดงก่ำ

ขณะเฟิ่งจิ่วกำลังจะลงม้ามาขอโทษ ก็เห็นเหล่าไป๋แลบลิ้น เลียไปที่หน้าสาวน้อยทีหนึ่ง ทิ้งน้ำลายไว้ สาวน้อยตกใจเสียจนร่างกายนิ่งงันด้วยท่าทางหวาดผวา

เฟิ่งจิ่วที่เห็นภาพนี้กระตุกมุมปาก ตรงขมับมีเส้นเลือดสีดำบวมขึ้น

เจ้า เจ้าหมอนี่ทำไมเป็นเช่นนี้เล่า?

“คุณหนู!” หนูน้อยคนหนึ่งปรี่ไปประคองสาวน้อยไว้ รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดคราบน้ำลายบนใบหน้านาง

บุรุษคนข้างๆ กันเหมือนเพิ่งจะดึงสติกลับมาจากความตกใจอึ้ง เห็นม้าอ้วนตัวนั้นที่ชำเลืองมองมาอย่างเอื่อยเฉื่อย จึงด่าทอเสียงดังด้วยสีหน้าโมโห

“เจ้าเดรัจฉานช่างกล้านัก!”

ชายผู้นั้นด่าอย่างโกรธเคือง ขณะเดียวกันก็ตวัดหมัดชกไปยังหน้าเหล่าไป๋ กลับนึกไม่ถึง ว่าหมัดที่ชกไปจะถูกมือหนึ่งขวางเอาไว้

“คุณชายท่านนี้อย่าเพิ่งโมโหไป”

เฟิ่งจิ่วที่พลิกตัวลงจากม้าใช้มือหนึ่งขวางหมัดชายผู้นั้นไว้ เอ่ยด้วยความเสียใจ “ขอโทษด้วยจริงๆ ม้าข้าตัวนี้ชอบความสวยงามอยู่บ้าง ไม่ได้ตั้งใจกลั่นแกล้งคุณหนูท่านนี้แน่นอน ขอคุณชายกับคุณหนูอย่าถือสา”

“ชอบความสวยงาม? หึ! ข้าว่าเจ้านั่นแหละชอบความสวยงาม! ต้องเป็นเจ้าแน่ที่เป่าหูสัตว์วิญญาณให้ทำท่าทางไร้ยางอายเช่นนี้!” ชายผู้นั้นตะคอกอย่างดุร้าย ขณะเดียวกันก็ดึงหมัดที่ถูกขวางไว้กลับ แววตาเฉียบแหลมจ้องตรงที่เฟิ่งจิ่วผู้สวมชุดแดงใบหน้างดงาม

สัตว์วิญญาณ?

คนรอบๆ ได้ยินคำนี้ ต่างพากันพินิจมองม้าอ้วนตัวนี้ขึ้นมา เห็นบนหัวมีสองเขา จึงพูดคุยกันเสียงเบาอย่างอดไม่ได้

“ม้าตัวนี้แตกต่างกับม้าทั่วไป เป็นสัตว์วิญญาณจริงๆ รึ?”

“ได้ยินว่าสัตว์วิญญาณมีราคานัก หนำซ้ำที่ใช้เป็นพาหนะเดินทางได้ล้วนต้องผ่านการฝึกฝนทำให้เชื่อง”

“แต่สัตว์วิญญาณตัวนี้ก็อ้วนเกินไปหน่อยนะ! ดูจากท่าทางก็ไม่รู้ว่าวิ่งได้หรือเปล่า”

“ข้ารู้มา ว่าเนื้อสัตว์วิญญาณคนธรรมดาอย่างพวกเรากินแล้วจะร่างกายแข็งแรง ผู้ฝึกวิชาเซียนกินจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ เป็นของที่ดีทีเดียว”

ได้ยินคำพูดทุกคน เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มๆ เห็นชายผู้นั้นจ้องมาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก จึงยิ้มมองสาวน้อยผู้งดงามทรงเสน่ห์ที่ถูกทำให้ตกใจเสียจนสีหน้าซีดขาว มายังตรงหน้านาง ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มชั่วร้ายมีเสน่ห์ ดวงตาที่มีประกายน่าหวั่นไหวใจเอ่อล้นจ้องมองนางอย่างอ่อนโยน

“คุณหนูท่านนี้ ข้าขอโทษจริงๆ นะ ต้องโทษข้าที่ไม่ดูแลม้าตัวเองให้ดี ทำให้คุณหนูตกใจ”

น้ำเสียงเธอไม่มีความอ่อนช้อยของหญิงสาว และความแข็งกร้าวของชายหนุ่ม ตรงกันข้าม มันกลับเหมือนน้ำใสสะอาด ชัดเจนอบอุ่น มีความแหบพร่าเล็กน้อยรวมถึงเสน่ห์ดึงดูดใจ ที่ได้ยินในหู ราวกับขนเล็กละเอียดกำลังหยอกเย้าใบหู ด้านชาไปถึงหัวใจ

สาวน้อยแสนสวยผู้นั้นมองหนุ่มน้อยชุดแดงตรงหน้า เห็นแววตาสดใสที่เอ่อล้นด้วยประกายน่าดึงดูดกำลังมองมา ดวงตาที่คล้ายจะพูดได้มองนางเสียจนใบหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงขึ้นผิดปกติ ก้มหน้าลงตามมาด้วยความประหม่า

“ไม่ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงสาวน้อยเปล่งออกมาอย่างอ่อนโยน มีความประหม่าและเขินอายบางส่วน กลับยังอยากจะเงยหน้าไปมองหนุ่มน้อยชุดแดงรูปงามตรงหน้าอย่างอดไม่ได้

หลังชายคนข้างๆ เห็นภาพนี้ ถลึงดวงตาขึ้นทั้งสีหน้าหมองหม่น กำลังจะพูด ก็เห็นหนุ่มน้อยชุดแดงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ

………………………………………………….