ตอนที่ 116 คุ้มกัน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

จริงหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงกระดาษเซวียนจื่อกับสมุดที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือในห้องฝั่งขวา รู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

 

 

แต่ในเมื่อเฉิงฉือกล่าวว่าไม่เป็นไรแล้ว หากนางยังยืนกรานจะไปรออยู่ที่ระเบียงก็คงจะไม่ดีนัก เช่นนั้นจะดูเหมือนว่าไร้มารยาทไปสักหน่อย อย่างไรเสีย ตนก็เป็นหนี้ท่านน้าฉือมามากมายแล้ว จึงไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้อีก ตนเพียงรอให้มีโอกาสในภายภาคหน้าแล้วค่อยตอบแทนบุญคุณท่านน้าฉือก็แล้วกัน

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามเฉิงฉือว่า “เกิดปัญหาขึ้นกับสินค้าที่หลินอันหรือเจ้าคะ”

 

 

“อืม” เฉิงฉือตอบ “เรือสำเภาพลิกคว่ำ แต่โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ ทว่าก็เสียหายไปหลายพันเหลี่ยงเงิน ต้องหารือเรื่องค่าชดใช้กับบรรดาเจ้าของสินค้า”

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยคำว่า “อมิตาพุทธ” ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และกล่าวขึ้นว่า “ไม่มีเงินก็ยังสามารถหาใหม่ได้ ไม่มีผู้ใดสูญเสียชีวิตก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือพยักหน้า

 

 

คิดอยู่ในใจว่า ข้ากล่าวเช่นนี้แล้ว เจ้าคงจะไม่มาหาข้าอีกแล้วกระมัง

 

 

จี๋อิ๋งเดินเข้ามา

 

 

นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีม่วงของผลองุ่นตัวหนึ่ง เกล้าผมเป็นมวยหลวมๆ สีหน้าเย็นชา ทว่าท่าทางที่คำนับเฉิงฉือกลับนอบน้อมยิ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นอดพึมพำอยู่ในใจไม่ได้

 

 

จี๋อิ๋งผู้นี้…เหตุใดนางถึงสวมเสื้อผ้าสีเข้มเช่นนี้ทุกครั้งที่พบนางกันนะ นางไม่รู้สึกร้อนเลยหรือ

 

 

ระหว่างนั้น นางได้ยินเฉิงฉือสั่งจี๋อิ๋งว่า “เจ้าไปส่งคุณหนูรองกลับเรือนหว่านเซียงที”

 

 

จี๋อิ๋งขานรับว่า “เจ้าค่ะ” อย่างสุภาพ ผายมือทำท่า เชิญ ให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง แล้วเดินนำออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นทำความเคารพเฉิงฉืออย่างเร่งรีบ แล้วเดินตามออกไป

 

 

เฉิงฉือส่ายศีรษะ แล้วเดินกลับเข้าไปยังห้องฝั่งขวา นั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ ลูบสมุดที่วางเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือเบาๆ พลางครุ่นคิด

 

 

ไหวซานเดินเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียง เอ่ยถามว่า “นายท่านสี่ พวกเราจะออกเดินทางพรุ่งนี้เลยหรือไม่ขอรับ”

 

 

“วันมะรืนค่อยออกเดินทางก็แล้วกัน!” เฉิงฉือกล่าว น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่กระตือรือร้นสักเท่าไหร่ “พรุ่งนี้ข้าจะไปพบท่านผู้จัดการรองของสิบสามห้างแห่งก่วงตงสักหน่อย เขาส่งเทียบเชิญมาให้ข้าสองครั้งแล้ว กล่าวว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบข้า ตอนแรกข้านึกว่ามาหาข้าด้วยเรื่องของเฉิงเจิ้งของจวนสาม จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว พวกเขาอยากจะทำธุรกิจกับจวนสามก็ทำไป แผ่นดินใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ มีใครบ้างที่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว ทว่าเขาดึงเถ้าแก่ใหญ่ของสมาคมการค้าแห่งก่วงตงออกมาร่วมด้วย กล่าวว่าเชิญข้าไปร่วมรับประทานอาหารกับท่านเถ้าแก่ใหญ่สักมื้อ ข้าเดาว่าอาจจะหารือเกี่ยวกับเรื่องการขนส่งทางน้ำ ข้าจะไปฟังดูว่าพวกเขาจะกล่าวอะไรกันบ้าง”

 

 

“เรื่องการขนส่งทางน้ำหรือขอรับ” ไหวซานกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น “พวกเขาคิดเห็นอย่างไรขอรับ”

 

 

“ยังจะคิดเห็นอย่างไรได้อีก” เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “หากว่าราชสำนักทำการขุดลอกแม่น้ำถงซุ่น ก็สามารถลำเลียงสินค้าจากทางตอนใต้ไปยังตอนเหนือผ่านคลองจิงหังได้โดยตรง ไม่ต้องขนส่งจากก่วงตงตามแนวชายฝั่งของฝูเจี้ยนไปทางเจ้อเจียงแล้วลำเลียงต่อไปยังเทียนจินอีกแล้ว เกรงว่าขบวนสำเภาของสิบสามห้างแห่งก่วงตงของพวกเขาคงถึงคราวต้องแยกย้ายกันเสียแล้ว ที่ท่านผู้จัดการรองของสิบสามห้างมาเมืองจินหลิงในครั้งนี้ ก็เพื่อเรื่องนี้เสียมากกว่า”

 

 

“ท่านหมายถึงว่านถงหรือขอรับ” ไหวซานไม่กล้ากล่าวตรงๆ สักเท่าไหร่

 

 

“อืม” เฉิงฉือรวบรวมสมุดที่วางอยู่เบื้องหน้าเข้าด้วยกัน พลางกล่าวว่า “ถ้าหากโน้มน้าวว่านถงสำเร็จ ก็เท่ากับโน้มน้าวหวงไท่ซุนสำเร็จ ครั้นหวงไท่ซุนเห็นด้วยแล้ว องค์ฮ่องเต้ย่อมเห็นด้วยเป็นแน่ บัญชีเล่มนี้ถือว่าเขายังคำนวณได้แม่นยำอยู่”

 

 

“แล้วท่านคิดจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้หรือไม่ขอรับ” ไหวซานกระซิบกล่าว “หากว่าภายหน้าสามารถลำเลียงสินค้าจากทางตอนใต้ไปตอนเหนือผ่านคลองจิงหังได้แล้วล่ะก็ ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำจะได้รับผลประโยชน์ เสบียงของกองกำลังรักษาการณ์จิ่วเปียนก็จะเสียหายน้อยลง…”

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “หืม ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าเองก็สนใจเรื่องของราชสำนักด้วย”

 

 

สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกของไหวซานพลันแดงเรื่อขึ้น

 

 

เฉิงฉือไม่อยากหยอกล้อเขาต่อไปอีก จึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าเพียงแต่ไปดูสักหน่อยเท่านั้น” ขณะที่กล่าว มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่แฝงความเย้ยหยันอยู่หลายส่วนออกมา กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องราวภายใต้ฟ้าล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าเพียงแค่เปิดตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งแล้วตกแต่งให้ซอยจิ่วหรูเป็นสถานที่อันสงบสุขก็พอ ส่วนเรื่องใครจะเป็นใครจะตาย ใครจะดีหรือใครจะร้ายนั้น เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

 

 

ไหวซานก้มศีรษะลง ไม่กล้าตอบ

 

 

เฉิงฉือมองกอไผ่กอหนึ่งที่อยู่บริเวณมุมลานข้างนอกหน้าต่าง ในดวงตามีแววโดดเดี่ยวสายหนึ่งวาบผ่าน

 

 

***

 

 

ตอนที่โจวเสาจิ่นกับจี๋อิ๋งเดินออกจากเรือนซิ่วฉี่ ก็ไม่เห็นเงาของเฉิงสวี่และคนอื่นๆ แล้ว

 

 

นางรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เดินมุ่งหน้าไปยังจวนสี่พร้อมกับซือเซียงและจี๋อิ๋ง

 

 

แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง พวกนางก็พบกับเฉิงสวี่

 

 

เฉิงสวี่เหงื่อชุ่มทั่วศีรษะ ถือพัดกระดาษโบกลมผับๆ ไปมา ส่วนต้าซูกับฮวนสี่ยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้าเขา ด้วยท่าทางหวั่นเกรงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

 

 

พอเห็นโจวเสาจิ่น ดวงตาของเฉิงสวี่ก็สว่างวาบขึ้นมา รีบกล่าวขึ้นว่า “น้องสาวรองตระกูลโจว เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” น้ำเสียงอำพรางความยินดีเอาไว้ ทว่าตอนที่สายตาของเขาตกอยู่บนตัวของจี๋อิ๋ง แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความงงงวย เอ่ยถามขึ้นว่า “แม่นางจี๋อิ๋ง เหตุใดเจ้าถึงได้มากับน้องสาวรองตระกูลโจวได้”

 

 

“คุณชายใหญ่สวี่!” จี๋อิ๋งโค้งคำนับเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาไม่แสดงสีหน้าใดๆ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่สั่งให้ข้าไปส่งคุณหนูรองตระกูลโจวกลับเรือนหว่านเซียงเจ้าค่ะ”

 

 

“เจ้า” เฉิงสวี่จ้องมองโจวเสาจิ่น แล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “เมื่อครู่เจ้าอยู่ที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวใจบีบรัด กำลังจะเอ่ยปากตอบ ทว่าจี๋อิ๋งกลับกล่าวขึ้นมาเสียก่อนว่า “คุณชายใหญ่สวี่ ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ ขอท่านช่วยหลบทางให้ด้วย ข้ายังต้องกลับไปรายงานแก่นายท่านสี่ของพวกข้า หากว่าท่านต้องการสอบถามอะไร ก็กลับไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยอีกครั้ง หรือไม่ก็รอให้ข้าไปส่งคุณหนูรองตระกูลโจวกลับเรือนหว่านเซียงเสียก่อนแล้วท่านค่อยไปคุยกับคุณหนูรองตระกูลโจวให้ละเอียดก็ได้ ข้าไม่สะดวกที่จะรั้งอยู่ที่นี่นานนักเจ้าค่ะ”

 

 

นี่คือท่าทางและวาจาที่สาวใช้คนหนึ่งพึงจะมีหรือ

 

 

เฉิงสวี่ โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกตกใจยิ่ง

 

 

ทว่าจี๋อิ๋งกลับดึงโจวเสาจิ่นเดินผ่านเฉิงสวี่ไป

 

 

“รอก่อน!” ต้าซูยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของจี๋อิ๋ง

 

 

จี๋อิ๋งยิ้มเยาะ พลางกล่าว “ฉินต้าซู เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นบ่าวรับใช้ของนายท่านสี่ หรือว่าเจ้าอยากจะขัดผู้เป็นนายอย่างนั้นหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วต้าซูแซ่ ‘ฉิน’

 

 

เช่นนั้นเขากับ ‘ฉินต้า’ ที่บิดาพูดถึงผู้นั้นจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันหรือไม่นะ

 

 

ทั้งยังมีพ่อบ้านที่พบเมื่อครั้งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่จวนห้าผู้นั้น ก็แซ่ ‘ฉิน’…พ่อบ้านใหญ่ของซอยจิ่วหรูก็แซ่ ‘ฉิน’ เช่นเดียวกัน

 

 

โจวเสาจิ่นได้แต่รู้สึกวิงเวียนศีรษะ

 

 

เรื่องของตระกูลเฉิงนั้นยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลเฉิงทำให้ผู้คนสับสนงุนงงและไม่อาจเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งมากเท่านั้น

 

 

ฉินต้าซูได้ยินจี๋อิ๋งกล่าวเช่นนี้ สีหน้าเผยความลังเลใจออกมา

 

 

จี๋อิ๋งสบถเย็นครั้งหนึ่ง ไม่แม้แต่จะชายตาแลต้าซู ดึงตัวโจวเสาจิ่นเดินตรงไปข้างหน้า

 

 

ซือเซียงรีบเดินตามไป

 

 

เสียงของเฉิงสวี่ดังขึ้นมาจากข้างหลังของพวกนาง “พวกเจ้ารอก่อน!”

 

 

จี๋อิ๋งไม่เพียงไม่หยุดฝีเท้าลง ในทางตรงกันข้าม กลับยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

 

 

โจวเสาจิ่นกับซือเซียงจำต้องวิ่งเหยาะๆ เพื่อเร่งตามให้ทันฝีก้าวของนาง

 

 

เมื่อเหลียวกลับไปมอง พวกเฉิงสวี่ก็ถูกพวกนางสลัดทิ้งเอาไว้เบื้องหลังเสียแล้ว ต้าซูกำลังห้ามปรามเฉิงสวี่ที่กำลังกล่าวอะไรบางอย่างอยู่ สีหน้าของเฉิงสวี่ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง

 

 

แม้นใช้ชีวิตมาสองชาติ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นสามารถสลัดเฉิงสวี่หลุดไปได้อย่างเด็ดขาด นางอดรู้สึกลิงโลดอยู่ในใจไม่ได้ หันไปกล่าวขอบคุณจี๋อิ๋ง

 

 

จี๋อิ๋งไม่คิดเช่นนั้น กล่าวขึ้นว่า “ข้าเพียงทำตามคำสั่งที่นายท่านสี่มอบหมายให้เท่านั้น!”

 

 

“อย่างไรก็ยังต้องขอบคุณเจ้า” โจวเสาจิ่นวิ่งไปด้วย พลางกล่าวอย่างหอบหายใจไปด้วยว่า “ต่อให้เจ้าเพียงทำตามคำสั่งของนายท่านสี่ แต่หากเจ้าเพียงยืนหลบทางอยู่ข้างๆ และยอมให้พี่ชายสวี่รั้งข้าเอาไว้เพื่อพูดคุย ก็ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของท่านน้าฉือเช่นกัน!”

 

 

จี๋อิ๋งชำเลืองมองนางอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง ไม่เอ่ยตอบอะไร แล้วก้าวเท้าเดินต่อไป

 

 

โจวเสาจิ่นคิดว่าจี๋อิ๋งเดินเร็วยิ่งนัก ตามไม่ทันอยู่บ้าง ทว่าพอนึกถึงเฉิงสวี่ที่อยู่เบื้องหลังของพวกนางแล้ว นางคิดว่าเดินให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้ถึงเรือนหว่านเซียงเร็วๆ

 

 

เดินต่อไปเช่นนี้เป็นเวลาประมาณสองจอกชา โจวเสาจิ่นหายใจกระหืดกระหอบ

 

 

จี๋อิ๋งหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “หยุดเดินทำไมหรือ”

 

 

จี๋อิ๋งจ้องมองโจวเสาจิ่นครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็สาวเท้าเดินต่อไป

 

 

ครั้งนี้ นางเดินช้าลงกว่าเดิม

 

 

เมื่อครู่โจวเสาจิ่นเดินเร็วเกินไป แม้ว่ายังเหนื่อยหอบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ต้องวิ่งตลอดทางเหมือนก่อนหน้าแล้ว

 

 

นางถามจี๋อิ๋งว่า “เจ้าเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ เป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลเฉิงมาตลอดเลยหรือไม่ บิดามารดาทำงานอะไร มีพี่น้องหรือไม่”

 

 

จี๋อิ๋งนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ข้าเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ตอนอายุสิบแปด บิดามารดาทำนาอยู่ที่บ้านเกิด มีพี่ชายสองคน ไม่มีน้องชายหรือน้องสาว”

 

 

“มาเป็นสาวใช้ในจวนตอนอายุสิบแปดอย่างนั้นหรือ” โจวเสาจิ่นตกตะลึงจนตาค้างไปเล็กน้อย “เหตุใดครอบครัวของเจ้าถึงส่งเจ้ามาที่นี่ เจ้าหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ สามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้ว…”

 

 

ในเมื่อไม่ได้เป็นบ่าวรับใช้มาตั้งแต่ต้น โดยปกติจะเป็นเพราะครอบครัวขัดสนแร้นแค้น ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอเลี้ยงดูบุตรชายบุตรสาวได้ จึงขายบุตรชายบุตรสาวให้ไปเป็นบ่าวชายหรือสาวใช้ของผู้อื่น แต่สาวงามเฉกเช่นจี๋อิ๋งผู้นี้ สามารถหาตระกูลที่พอจะมีทรัพย์สินอยู่บ้างเล็กน้อยเพื่อแต่งงานด้วยได้ ซึ่งก็ช่วยให้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่มได้เช่นเดียวกัน

 

 

หรือว่าจี๋อิ๋งมาอยู่ในจวนไม่ใช่เพียงเพื่อเป็นสาวใช้ของท่านน้าฉือ?

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกตกใจสะดุ้งโหยงกับความคิดนี้ของตัวเอง

 

 

จี๋อิ๋งมองนางอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าว่าข้าหน้าตางดงามอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ใช่!” โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าตนเองกล่าวผิดตรงที่ใด เอ่ยถามว่า “หรือว่าไม่มีใครชมว่าเจ้างดงามเลยหรือ”

 

 

นัยน์ตาของจี๋อิ๋งปรากฏแสงขุ่นมัวสายหนึ่งออกมา สักพักถึงตอบขึ้นว่า “มี! มีคนบอกว่าข้างดงาม”

 

 

เช่นนั้นเหตุใดยังต้องสงสัยอีก

 

 

โจวเสาจิ่นคิดว่าจี๋อิ๋งช่างเหมือนกับซอยจิ่วหรูแห่งนี้ยิ่งนัก ลึกลับจนไม่อาจหยั่งรู้ได้ทุกเรื่อง

 

 

ในเมื่อไม่อาจหยั่งรู้ได้ ก็พักการขบคิดหาคำตอบเอาไว้ก่อนจะดีกว่า เมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างคงกระจ่างแจ้งเอง

 

 

โจวเสาจิ่นศึกษาธรรมะมานานหลายปี จิตใจย่อมปล่อยวางมากกว่าแต่ก่อน

 

 

พวกนางนิ่งเงียบไม่พูดจาตลอดทางจนถึงเรือนหว่านเซียง

 

 

โจวชูจิ่นกำลังชะเง้อมองอย่างรอคอยอยู่ที่ประตู

 

 

นางรีบดึงตัวโจวเสาจิ่นมาสำรวจดูครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอะไร ก็กล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าเพียงไปส่งใบชาเท่านั้น เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า แล้วแนะนำจี๋อิ๋งให้พี่สาวรู้จัก

 

 

เมื่อโจวชูจิ่นได้ยินว่านางเป็นสาวใช้ใหญ่ที่รับใช้อยู่ข้างกายเฉิงฉือ ทั้งยังพาโจวเสาจิ่นกลับมาส่งด้วย จึงเชิญนางไปดื่มน้ำชาสักจอกแล้วค่อยกลับไปอย่างเกรงใจ

 

 

“ขอบคุณคุณหนูใหญ่ยิ่งนัก” ทว่าต่างจากความเย็นชาที่ปฏิบัติต่อเฉิงสวี่ มุมปากของจี๋อิ๋งแต้มรอยยิ้มบางๆ ใบหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็งและหิมะที่หลอมละลายนั้น เผยให้เห็นสีหน้าแท้จริงอันงดงามพิลาส “นายท่านสี่ยังรอให้ข้ากลับไปรายงาน เอาไว้ครั้งหน้าจะกลับมาเยี่ยมคุณหนูใหญ่อีกครั้ง”

 

 

โจวชูจิ่นไม่ได้คะยั้นคะยอให้นางอยู่ต่อ ออกไปส่งจี๋อิ๋งถึงที่ประตูด้วยตนเอง รอจนกระทั่งเงาร่างของนางพ้นสายตาไปแล้ว จึงเดินโอบไหล่ของโจวเสาจิ่นขึ้นเรือนไป และเอ่ยถามขึ้นว่า “นางเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายท่านน้าฉือจริงๆ หรือ ไม่เพียงมีหน้าตาที่งดงามเท่านั้น อากัปกิริยาผึ่งผายเยี่ยงนั้น ไหนเลยจะเหมือนสาวใช้ ข้าไม่กล้าแม้แต่จะตกรางวัลให้นาง!”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นในทันใด “ข้ายังคิดว่า เหตุใดท่านพี่ถึงลืมเรื่องนี้ไปได้ เดิมทียังคิดจะเตือนท่านพี่สักหน่อย แต่จี๋อิ๋งเดินเร็วเกินไป ข้าจึงคิดไม่ทัน โชคดีที่ข้าไม่ได้กล่าวออกไป ไม่เช่นนั้นคงขายหน้าแย่แล้ว”

 

 

ในห้วงสมองของสองพี่น้องพลันบังเกิดความคิดหนึ่งพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

 

 

จี๋อิ๋งผู้นี้ คงจะถูกมอบให้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงของท่านน้าฉือกระมัง

 

 

ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!

 

 

นางสามารถแต่งงานไปเป็นฮูหยินของผู้อื่นอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมด้วยซ้ำไป

 

 

ทั้งสองคนลอบถอนหายใจอยู่ในใจ

 

 

เมื่อกลับเข้าห้องแล้ว โจวชูจิ่นจึงกระซิบถามน้องสาวว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เมื่อสักครู่น้องชายสวี่มาพบ และมอบของฝากให้ด้วยตัวเอง กล่าวว่านำกลับมาจากหังโจว และเจ้ายังได้สาวใช้ของท่านน้าฉือพากลับมาส่งอีก…”

 

 

โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังครั้งหนึ่ง

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวว่า “ท่านพ่อก็จริงๆ ให้เจ้านำความอะไรไปแจ้งก็ไม่รู้ ส่วนเจ้าก็เหมือนกัน เล่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังก็ได้แล้ว ยังจะวิ่งไปจนถึงเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยอีก…”

 

 

……………………………………………………………