ตอนที่ 145 ครอบครัววาสนาดี

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 145 ครอบครัววาสนาดี

ด้านซูตานหงก็หลุดพ้นจากข้อห้ามต่าง ๆ เพราะผ่านช่วงอยู่ไฟมาแล้ว โดยเฉพาะหลังจากอาบน้ำ เธอรู้สึกราวกับได้ผลัดผิวหนังไปถึง 30 ชั่ง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะรู้สึกดีขนาดไหน

ที่ผ่านมาเธอลำบากไม่น้อย แม่ของเธอเข้มงวดมากจนไม่ปล่อยให้ได้อาบน้ำสักครั้งระหว่างช่วงอยู่ไฟ ถ้าทนไม่ไหวก็จะใช้น้ำร้อนเช็ดตัวให้แทน หากกล้าขัดขืนนางก็จะเถียงกลับว่าเธอไม่รู้จักอดทน คนรุ่นนางอยู่ไฟลำบากกว่านี้ก็ยังผ่านมาได้ แค่อยู่ไฟเท่านั้นเอง!

มีใครเขาอยู่เฉย ๆ ไม่ทำงานแลกแต้มค่าแรงหลังคลอดลูกสามวันกัน ไม่อย่างนั้นทั้งครอบครัวคงไม่มีแม้แต่น้ำข้าวกิน

ซูตานหงไม่กล้าขัดใจจึงได้แต่อดทนไว้

แต่ตอนนี้เรียกได้ว่าหลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว!

การมีคุณแม่ซูคอยช่วยจัดการเรื่องในบ้านให้ ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ในเดือนนี้คลี่คลายลงไปได้ไม่น้อย โดยเฉพาะกับจี้เจี้ยนอวิ๋น

เขาจึงหมดห่วงกับที่บ้านและออกไปทำงานที่สวนได้อย่างสบายใจ

เมื่อเดือนก่อนสตรอเบอรี่กองโตเพิ่งถูกเก็บไปขาย ด้วยเป็นฤดูของสตรอเบอรี่จึงมีให้เก็บขายเป็นจำนวนมากในทุก ๆ วัน

ปีนี้คุณแม่จี้ปลูกสตรอเบอรี่มากขึ้นและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มาก นอกจากซูจิ้นตั๋งแล้ว เหล่าฉินก็แวะมารับสตรอเบอรี่ไปขายทุกวันด้วย เพราะสตรอเบอรี่เป็นที่นิยมของคนในอำเภอ ทั้งรสหวานอร่อย และยังราคาไม่แพง

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเหลืออีกมาก

จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงขนไปขายที่เมืองเจียงสุ่ยพร้อมกับไข่จำนวนมากเหมือนอย่างเคย

เขางานยุ่งเป็นพิเศษจนไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ดีที่ตอนนั้นมีคุณแม่ซูอยู่จึงพอได้หายใจหายคอได้บ้าง

ด้านซูตานหงก็สบายดี นอกจากเรื่องที่แม่ของเธอขี้บ่นไปหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก

ตอนนี้คุณแม่ซูกลับไปแล้ว จึงไม่แปลกที่เธอจะต้องกลับมาดูแลเรื่องในบ้าน

หากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับเธอ เพราะฉีฉีลูกคนรองเลี้ยงง่ายกว่าพี่ชายของเขามาก

ซูตานหงจึงคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับอาหารการกิน เพราะตอนอุ้มท้องแรกถึงจะดูแลครรภ์เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้กินผลไม้มากนัก เธอจึงใช้วิธีกินอาหารให้ครบสามมื้อแล้วกินผลไม้บ้างเป็นครั้งคราว

ผิดกับตอนท้องลูกคนที่สองซึ่งตรงกับฤดูผลไม้บนภูเขาพอดี เธอจึงได้กินผลไม้ทุกวัน อีกทั้งในช่วงฤดูหนาวเจี้ยนอวิ๋นยังซื้อส้มจากทางใต้มาให้เธอกินด้วย ซึ่งส้มนั้นหวานอร่อยจนเธอติดใจ

ถึงแม้ราคาจะไม่ใช่ถูก ๆ แต่เขาก็ยินดีซื้อกลับมาให้ และเธอเองก็ชอบมันมาก

ฉีฉีที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นานมีผิวพรรณดีต่างกับพี่ชายเล็กน้อย แม้เหรินเหรินจะไม่ได้ดูแย่ แต่เขาก็มีผิวไม่ขาวเท่าน้องชาย ซึ่งฉีฉีมีผิวขาวดูราวกับเด็กผู้หญิง บวกกับขนคิ้วบางละเอียดแล้วเขาก็ดูไม่เหมือนเด็กผู้ชายเลยสักนิด

ถึงภายนอกจะดูเรียบร้อยน่ารักแต่กลับมีนิสัยที่ดูไม่เข้ากันแต่อย่างใด

โดยเฉพาะเสียงร้องของเขาที่ทำให้พี่ชายเขาถึงกับต้องมุ่นคิ้วเมื่อเขาร้องงอแงทุกครั้งที่ไม่ได้ได้ดั่งใจ และถ้ายังไม่ตามใจเขาก็จะร้องไม่หยุด

ซูตานหงไม่กล้าขัดใจเพราะรู้ว่าเขาจะร้องลั่นออกมาอีก

แต่ลูกคนนี้ก็กินง่ายและอดทนได้ดีมาก ตราบใดที่เขาได้กินอิ่มและเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน เขาก็สามารถเล่นและหลับไปเองได้ โดยไม่สนใจว่าเธอจะทำอะไรอยู่ด้วยซ้ำ

วันนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาบ้านพร้อมเหรินเหริน และเขาได้ยินเสียงร้องของลูกคนรองดังลอดมาจากประตู

“น้องร้องอีกแล้วครับ เสียงดังจังเลย” เหรินเหรินขมวดคิ้วขณะบอกพ่ออย่างช่วยไม่ได้

“น้องยังเด็กน่ะ ลูกก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกันครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยพลางยกยิ้ม

“ผมก็เป็นเหรอ?” เจ้าตัวเล็กมีท่าทีแปลกใจ

แม้ว่าเหรินเหรินจะอายุไม่ถึงสองขวบดี แต่ก็พูดคล่องขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ขึ้นไปเล่นกับพวกพี่ ๆ บนเขา

เนื่องจากสตรอเบอรี่กำลังสุกแก่ และเด็ก ๆ ก็มีความสามารถในการเก็บผลไม้ คุณแม่จี้จึงจ้างเด็ก ๆ บางคนในหมู่บ้านให้มาช่วยเก็บ

นางกำชับพวกเขาไว้ว่าห้ามแอบกิน เมื่อเก็บเสร็จแล้วเดี๋ยวทุกคนก็จะได้ทั้งสตรอเบอรี่และเงินกลับไป ถ้าใครฝ่าฝืนครั้งหน้าจะไม่ให้มาอีก

งานนี้เป็นงานสบายสำหรับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน อีกยังได้ทั้งเงินและของกินกลับไป พวกเขาจึงยินดีทำเป็นอย่างยิ่ง

พักนี้เหรินเหรินชอบขึ้นไปบนภูเขาและไปเล่นกับพี่ ๆ บนนั้น ครั้นพวกเขารู้ว่าเขาเป็นลูกชายเจ้าของสวนจึงให้การดูแลเป็นอย่างดี

“เด็กคนอื่นก็ร้องแบบนี้เหมือนกัน น้องของลูกถือว่าน้อยแล้วนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น

“เข้าใจแล้วครับ” เหรินเหรินพยักหน้ารับ

เมื่อสองพ่อลูกเข้ามาในบ้าน เสียงร้องก็เงียบลงพร้อมกับที่ฉีฉีได้รับการเปลี่ยนผ้าอ้อมจากผู้เป็นแม่ ตอนนี้เขาจึงเล่นนิ้วตัวเองอยู่บนเตียงเตา

เหรินเหรินถูกพ่ออุ้มมาไว้บนเตียงเตา เขาจึงมาหอมแก้มน้องชาย ส่วนฉีฉีก็หันมาพ่นฟองน้ำลายใส่ ในตอนนี้เองเหรินเหรินได้หยิบสตรอเบอรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อ ซึ่งหายากนักที่มันจะยังมีสภาพดีอยู่

“กินสิ เดี๋ยวพี่ป้อนให้นะ” เขาบอกขณะกำลังจะป้อนสตรอเบอรี่เข้าปากน้อง

จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นเข้าก็ห้ามไว้ “น้องยังกินไม่ได้นะครับ”

ซูตานหงถึงกับเหนื่อยใจ เธอบอกไปหลายรอบแล้วแต่เหรินเหรินก็จำไม่ได้สักที

เหรินเหรินพลันนึกขึ้นได้ “แม่บอกว่าน้องยังไม่มีฟันนี่นา”

เขาเพิ่งจำได้ตอนที่พ่อเอ่ยเตือน แต่ถ้าพ่อไม่เตือนเขาก็จำไม่ได้ เด็กชายจึงหยิบสตรอเบอรี่ใส่ปากตัวเองแทน และปลอบน้องพลางเคี้ยวไปด้วย “เดี๋ยวโตแล้วพี่จะเด็ดมาให้กินอีกนะ”

ฉีฉีเหลือบมองเขาก่อนจะหันไปเล่นต่อตามเดิม

เหรินเหรินกินเสร็จแล้วก็ไปหยิบอัลบั้มรูปข้างตัวมานั่งเปิดดู

ส่วนจี้เจี้ยนอวิ๋นก็มาปรึกษากับภรรยาว่าควรซื้อสวนต่อจากจี้ถังผู้เป็นลุงหรือไม่

“เขามาคุยกับคุณเหรอคะ?” เธอยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น

ลุงจี้ถังก็คือคนที่มาขอให้เขาช่วย ส่วนป้าหลี่ถังเป็นคนสั่งลูกชายสองคนคือจี้เจี้ยนชวนและจี้เจี้ยนเหอให้มาขนน้ำที่บ้านของเขาขึ้นไปที่สวน

แต่หลังจากนั้นจี้เจี้ยนชวนก็แยกตัวออกมาเป็นคนงานประจำที่นี่ ตอนนี้งานในสวนที่เขารับผิดชอบอยู่ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว

ตอนนี้ที่สวนจึงเหลือเพียงลุงจี้ถัง ป้าหลี่ถัง และจี้เจี้ยนเหอ

ซูตานหงเองก็รู้เรื่องนี้ดี เธอเคยขึ้นไปดูสวนและเห็นว่าผลผลิตไม่ค่อยดีนัก แม้จะยังไม่เฉาตายแต่ก็ไม่มีทางจะเก็บเกี่ยวได้ เรียกได้ว่าไม่มีทางคืนทุนได้เลย

“คุณป้าหลี่ถังบอกว่าอดจะชื่นชมคุณไม่ได้น่ะ บอกว่าคุณเกิดในครอบครัววาสนาดี ท่านคงปลูกอะไรบนเขานั้นไม่ขึ้นแล้ว ถ้าเรามาดูแลก็คงจะฟื้นตัวได้แน่ ๆ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้ม

“ว่ายังไงนะคะ?” เธอมองเขาด้วยท่าทีขบขัน

“ถ้าเราไม่รับช่วงต่อ ครอบครัวลุงจี้ก็คงเสียหายไม่น้อย แต่ถ้าเราจะทำผมก็ไม่แน่ใจว่าจะไปได้ดีหรือเปล่าน่ะ” เขาบอกอย่างตรงไปตรงมา

“ถ้าอยากทำก็ลุยเลยค่ะ แต่ต้องตกลงกับคุณลุงให้ชัดเจนนะคะจะได้ไม่มีเรื่องยุ่งหลังจากนี้ แล้วก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกญาติคนอื่น ๆ จะดีกว่านะคะ” เธอเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงได้เอ่ยสนับสนุน

เธอเองก็ต้องการซื้อสวนต่อจากชาวบ้านมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ไม่ได้จังหวะเสียที ตอนนี้ได้โอกาสแล้วลองดูก็ไม่เสียหายอะไร

เพียงแต่เรื่องนี้ต้องตกลงกันให้ชัดเจนจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง นี่ถือเป็นหลักการของเธอ

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เอ็นดูเหรินเหรินจังเลยค่ะ รู้นะว่าเห่อน้องอยากเลี้ยงน้อง

เรื่องรายละเอียดสัญญานี่ถือเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ค่ะ มีปัญหาเพราะเรื่องนี้กันมาเยอะแล้ว

ไหหม่า(海馬)