ตอนที่ 146 สามีมือทอง

จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ทั้งสองสามีภรรยาจึงเห็นพ้องต้องกันในการจัดการเรื่องนี้

วันถัดมาเขาจึงไปคุยเรื่องนี้กับลุงจี้

อันที่จริงจี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็ยินดีจะรับช่วงดูแลสวนนี้ต่อ อีกฝ่ายเองก็นึกขอบคุณเพราะเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าสวนบนเขานี้จะใช้งานได้หรือปลูกไม้ผลขึ้นบ้างหรือไม่

เรียกได้ว่ามีความเสี่ยงสูงมาก

หากปลูกอะไรไม่ขึ้นก็ไม่ต่างกับการเอาเงินไปถมที่เล่น

จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงต้องตกลงกับลุงจี้ให้ชัดเจน ตอนนี้เขายินดีซื้อต่อ แต่คุณลุงจี้จะว่าอย่างไร? ภายภาคหน้าเขาจะทวงพื้นที่บนภูเขาคืนหรือยกให้ไปเลย

คุณลุงจี้ถอนหายใจ “เจี้ยนอวิ๋น ลุงรู้ว่าแกเป็นคนดี แล้วก็เข้าใจด้วยว่าที่ตรงนี้ดินมันไม่ดีเลย แม้แต่หญ้ายังไม่ขึ้น อย่างอื่นจะไปเหลือได้ยังไงกัน แค่แกยอมซื้อสวนต่อ ลุงก็ซึ้งใจมากแล้ว”

ชายสูงวัยกล่าวชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องห่วงว่าเขาจะทวงที่คืนภายหลังให้เสียเกียรติ เขาผู้เป็นลุงดูแลมันไม่ไหวจริง ๆ หากจี้เจี้ยนอวิ๋นทำได้ เขาก็ไม่คิดเรียกร้องอะไรแล้ว

จี้เจี้ยนอวิ๋นรับรู้และซื้อสวนมาดูแลต่ออย่างสบายใจได้ในที่สุด

เขาค่อนข้างพึงพอใจกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนดำเนินการทำสัญญาให้เรียบร้อย ลุงจี้ลงทุนไปครั้งแรกกว่า 400 หยวนเป็นค่าสัญญาเช่าพื้นที่บนภูเขานี้ก่อนจะลงเพิ่มอีก 100 หยวน

แน่นอนว่าเงินทั้งหมดนั้นสูญเปล่าเพราะไม่ได้ผลผลิตแม้แต่น้อย ส่วนเงินที่ลุงจี้ลงทุนจำนวนมากตอนแรก จี้เจี้ยนอวิ๋นก็จ่ายชดเชยให้อีกฝ่ายในทันที

ลุงจี้ย่อมไม่กล้าเอ่ยขอเงินพวกนี้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นเงินหลายร้อยหยวนทีเดียว

หากแต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยังให้เขา ทั้งยังขับรถไปดำเนินการโอนที่ดินบนภูเขาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ตอนนี้ที่บนเขาจึงกลายเป็นของจี้เจี้ยนอวิ๋นเรียบร้อย

ลุงจี้เอ่ยขึ้น “เจี้ยนอวิ๋น ถ้าสวนนี้ไปรอดแล้วต้องการคนงานประจำก็ให้เจ้าเจี้ยนชวนไปทำได้นะ และลุงก็ไปช่วยได้ด้วยอีกคน”

“การปลูกผักผลไม้กับรดน้ำมันเหนื่อยมาก คุณลุงทำไม่ไหวหรอกครับ แต่ว่าผมอยากได้หัวหน้ามาช่วยดูแลงานอยู่ ถ้าสนใจก็มาทำได้เลยนะครับ” เขาบอก

ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของสวนตั้งสองที่ คงต้องเหนื่อยมากขึ้นอย่างแน่นอน เขาวางแผนจะจัดการสวนใหม่ให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากที่ทำแบบนี้กับสวนแรกก็พบว่ามันช่วยให้ไม่ต้องคอยกังวลอีกต่อไป

ดังนั้นเขาจึงต้องจัดการที่นี่ในแบบเดียวกัน ซึ่งต้องใช้คนงานจำนวนมาก

“เรื่องนั้นสบายมาก เดี๋ยวลุงจัดการให้เอง!” อีกฝ่ายรีบขานรับ

“ดีเลยครับ” เขาพยักหน้า

เขายื่นสัญญาให้ภรรยาดูเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก่อนบอกว่าจะเร่งปลูกผลไม้ที่สวนใหม่ให้เร็วที่สุด

“งั้นคุณก็จ้างคนเพิ่มอีกหน่อยสิคะ ในหมู่บ้านมีคนที่หน่วยก้านดีหลายคน เผื่อตำแหน่งไว้ให้หยางอ้ายเซิน ลูกคนที่สามของป้าหยางก็ดีนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปถามพี่สวี่ด้วยค่ะ” ซูตานหงเสนอ

เขาพยักหน้ารับ “แล้วแต่คุณเถอะครับ เดี๋ยวผมจะขับรถไปซื้อกล้าพันธุ์จากเหล่าฉิน ครั้งนี้คงต้องใช้เยอะ”

สองสามีภรรยาต่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เมื่อตั้งเป้าว่าจะปลูกสวนใหม่อีกที่ก็ลงมือทันที ต่อไปจะมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมายขนาดไหนกัน? เดือนหน้าก็จะได้เวลาเอาผลผลิตไปขายแล้ว ทั้งคู่จึงต้องรีบจัดการให้เสร็จภายในเดือนเดียว เพื่อที่จะได้ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล

ซูตานหงอุ้มฉีฉีมาที่ศาลากลางหมู่บ้าน

“เป็นตานหงนี่เอง” พี่สวี่กล่าวต้อนรับเธออย่างยิ้มแย้ม

“ช่วงนี้พี่ยุ่งหรือเปล่าคะ?” เธอถามพลางส่งยิ้มตอบ

“ไม่ยุ่งหรอก ปกติก็ไม่ค่อยมีคนมาเท่าไหร่” อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“พอดีว่าเจี้ยนอวิ๋นไปซื้อสวนบนเขาอีกลูกมา ว่าจะปลูกสวนใหม่อีกที่น่ะค่ะ ก็เลยต้องหาคนงานมาช่วย พี่พอจะแนะนำคนที่ขยันให้ได้บ้างไหมคะ? เรามีค่าจ้างให้เดือนละ 30 หยวนค่ะ” เธอเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ก่อนถามขึ้น

พี่สวี่จะไม่รู้เรื่องที่จี้เจี้ยนอวิ๋นซื้อสวนต่อจากลุงจี้ถังได้อย่างไรกันล่ะ? ในเมื่อทั้งคู่เพิ่งจะพาสามีหล่อนไปโอนที่ดินด้วยกันมาเอง

หล่อนพอจะรู้จุดประสงค์ของซูตานหงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมาหา เพียงแค่ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ

หล่อนหลุดหัวเราะก่อนเอ่ย “มีสิ เป็นสวี่เจี้ยนกั๋วหลานทางน้าของพี่เอง เขาเป็นคนขยันขันแข็ง แต่ไม่ค่อยมีเงินเพราะลูกเยอะ ถ้าเธอต้องการคนงานเดี๋ยวฉันจะไปคุยให้ ได้เงินถึงเดือนละ 30 หยวน เขาคงทำงานถวายหัวให้เธอเลยล่ะ”

ซูตานหงยกยิ้มและบอก “แค่ทำงานตามปกติก็พอค่ะ ไม่เห็นต้องหักโหมให้เสียสุขภาพเลย ถ้าเขายอมตกลงก็อาจจะได้เป็นคนงานประจำ หากสุขภาพทรุดแล้วจะเสียโอกาสไปนะคะ”

เมื่อได้ยินดังนั้นพี่สวี่จึงยิ่งยินดี หล่อนไม่คิดว่าตานหงจะมาหาจริง ๆ จึงรีบเอ่ยขึ้น “ไม่เหนื่อยหรอกน่า ไม่ต้องห่วง เขาไม่ทำให้เธอผิดหวังแน่นอน”

“งั้นก็เอาตามนี้นะคะ ให้เขามาเริ่มงานได้เลยค่ะ” ซูตานหงตกลงว่าจ้างเขา

เขาชื่อเหมือนพี่ชายใหญ่ของจี้เจี้ยนอวิ๋นเลย คนหนึ่งชื่อจี้เจี้ยนกั๋ว ในขณะที่อีกคนหนึ่งชื่อสวี่เจี้ยนกั๋ว

คนที่เกิดยุคนั้นก็เป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่มักจะมีชื่อซ้ำกันเป็นปกติ

หลังตกลงกันเสร็จสรรพซูตานหงก็เดินทางกลับ แต่แทนที่จะตรงกลับบ้านทันที กลับแวะไปหาคุณป้าหยางก่อน

“ตานหง กินมะเขือเทศไหมจ๊ะ? ในสวนหลังบ้านกำลังสุกเพียบเลยนะ มาหยิบไปกินสิ” ป้าหยางกล่าวชวนพร้อมรอยยิ้ม

“กินค่ะ” เธอหยิบมากินหนึ่งลูก ส่วนฉีฉีเมื่อเห็นแม่กินก็อยากกินขึ้นมาบ้าง จึงเหลือบมองคล้ายดูว่าจะให้กินหรือเปล่า

เมื่อรู้ชัดแล้วว่าคงไม่ได้กิน เจ้าตัวน้อยก็ร้องไห้งอแงขึ้นมา ซูตานหงจึงรีบบิชิ้นเล็ก ๆ ป้อนเขา ก่อนจะรีบกินให้หมดทั้งลูกและบอกกับเขา “ไม่ได้ ห้ามดื้อนะครับ”

ฉีฉีมองและเริ่มหาวหวอด ๆ

เธอเอ่ยกับป้าหยาง “คุณป้าคะ ที่บอกไว้ครั้งก่อนว่าจะให้อ้ายเซินมาช่วย ตอนนี้มีตำแหน่งว่างแล้วนะคะ แต่ว่างานอาจจะหนักไปหน่อย ไม่รู้ว่าเขาจะไหวหรือเปล่าน่ะค่ะ?”

“จริงเหรอ? คนงานบนเขาก็มีเยอะแล้วนี่นา” นางว่าขึ้นด้วยท่าทางยินดี

“พอดีว่าเจี้ยนอวิ๋นไปซื้อสวนบนเขาด้านบนต่อจากคุณลุงมา แล้วก็ว่าจะปลูกผลไม้ ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องจ้างคนงานเพิ่มไม่ใช่เหรอคะ?” เธอตอบพลางส่งยิ้มให้

“สวนตรงนั้นถูกทิ้งร้างไปนานแล้ว จะปลูกพืชผลได้เหรอ? เมื่อก่อนก็สภาพไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน แล้วใครจะไปทำสวนได้ล่ะ?” นางบอก

“เจี้ยนอวิ๋นอยากจะลองน่ะค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสำเร็จไหม” เธอตอบ

สีหน้าคุณป้าหยางฉายแววมั่นใจเพราะเชื่อใจซูตานหง “ถ้าเจี้ยนอวิ๋นลงมือก็คงไม่มีปัญหาแน่ ตอนนี้เขาเล่าลือกันไปสามบ้านแปดบ้านแล้วนะ ว่ามีใครไม่รู้จักสามีมือทองของตานหงกันบ้าง? มีเธออยู่ด้วยทั้งคน เขาต้องทำสำเร็จอยู่แล้วล่ะจ้ะ”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ได้ขยายสวนผลไม้แล้ว มีของดีอยู่กับตัว สวนนี้ก็น่าจะเจริญงอกงามไม่แพ้สวนแรกเหมือนกันนะ

ไหหม่า(海馬)