บทที่ 66 คิดว่าตัวเองเก่งพอแล้วอย่างนั้นหรือ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 66 คิดว่าตัวเองเก่งพอแล้วอย่างนั้นหรือ

ทันทีที่เถาว่านเฉิงได้ยินข้อต่อรองของหลิงเฉิน เขาก็คิดปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝันตามมา

แต่เซินเฟยมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตนเองแล้ว เขาจึงพยักหน้าตอบรับว่า “เสี่ยวเถา ทำตามที่นางต้องการเถอะ อย่างไรพวกเขาก็ไม่รอดมือเราอยู่แล้ว”

ความจริง การที่หลิงเฉินยื่นข้อเสนอมาอย่างนี้ ย่อมหมายความว่านางสิ้นไร้หนทางแล้วจริงๆ ถ้าหากนางยังคงดื้อดึงที่จะไม่เจรจาต่อไป คงเกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบ

หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงหันมองหน้ากัน หลังจากนั้นจึงเดินมาหยุดอยู่ข้างโขดหินที่หลิงเฉินยืนอยู่

หลิงเฉินกลับไม่ได้สนใจพวกเขาสักนิด นางหันไปพูดกับเซินเฟยต่อจากเดิมว่า “เจ้าเรียกขานเถาว่านเฉิงว่าเสี่ยวเถา แสดงว่าคงรู้จักกันมานานแล้วสินะ”

เซินเฟยยิ้มมุมปาก “ข้ารู้จักเสี่ยวเถามาได้สองปีกว่าแล้ว หลี่เทาก็เหมือนกัน”

รู้จักกันมา 2 ปีกว่าแล้ว?

นั่นมันก่อนหน้าที่เถาว่านเฉิงกับหลี่เทาจะเข้าเรียนในสถานศึกษากระบี่หลวงเสียอีก

หลี่เทายิ้มกริ่มขณะอธิบายว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้ากับเถาว่านเฉิงเกลียดขี้หน้ากันใช่ไหม? เฮอะ ตลอดสองปีที่ผ่านมา เราแค่เล่นละครเท่านั้น คงไม่มีใครเชื่อด้วยซ้ำ ถ้าข้าบอกว่าเซินเฟยกับเถาว่านเฉิง เป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้าเอง”

ว่าไงนะ?

ตอนนี้ อย่าว่าแต่หลิงเฉินจะแปลกใจเลย แม้แต่หลินเป่ยเฉินและบรรดาศิษย์อัจฉริยะที่ยืนอยู่รอบบริเวณ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงไปกับความจริงข้อนี้ทั้งสิ้น

“เป็นไปได้ยังไงกัน?”

“นับว่าน่าสนใจไม่น้อย” หลิงเฉินพลันระเบิดเสียงหัวเราะหยามเหยียด

ยังคงมีเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลบนหัวไหล่ขวาของนางอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนหลิงเฉินจะไม่สนใจเลย

“เท่ากับว่าที่ผ่านมา พวกเจ้าเล่นละครตบตาเรามาตลอดเลยสินะ?”

แล้วเด็กสาวก็หันไปมองหน้าเซินเฟย

นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ ทุกคนไม่เคยมองเห็นเด็กหนุ่มจากสำนักยุทธ์อิสระคนนี้อยู่ในสายตามาก่อน ดังนั้นจึงย่อมคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นผู้สั่งการเรื่องราวทั้งหมด

ปรากฏว่าแม้แต่เถาว่านเฉิงกับหลี่เทา ก็ต้องรับคำสั่งจากเซินเฟย

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก” เซินเฟย เด็กหนุ่มร่างผอม หน้าตาหล่อเหลาพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ “นี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ของพวกเราสามคนเท่านั้น”

ประโยคนี้ฟังดูทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งเถาว่านเฉิงกับหลี่เทาต่างก็มีสีหน้าเหมือนสาวกที่เคารพในตัวศาสดาหมดหัวใจ แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหลงใหล ราวกับยินดีสละชีวิตตนเองเพื่อความฝันของส่วนรวมได้โดยไม่มีปัญหา

“สองปีก่อน ตอนที่กำลังจะต้องเข้าสถานศึกษากระบี่หลวง ข้าได้มีโอกาสรู้จักเสี่ยวเถากับพี่เฟย” หลี่เทากล่าวเสริม “ข้าไม่มีทางลืมวันนั้นเด็ดขาด มันเป็นวันที่ชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไป”

“มิผิด การพบกันครั้งนั้น ทำให้ชีวิตของเราไม่เหมือนเดิมอีกเลย” เถาว่านเฉิงทบทวนความทรงจำด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ “ที่ผ่านมา ข้ากับหลี่เทาเป็นเพียงคนที่น่าขายหน้าประจำตระกูล เราเกิดมาในตระกูลใหญ่ แต่มีฝีมือธรรมดา ไม่เข้าขั้นอัจฉริยะตามที่ครอบครัวคาดหวัง จึงฝันเพียงในอนาคตได้เป็นเถ้าแก่เปิดร้านค้าขาย กินสมบัติของตระกูลไปวันๆ ต่อให้ตั้งใจฝึกหนักสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางก้าวสู่ความเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะได้เด็ดขาด”

หลี่เทาพูดอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่แล้ว การได้พบพี่เฟยเปลี่ยนชีวิตของพวกเราไปตลอดกาล เราได้เรียนรู้วิธีการฝึกตนจากการแนะนำของเขา เราพบวิธีทำให้ตัวเองกลายเป็นที่รักใคร่ของเหล่าผู้อาวุโสประจำตระกูล แล้วโชคชะตาของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สุดท้าย ข้ากับเถาว่านเฉิงก็สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษากระบี่หลวงและกลายเป็นความภาคภูมิใจประจำตระกูลได้สำเร็จ”

“เหล่าผู้อาวุโสต่างก็วางตัวเราให้เป็นหัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไป… ชีวิตของพวกเราดีขึ้นได้เพราะพี่เฟย เขาเป็นทั้งพี่ใหญ่ของพวกเรา เป็นอาจารย์ของพวกเรา และเป็นคนที่พวกเราเชื่อใจมากที่สุด”

เถาว่านเฉิงพยักหน้าหงึกหงัก “เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะช่วยพี่เฟยเปลี่ยนชะตาชีวิตของเขาบ้าง กระทรวงศึกษาออกกฎเกณฑ์ที่กดขี่สำนักยุทธ์อิสระมาตลอด มันเป็นความผิดพลาดที่ต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง พี่เฟยจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าได้เห็นเองกับตา”

“อุ๊แหม ตอนที่พวกเจ้าเจอหน้าข้าครั้งแรก ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้ากำลังแสดงละครว่าไม่ถูกกัน เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจว่าเถาว่านเฉิงกับหลี่เทา ไม่มีทางร่วมมือกันได้เด็ดขาดสินะ” หลินเป่ยเฉินกล่าวแทรกขึ้น

หลี่เทาตอบว่า “ถูกแล้ว เสี่ยวเถาเข้าไปหาเรื่องเจ้า ส่วนข้าก็ทำเป็นเข้าไปช่วยเหลือเจ้า ทุกคนจะได้เข้าใจว่าเราสองคนมีปัญหากันเพราะเจ้า แต่ความจริงแล้วนั้น เหอเหอ คนที่อยู่อันดับสิบสองอย่างเจ้า ไม่มีค่าในสายตาเราเลยสักนิด เจ้ามันก็เป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งของเราเท่านั้นเอง”

“อ้าว ไอ้เวรนี่”

หลินเป่ยเฉินอยากสบถคำหยาบคายเหลือเกินหลังได้ยินคำนั้น

“พวกนายอยากเล่นละครตบตาใครก็ทำไปดิ่ ทำไมต้องเอาฉันไปเกี่ยวด้วยวะเนี่ย?”

“เจ้าไม่มีค่าอะไรเลย นอกจากเป็นเบี้ยบนกระดานของเราเท่านั้น” เถาว่านเฉิงพลันรับช่วงต่อ “อันที่จริงแล้ว เจ้าเป็นแค่ข้ออ้างที่จะทำให้ทุกคนเชื่อต่อไป ว่าหลี่เทากับข้าไม่มีทางลงรอยกันได้เด็ดขาด ทุกคนต้องเข้าใจต่อไปว่าเราเป็นคู่แข่งกันเสมอ เสมือนน้ำกับไฟที่ไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้ ด้วยเหตุนี้ แม้แต่หลิงเฉินก็ยังหลงกลพวกเราแล้วจริงไหม?”

กลุ่มคนโดยรอบต่างก็ตกตะลึงหลังได้รับทราบความจริงข้อนี้

หลี่เทากับเถาว่านเฉิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นคู่แข่งกันมาตลอดสองปี ทั้งสองคนต่างเป็นศิษย์ชื่อดัง มีบริวารมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดกลับเป็นเซินเฟย

เด็กหนุ่มจากสำนักยุทธ์อิสระใช้เวลาเกินกว่า 2 ปี คอยชักใยเหตุการณ์ด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งมีวันนี้

ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพระดับมืออาชีพ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถวางแผนได้แนบเนียนเท่าเขาอีกแล้ว

เซินเฟยมีความยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน

หลักธรรมคำสอนของการเป็นจอมยุทธ์ในดินแดนจักรวรรดิทะเลเหนือ ล้วนส่งเสริมให้ผู้คนเคารพเทิดทูนผู้แข็งแกร่งอย่างเช่นเซินเฟย จึงไม่น่าแปลกใจที่เวลาเพียงพริบตาเดียว เขาจะสามารถเอาชนะใจศิษย์อัจฉริยะได้เป็นจำนวนมาก

แม้แต่สองอัจฉริยะประจำสถานศึกษากระบี่หลวง ต่างก็ยินดีเป็นผู้ติดตามของเขา

“สรุปว่า ที่เจ้าอยากทำให้ข้าตกรอบ ก็เพราะตัวเจ้าเองอยากจะเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายเหมือนกันใช่ไหม?”

บาดแผลของหลิงเฉินยังมีเลือดไหลไม่หยุด

เห็นได้ชัดว่าคมกระบี่เมื่อสักครู่นี้สร้างบาดแผลฉกรรจ์เอาไว้ทีเดียว

แต่นางไม่ได้ให้ความสนใจกับบาดแผลบนหัวไหล่ตัวเองเลยสักนิด “เจ้าอยากทำให้ทุกคนเห็นว่า ในการแข่งขันครั้งนี้ แม้แต่คนจากสถานศึกษากระบี่หลวงก็สามารถตกรอบได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ตัวเจ้าเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้สำเร็จ และกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด เจ้าคิดที่จะใช้โอกาสนี้ เป็นบันไดก้าวสู่การเลื่อนขั้นสถานะทางสังคมใช่หรือไม่?

เซินเฟยพยักหน้าตอบรับโดยไม่ปิดบัง “ถูกต้อง และมันก็ไม่ได้ผิดกฎของจักรวรรดิทะเลเหนือแต่อย่างใด”

หลิงเฉินกล่าวว่า “มิผิด มันไม่ได้ผิดกฎของจักรวรรดิทะเลเหนือ แต่โชคร้ายที่อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่มีทางตกรอบเด็ดขาด”

เซินเฟยแค่นเสียงพูดว่า “ในเมื่อเชิญให้ตกรอบดีๆ เจ้าไม่ยินยอม…ถ้าอย่างนั้น ข้าก็คงต้องใช้กำลังบังคับเจ้าแล้ว”

ในขณะนี้ หลิงเฉินได้รับบาดเจ็บ พลังการต่อสู้จึงลดลงไปมาก ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซินเฟยแน่นอน

เด็กสาวยังคงยืนอยู่บนโขดหินต่อไป ไม่สะทกสะท้านต่อการคุกคามของฝ่ายตรงข้าม

แต่ถึงกระนั้น เซินเฟยก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกประตู

บัดนี้โอกาสลงมือมาถึงแล้ว

เซินเฟยเดินถือกระบี่หมื่นดาราออกมาข้างหน้าอย่างแช่มช้า

หลิงเฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่แล้วหลินเป่ยเฉินกลับชิงตัดหน้า พูดขึ้นก่อนว่า “ข้าจะสู้กับเขาเอง”

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ชักกระบี่คุณธรรมออกมายืนหยัดอยู่ตรงหน้าหลิงเฉิน

ความเย้ยหยันปรากฏขึ้นในแววตาของเซินเฟย ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งพอที่จะสู้กับข้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”