ตอนที่ 117 ผู้ส่งสาร

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร

 

 

โจวชูจิ่นคิดว่าน้องสาวเพียงแค่เล่นซุกซนเท่านั้น จึงบ่นติเตือนสองสามประโยค แล้วโยนเรื่องนี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง

 

 

ตกบ่าย โจวเสาจิ่นไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน พวกปี้อวี้กับเฝ่ยชุ่ยสองสามคนกำลังหารือกันอยู่ว่าจะเตรียมของขวัญอะไรให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว โจวเสาจิ่นถึงได้นึกขึ้นว่าวันที่เก้าเดือนเก้าเป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

ตนก็ควรจะให้ความสนใจด้วยถึงจะถูก

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามปี้อวี้ว่า “ทุกปีที่ผ่านมาทุกคนมอบอะไรกันบ้างหรือ”

 

 

“พวกงานเย็บปักถักร้อยเล็กๆ น้อยๆ เจ้าค่ะ” ปี้อวี้กล่าวอย่างเคอะเขินเล็กน้อย “ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นอกเห็นใจพวกข้ายิ่ง เงินรางวัลที่ให้มานั้นมากกว่าเงินค่าของขวัญที่พวกเราซื้อให้เสียอีก แต่พวกข้าเองก็รู้สึกกระดากอายหากจะมอบของขวัญล้ำค่าเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นคิดถึงคราวก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนบอกให้นางปักผ้าโพกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงคิดจะมอบผ้าโพกศีรษะสักสองผืนกับถุงเท้ารองเท้าสองคู่เป็นของขวัญวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

โจวชูจิ่นก็เห็นว่าดีเหมือนกัน กล่าวว่า “จวนหลักขาดสิ่งของอันดีใดบ้าง ต่อให้เจ้ามอบของขวัญล้ำค่าเพียงใดก็ไม่นับว่าล้ำค่า ไม่สู้ทำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเองสักสองสามชิ้น แม้เป็นสิ่งของเล็กน้อยแต่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ”

 

 

ทว่าจวนสี่กลับไม่อาจเลือกสรรของขวัญอย่างลวกๆ เช่นนั้นได้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวว่า “ในปีที่ผ่านๆ มายามเฉลิมฉลองวันเกิดของข้า ของขวัญของจวนหลักล้วนแต่สูงค่ายิ่ง ปีนี้โจวเสาจิ่นไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน ทั้งสองจวนไปมาหาสู่กันมากกว่าแต่ก่อน วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าจึงต้องพิถีพิถันในการเลือกของขวัญมากกว่ายามปกติเป็นเท่าตัวถึงจะถูก”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรู้สึกหนักใจเล็กน้อย

 

 

วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนปีนี้ นอกจากจวนหลักจะมอบเสื้อผ้ามาให้สี่ชุดแล้ว ยังมอบสร้อยประคำไม้สนหนานมู่หนึ่งเส้น และไม้เท้าทำจากไม้จันทร์แดงอีกหนึ่งอัน ถ้าหากจวนสี่ต้องเพิ่มความใส่ใจในการเลือกของขวัญที่จะมอบให้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นควรจะเพิ่มอะไรดี

 

 

โจวชูจิ่นออกความคิดเห็นแก่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “มอบฉากกั้นชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญดีหรือไม่เจ้าคะ คราวที่แล้วในงานวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจากจวนรอง ข้าเห็นแขกที่มาร่วมงานมอบฉากกั้นประดับภาพเผิงจู่อวยพรวันเกิด พวกเรามอบฉากกั้นภาพเทพธิดาอวยพรวันเกิดดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็คิดว่าไม่เลว จึงเรียกพ่อบ้านเข้ามาสั่งการให้ไปหาซื้อฉากกั้นนั้น ส่วนทางด้านของเฉิงสวี่นั้นกลับเป็นกังวลยิ่งนัก

 

 

ตอนที่เขาออกเดินทางไปเมืองหังโจวยังรู้สึกห่อเ**่ยวไม่เบิกบาน กระทั่งถึงเมืองหังโจว มีสหายพาเขาไปเลี้ยงต้อนรับ ระหว่างนั้นเมื่อเอ่ยถึงข่าวคราวล่าสุด ไหนเลยจะพ้นเรื่องที่ราชสำนักต้องการขุดลอกแม่น้ำถงโจว บางคนเห็นด้วยบางคนไม่เห็นด้วย สุดท้ายแล้วต่างไม่มีใครโน้มน้าวใจใครได้ จึงเดิมพันกันขึ้นมา

 

 

ในตอนนั้นเฉิงสวี่ก็สะดุดใจ คิดว่าหากใช้ความสำเร็จในอนาคตของตนมาเดิมพันกับมารดาสักครั้ง…ไม่แน่ว่าอาจจะได้แต่งงานกับโจวเสาจิ่นสำเร็จก็เป็นได้

 

 

ยิ่งเขาขบคิดก็ยิ่งเห็นว่ามีเหตุผล ครั้นได้ยินว่าโจวเจิ้นจะออกเดินทางไปเป่าติ้งในวันที่เจ็ด ก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป รีบขอลาท่านอาจารย์กลับมา แม้ว่าท้ายที่สุดจะกลับมาไม่ทัน ทว่าเขาก็ได้ตัดสินใจแล้ว จึงไม่รู้สึกผิดหวังมากนัก เพียงแต่รู้สึกราวกับมีนกน้อยตัวหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจ ทนไม่ได้อยากเห็นหน้าโจวเสาจิ่น และพูดคุยกับนางสักสองสามประโยค

 

 

คิดไม่ถึงว่านางยังคงหลีกเลี่ยงเขาเหมือนเช่นที่ผ่านมา

 

 

โจวเสาจิ่นไม่สนใจเขาเลยจริงๆ หรือระมัดระวังเรื่องระยะห่างระหว่างชายหญิงกันแน่

 

 

เขาคิดว่าเขาจำต้องหาวิธีทำเรื่องนี้ให้กระจ่างถึงจะถูก

 

 

เพียงแต่ว่านางมักจะหลบหน้าเขาอยู่ตลอด เช่นนั้นเมื่อไหร่ตนจะมีโอกาสได้พูดคุยกับนางดีๆ สักประโยคกัน?

 

 

เฉิงสวี่นั่งอยู่ในเรือนอย่างไม่เป็นสุข

 

 

ฮวนสี่ผู้มีความสามารถในการสังเกตสีหน้าของผู้เป็นนายอยู่เสมอ ไม่ช้าก็ค้นพบความกลัดกลุ้มของเฉิงสวี่ เขากระซิบกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ วันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าใกล้มาถึงแล้วขอรับ!”

 

 

เฉิงสวี่เข้าใจได้ในทัน รู้สึกลิงโลดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ตบไหล่ของฮวนสี่หนักๆ และตกรางวัลให้เขาห้าเหลี่ยงเงิน เอนกายอิงเก้าอี้เอนหลังพลางคิดใคร่ครวญว่าตนควรทำอย่างไรดีเมื่อถึงเวลานั้น

 

 

แต่ละจวนเริ่มส่งของขวัญสำหรับเทศกาลวันไหว้พระจันทร์กันแล้ว

 

 

ทว่าจวนเหลียงกั๋วกงกลับส่งคนมาซอยจิ่วหรูเพื่อแจ้งข่าวมรณกรรม

 

 

ภรรยาของจูเผิงจวี่สิ้นลมหายใจจากความเจ็บป่วย

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “ในปีที่ผ่านมาเรื่องพวกนี้แจ้งให้พ่อบ้านที่ลานชั้นนอกทราบก็พอแล้วมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงได้มาแจ้งข่าวมรณกรรมถึงเรือนชั้นในของพวกเราด้วย”

 

 

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนค่อยๆ หนักอึ้งขึ้น กำชับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “เจ้าส่งคนไปเฝ้าดูพ่อบ้านที่ลานชั้นนอกสักหน่อย ส่วนเสาจิ่นสองพี่น้องทางด้านนั้น เจ้าก็ต้องเฝ้าระวังเอาไว้เหมือนกัน”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้ารับคำ

 

 

อาจูส่งหมัวมัวมาเพื่อแจ้งว่าพี่สะใภ้เสียชีวิตลงแล้ว งานชมดอกไม้ที่นัดหมายกันไว้ก่อนหน้าคงจะจัดไม่ได้เสียแล้ว ต้องขอโทษพวกนางเป็นอย่างยิ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นสองพี่น้องและเฉิงเจียต่างเขียนจดหมายไปปลอบใจอาจู

 

 

เนื่องจากว่ามีผู้อาวุโสพำนักอยู่ จวนเหลียงกั๋วกงจึงตั้งศพไว้เพียงเจ็ดวันแล้วนำไปฝัง

 

 

เฉิงเจียเอ่ยถึงเรื่องนี้กับโจวเสาจิ่นแล้วก็อดรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้อยู่บ้าง “…อย่างไรก็ต้องตั้งศพยี่สิบเอ็ดวันมิใช่หรือ เช่นนี้เหมือนกับรีบจัดให้เสร็จสิ้นไปเสียมากเกินไปแล้ว ครอบครัวของฮูหยินจูไม่โต้แย้งอะไรบ้างเลยหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นจำต้องเก็บซ่อนความรังเกียจเอาไว้แล้วปลอบเฉิงเจียไปว่า “อาจเป็นเพราะต้องฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก็เป็นได้ หลังจากฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์แล้วทั้งท่านเหลียงกั๋วกงกับบุตรชายต้องเดินทางไปเมืองหลวง คงจะไม่มีใจมาจัดงานศพมากนัก”

 

 

สุดท้ายเฉิงเจียยังคงพร่ำบ่นถึงความไม่เป็นธรรมนี้ต่อไป กล่าวงึมงำว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้น วงศ์ตระกูลก็ยังมีประวัติอันยาวนานมิใช่หรือ หรือว่าต้องให้พวกเขาบิดาและบุตรมาทุบหม้อดินเพื่อส่งวิญญาณด้วยตนเองหรืออย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นได้แต่เปลี่ยนเรื่องคุย ถามขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่าทางลั่วหยางได้ส่งของขวัญเทศกาลวันไหว้พระจันทร์มาให้จริงหรือไม่”

 

 

เฉิงเจียพยักหน้าตอบอย่างไม่ไยดี กล่าวว่า “พี่ชายตระกูลหลี่ส่งมาให้ บอกว่าเป็นของขวัญขอบคุณที่ให้การต้อนรับเขาเมื่อคราวก่อน และยังบอกอีกว่าวันหลังจะมาเยี่ยมเยียนใหม่”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มกริ่มอยู่ในใจ

 

 

ดูเหมือนว่าหลี่จิ้งจะตกหลุมรักเฉิงเจียเหมือนดังชาติก่อนแล้วเป็นแน่

 

 

เฉิงเจียมีคนมาหลงรัก ไม่ว่าในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร ในที่สุดก็มีที่พึ่งพิงคนหนึ่งแล้ว

 

 

แม้ว่าความคิดนี้อาจเห็นแก่ตัวเล็กน้อย แต่เฉิงเจียเป็นสหายคนสนิทที่เล่นกับนางมาตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนหลี่จิ้งเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เคยพบหน้ากันครั้งเดียวเท่านั้น…ขอองค์พระโพธิสัตว์โปรดยกโทษนางที่เลือกที่รักมักที่ชังด้วยเถิด!

 

 

โจวเสาจิ่นชักชวนพี่สาวทำขนมไหว้พระจันทร์ “…ส่งไปให้แต่ละจวนสักหน่อย ถือเป็นน้ำใจจากพวกเราเจ้าค่ะ”

 

 

ฝีมือการทำอาหารและเย็บปักถักร้อยของโจวชูจิ่นในชาติที่แล้วไม่เก่งเท่าโจวเสาจิ่น ทว่านางทำของทานเล่นได้อร่อยยิ่งนัก ในบรรดาของทานเล่นที่นางทำได้อร่อยที่สุดก็จะเป็นของจำพวก บ๊ะจ่าง ขนมไหว้พระจันทร์ และปอเปี๊ยะทอดต่างๆ

 

 

นางอดไม่ได้ใจเต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

ในอีกสองปีข้างหน้าตนจะออกเรือนแล้ว หากว่าสอนโจวเสาจิ่นทำขนมทานเล่นเหล่านี้ไว้ วันหลังเมื่อถึงงานเทศกาลต่างๆ ในแต่ละปี โจวเสาจิ่นก็สามารถทำมอบให้ผู้อื่นด้วยตนเองได้ ไม่มากก็น้อยจะได้รับความโปรดปรานจากพวกผู้ใหญ่ วันเวลาของน้องสาวจะได้สบายขึ้นบ้าง

 

 

สองพี่น้องจึงบอกให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานไปซื้อวัตถุดิบมา แล้วทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ถั่วห้าสหาย ไส้ถั่วผสมเม็ดบัว ไส้ผักดองคลุกงา ไส้กุหลาบ…หลากหลายไส้ยิ่งนัก ทำออกมาจนเต็มตะกร้าสานใบใหญ่ จากนั้นโจวเสาจิ่นก็วาดภาพ ‘ต้นกุ้ยฮวาโชยกลิ่นหอม’ แล้วให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานติดบนกล่องกระดาษ นอกจากจะมอบหนึ่งกล่องให้แต่ละจวนแล้ว ยังส่งไปให้อาจูที่จวนเหลียงกั๋วกงและเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยคนละกล่องด้วยเช่นกัน

 

 

เฉิงเจียทานแล้วรู้สึกว่าอร่อยยิ่งนัก จึงให้ชุ่ยหวนมาขอไส้ผักดองคลุกงาเพิ่มอีก

 

 

โจวเสาจิ่นบอกให้ชุนหว่านห่อไปให้เฉิงเจียอีกหนึ่งตะกร้า

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนส่งซื่อเอ๋อร์มาเรียกโจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นไปคุยที่เรือนเจียซู่

 

 

“ทราบหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” โจวเสาจิ่นกระซิบถามซื่อเอ๋อร์

 

 

ซื่อเอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าว “มีของขวัญส่งมาจากทางตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียง กล่าวว่าในเมื่อมาแล้วก็อยากคารวะคุณหนูใหญ่สักครั้งเจ้าค่ะ”

 

 

ตระกูลของพี่เขยอย่างนั้นหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่นอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

ชาติที่แล้วผู้ที่มามอบของขวัญจากตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียงไม่เคยมาคารวะพี่สาวสักครั้ง หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับทางด้านนั้น

 

 

ขออย่าได้เป็นเพราะการกลับชาติมาเกิดของนางเลย ไม่เช่นนั้นนางคงจะเสียใจจนตายเป็นแน่

 

 

โจวเสาจิ่นเดินไปยังเรือนเจียซู่อย่างกระวนกระวาย และนั่งรอในห้องข้างอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งโจวชูจิ่นเดินเข้ามาพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน

 

 

เห็นได้ชัดว่าโจวชูจิ่นไปแต่งหน้าแต่งตัวที่เรือนของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมาก่อน นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหูโจวสีชมพูเหลือบเงิน กับกระโปรงจีบผ้าไหมสีขาว บนหูห้อยเอาไว้ด้วยตุ้มหูไข่มุกจากทางตอนใต้ บนใบหน้าประแป้งบางๆ และแต้มชาดเอาไว้ เค้าโครงหน้าที่งดงามดั่งดอกชบาก็ทวีความเพริศพริ้งขึ้นหลายส่วน เปล่งปลั่งเฉิดฉายยิ่งนัก

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

 

 

โชคดีที่ตนกระจ่างแจ้งแก่ใจดี จึงไม่ได้แต่งตัวมากนัก จะได้เป็นฉากหลังให้พี่สาวดูเด่นขึ้น

 

 

ใบหน้าของโจวชูจิ่น เห่อ แดงขึ้นมา หยิกหน้าน้องสาวเบาๆ พลางกล่าว “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นขยิบตาให้พี่สาวอย่างซุกซนและกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ระวังเอาไว้สักหน่อยนะเจ้าคะ ผู้ที่นั่งอยู่ข้างในห้องอาจจะเป็นมามาผู้ทรงเกียรติของตระกูลเลี่ยวก็เป็นได้ หรือไม่แน่ว่าข้างในห้องน้ำชายังมีป้าแม่บ้านที่ตามตระกูลเลี่ยวมานั่งอยู่ด้วยก็เป็นได้”

 

 

ใบหน้าของโจวชูจิ่นยิ่งแดงเถือก กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเด็กฟันคมปากคล่อง ดูสิว่าวันหลังจะมีใครกล้ามาสู่ขอบ้าง!”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะเบิกบาน แล้วดึงตัวฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่ยิ้มไม่หยุดอยู่ข้างๆ เข้าไปในห้องรับแขก

 

 

โจวชูจิ่นจึงได้แต่เดินตามเข้าไป

 

 

ทว่าพอโจวเสาจิ่นได้ยินเสียงสนทนาในห้องรับแขก ก็รีบปลีกตัวออกจากฮูหยินใหญ่เหมี่ยน แล้วไปยืนอยู่ข้างหลังของพี่สาวแทน

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นแล้วก็พยักหน้าเงียบๆ เดินนำทั้งสองพี่น้องเข้าไปในห้องรับแขก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่น เบื้องขวาของนางมีสตรีสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายทอสีเขียวนกแก้วนั่งอยู่

 

 

เมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา นางจึงหันศีรษะกลับไป

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจอย่างแรงไปครั้งหนึ่ง

 

 

คิดไม่ถึงว่าผู้ที่มาจะเป็นจงมามาบ่าวรับใช้คนสนิทที่สุดของแม่สามีของพี่สาว

 

 

จงมามาเห็นพวกนางสองพี่น้อง สายตาพลันสว่างวาบขึ้น แล้วรีบลุกขึ้นมา

 

 

โจวชูจิ่นเดาว่านี่คงเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลเลี่ยว จึงอดไม่ได้เหลือบมองสำรวจครั้งหนึ่ง

 

 

สตรีผู้นั้นอายุประมาณห้าสิบกว่าปี ใบหน้าขาวนั้นกลมมนมีน้ำมีนวล ยิ้มแย้มแต่ไม่เอ่ยคำใด ท่าทางดูใจดีเป็นอย่างมาก

 

 

นางรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนพร้อมกับน้องสาว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนชี้ไปที่จงมามา พลางกล่าวว่า “นี่คือบ่าวที่มาจากตระกูลเลี่ยว ตระกูลสามีของนางแซ่จง”

 

 

“ไม่กล้าเจ้าค่ะๆ” จงมามากล่าวไม่หยุด พลางย่อตัวคำนับโจวเสาจิ่นสองพี่น้อง

 

 

โจวชูจิ่นเบนกายหลบเลี่ยงการคำนับจากนาง พลางพยักหน้าให้จงมามา อันเป็นการเสร็จสิ้นการทำความเคารพ

 

 

จากนั้นโจวเสาจิ่นสองพี่น้องนั่งลงข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากวน จงมามาพูดคุยกับโจวชูจิ่นสองสามประโยคอย่างสนิทสนมแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา

 

 

โจวเสาจิ่นส่งสายตาให้ซือเซียง

 

 

ซือเซียงเดินออกไปอย่างรู้งาน รอจนจวนสี่ให้รางวัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำก้อนเงินสองก้อนที่โจวเสาจิ่นเตรียมเอาไว้วางในมือของจงมามา ยิ้มพลางกล่าว “ลำบากหมัวมัวแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นของที่คุณหนูใหญ่พวกเรามอบให้ท่านไปซื้อสุราดื่มเจ้าค่ะ”

 

 

จงมามาไม่เกรงใจ ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ แล้วพาป้าบ่าวรับใช้สองคนออกจากเรือนเจียซู่ไป

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “ตระกูลเลี่ยวส่งคนมาทำไมหรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดถึงกลับไปดื้อๆ เช่นนี้เสียแล้วเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยิวนผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่าเริง พลางตอบว่า “มาดูหน้าชูจิ่นน่ะสิ”

 

 

“ทำไมต้องมาดูหน้าท่านพี่ด้วยเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นงงงันไม่เข้าใจเล็กน้อย

 

 

“เจ้าเด็กโง่!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจิ้มหน้าผากโจวเสาจิ่น กล่าวว่า “สะใภ้จะแต่งงานเข้าไปในตระกูลของพวกเขา ย่อมต้องส่งคนมาดูหน้าตาเสียหน่อย”

 

 

แต่ชาติที่แล้วไม่ได้ส่งคนมาดูหน้าก่อนนี่นา!

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวแย้งขึ้นว่า “ตอนที่หมั้นหมายกันไม่ได้เห็นหน้ากันแล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

“ตอนนั้นพี่สาวของเจ้าอายุเท่าไหร่” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “แล้วตอนนี้พี่สาวของเจ้าอายุเท่าไหร่”

 

 

“เจ้าก็กระไร! อย่าไปแกล้งพวกเด็กๆ เลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ สายตาจับจ้องโจวชูจิ่น แต่กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ได้ยินมาจากคนของตระกูลกู้ว่า พี่สาวของเจ้าไม่เพียงอุปนิสัยดีงาม แต่ยังสง่างาม และจิตใจกว้างขวาง คนของตระกูลเลี่ยวจึงอยากรู้ จนทนไม่ไหวต้องส่งคนมาดูสักหน่อย”

 

 

“เช่นนั้นคงจะเป็นเรื่องดีกระมัง” โจวเสาจิ่นเอ่ยถามเพื่อขอคำยืนยัน

 

 

“แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ “ยังไม่ทันแต่งงานก็มีชื่อเสียงดีงามเลื่องลือไปแล้ว ภายหลังย่อมสามารถยืนได้อย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้นยามอยู่ที่ตระกูลของสามี”

 

 

เช่นนี้ก็ดียิ่ง!

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี

 

 

ครุ่นคิดว่าหลังจากที่ตนกลับชาติมาเกิดในที่สุดก็มีเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว!

 

 

……………………………………………………………