ตอนที่ 133 รั่วปิงเข้าไปในป่าตามลำพัง

เดิมพันเสน่หา

เสียงของปลายสายแหบพร่า เสียงนั้นเคล้าไปด้วยแรงอาฆาต ทำให้วิเคราะห์ไม่ได้ว่าปลายสายอายุเท่าไหร่ สิ่งเดียวที่เธอมั่นใจก็คือปลายสายเป็นผู้หญิง เป็นเสียงที่เหมือนคืบคลานมาจากความตาย

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวินอี๋ หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงหล่นวูบ แต่การฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปีทำให้เธอกลายเป็นคนมีสติ เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ “แกเป็นใคร”

“ถึงเวลาแกก็จะรู้เองว่าฉันเป็นใคร ตอนนี้สิ่งเดียวที่แกต้องคิดก็คือแกจะช่วยเวินอี๋ไหม ภายในสามชั่วโมงมาเจอฉันที่ตงเจียว ถ้าภายในสามชั่วโมงแกยังมาไม่ถึงฉันจะฆ่าผู้หญิงคนนี้ซะ” เงียบไปสองวินาที “ห้ามแจ้งตำรวจเด็ดขาดและอย่าพาใครมาด้วยเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้เวินอี๋ตายเร็วขึ้น”

เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอ “เวินอี๋พักอยู่ในวิลล่าของมู่เฉิงซี มีบอดี้การ์ดคอยดูแลตลอดเวลา แล้วแกจะลักพาตัวเธอไปได้ยังไง ถ้าเวินอี๋หายไป เป็นไปได้หรอที่มู่เฉิงซีจะนิ่งนอนใจ ถึงแม้ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่าแกเป็นใคร แต่แกโกหกได้ไม่ฉลาดเลยสักนิด”

“ฮ่าๆๆ…” เสียงเหี้ยมดังขึ้นจากปลายสาย “แกอยากรู้ว่าเวินอี๋อยู่ในกำมือของฉันจริงๆ หรือเปล่าใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้แกได้ยินเสียงมัน” เงียบอยู่หลายวินาที “อ่ะ พูดกับเหลิ่งรั่วปิงสิ! ห้ามพูดอะไรมากกว่านี้ล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันเอาแกตายแน่!”

“พี่รั่วปิง พวกมันคือ…อ๊า!” เป็นเสียงของเวินอี๋ แต่เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงเพี๊ยะดังขึ้น

เหลิ่งรั่วปิงมั่นใจว่าเวินอี๋ถูกทำร้าย เธอกำโทรศัพท์ในมือแน่น “ห้ามทำร้ายเวินอี๋!”

“หึๆๆ…ปวดใจ? ถ้าสงสารมันก็รีบทำตามที่ฉันสั่ง!”

“แกแค่บอกให้ฉันไปตงเจียว แต่แกไม่ได้บอกสถานที่ แล้วฉันจะไปเจอแกที่ไหน?”

“พอแกถึงตงเจียวฉันจะบอกที่อยู่ให้แกเอง ฉันต้องมั่นใจก่อนว่าแกมาคนเดียว ฉันเห็นการกระทำทุกอย่างของแก ดังนั้นแกห้ามเล่นไม่ซื่อ ไม่อย่างนั้น…ผู้หญิงที่สวยเหมือนหยกงามอย่างเวินอี๋ก็ต้องกลายเป็นหยกที่แตกหัก”

“แกห้ามทำร้ายเวินอี๋เด็ดขาด!” เหลิ่งรั่วปิงพูดเสียงเย็นยะเยือก “ได้ แกรอฉันอยู่ที่นั่น ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเวินอี๋เป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ แกจำเอาไว้ ไม่ว่าจะแกจะหนีขึ้นฟ้าหรือลงนรกฉันก็จะลากคอแกกลับมา แล้วหั่นกี่เป็นชิ้นๆ!”

“ได้” เสียงของปลายสายเหมือนจะมีความกลัวเล็กน้อยปะปนมาด้วย “ฉันรอการมาของแก สามชั่วโมง ห้ามสายเด็ดขาด”

หลังจากที่ได้ยินเสียงตู๊ดๆๆ ดังขึ้น เหลิ่งรั่วปิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเก็บโทรศัพท์ เธอออกไปจากบริษัทอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้บอกหนานกงเยี่ย เวลานี้เขากำลังประชุมอยู่ในห้องประชุม ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะไม่รู้ว่าคนร้ายใช้วิธีไหน ถึงสามารถลักพาตัวเวินอี๋มาจากบอดี้การ์ดของมู่เฉิงซีได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ คนพวกนี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเป็นคนที่รู้จักเธอและเวินอี๋เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นคนร้ายไม่มีวันรู้ว่าเวินอี๋สำคัญกับเธอมาก

เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของคนร้ายคือเธอ พวกเขาลักพาตัวเวินอี๋เพื่อบีบให้เธอออกมา

ตงเจียวในเมืองหลง พื้นที่โดยมากของที่นี่คือป่าทึบ ข้างในป่าง่ายที่จะพรางตัว อีกทั้งยังเป็นเรื่องยากที่จะตามหาคน ความคิดของเหลิ่งรั่วปิงแล่นไปมาด้วยความรวดเร็ว เธอกำลังคิดถึงอันตรายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นและวิธีรับมือ

ระหว่างทาง มู่เฉิงซีโทรมา “เหลิ่งรั่วปิง เธอพาเวินอี๋ไปที่ไหน ทำไมเวินอี๋ถึงปิดเครื่อง”

“…” เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว ดวงตาสีนิลของเธอมองไปรอบๆ ด้วยความรวดเร็ว เธอกำลังคิดว่าจะตอบคำถามเขายังไงดี

การที่เธอชักช้าไม่ยอมตอบ ทำให้มู่เฉิงซีไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น คุณชวนเวินอี๋ออกไปกินมื้อเที่ยง ทำไมต้องไล่บอดี้การ์ดไปด้วย อีกทั้งยังปิดเครื่อง พวกคุณกำลังเล่นบ้าอะไรกัน”

เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที คนที่ลักพาตัวเวินอี๋อ้างว่าเป็นตนแล้วโทรศัพท์ไปหาเวินอี๋ ชวนเธอออกไปกินข้าว จากนั้นก็ไล่พวกบอดี้การ์ดไป แล้วฉวยโอกาสนี้ในการลักพาตัวเวินอี๋ เหลิ่งรั่วปิงอยากบอกความจริงกับมู่เฉิงซีมาก แต่เธอก็กลัวนิสัยและอารมณ์ของมู่เฉิงซี กลัวว่าเขาจะพาตำรวจมาบุกที่ตงเจียว จนบีบให้พวกคนร้ายฆ่าเวินอี๋ ดังนั้นหลังจากที่เธอครุ่นคิดอยู่นาน เธอพูดทีเล่นที่จริง “วางใจเถอะ ฉันจะส่งเวินอี๋กลับไปให้คุณอย่างครบสามสิบสองแน่นอน ถ้าทำไม่ได้ ฉันยินดีที่จะเอาชีวิตเข้าแลก”

เหลิ่งรั่วปิงคิดแบบนี้จริงๆ เวินอี๋ตกอยู่ในอันตรายเพราะเธอ ดังนั้นถ้าเวินอี๋เป็นอะไรขึ้นมา เธอยินดีที่จะชดใช้ด้วยชีวิต

มู่เฉิงซีชะงักไปพักหนึ่ง “เหลิ่งรั่วปิง คุณทำบ้าอะไรของคุณกันแน่”

“ไม่มีอะไรค่ะ คุณรอเวินอี๋อยู่ที่บ้านก็พอแล้ว” พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงตัดสายทันที

หลังจากที่มาถึงป่าในตงเจียว เหลิ่งรั่วปิงกดโทรหาเบอร์ปริศนานั้น แต่เธอกลับได้ยินเสียงที่เย็นยะเยือก หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

เห็นได้ชัด ฝ่ายนั้นกลัวว่าเธอจะติดตามพิกัดผ่านซิบการ์ด ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือรอ ระหว่างรอคนร้ายโทรมา เหลิ่งรั่วปิงกระโดดขึ้นไปด้านบน เธอมองดูพื้นที่รอบๆ แล้วทำการวิเคราะห์ ในป่ารกร้างแห่งนี้เต็มไปด้วยหญ้าสูง ต้นหญ้าเหล่านี้สูงประมาณเอว ถ้ามองจากที่สูง สามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าคนร้ายไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในนี้ คนร้ายต้องซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบด้านใน

ในป่าทึบที่อยู่ลึกเข้าไปเต็มไปด้วยต้นไม้ ยากที่จะหาตัวเจอ

เวลานี้ เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น เบอร์ที่โทรเข้ามาคือเบอร์โทรปริศนา เหลิ่งรั่วปิงรีบรับสาย “ฮัลโหล?”

“ฮ่าๆๆ…” เสียงหัวเราะของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้น “เหลิ่งรั่วปิง แกใจกล้ามากที่มาคนเดียว เยี่ยม”

“ไม่ต้องพล่าม ตอนนี้ฉันต้องไปที่ไหน”

“เข้ามาข้างในป่า แล้วเดินตรงไปทางทิศเหนือ อย่าคิดเล่นไม่ซื่อ ไม่อย่างนั้นเวินอี๋ตายได้ทุกนาที” พูดจบ ทางนั้นก็ตัดสายทันที

เหลิ่งรั่วปิงรู้ว่าคนร้ายคงกำลังรีบเปลี่ยนซิมการ์ด เธอไม่คิดอะไรมากแต่อย่างใด รีบเดินเข้าไปในป่า

*****

หนานกงเยี่ยประชุมเสร็จแล้ว เขากลับมาที่ห้องทำงาน สิ่งแรกที่เขาทำคือดูบันทึกกล้องวงจรปิดในห้องทำงานของเหลิ่งรั่วปง เวลานี้เขาต้องคอยจับตาดูเธอตลอดเวลาจึงจะวางใจได้ ตอนแรกเขาเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น หนานกงเยี่ยยกแก้วน้ำที่วางเอาไว้ข้างๆ ขึ้นมาดื่ม แต่แก้วน้ำยังไม่ทันแตะปาก ก็เห็นสีหน้ากระวนกระวายของเหลิ่งรั่วปิงหลังจากรับโทรศัพท์ เขาจึงรีบวางแก้วลง ปรับเสียงบันทึกกล้องวงจรให้ดังขึ้น สุดท้ายเขาจึงได้ยินทุกอย่าง

เธอไปตงเจียวคนเดียว!

หัวใจของหนานกงเยี่ยบีบรัด เธอไม่ต้องการที่จะพึ่งพิงเขามากขนาดนี้เลยหรอ ทั้งๆ ที่เจอเรื่องอันตรายก็ยังไม่ยอมให้เขาช่วยแบ่งเบา ทว่าถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่ฉลาด ถึงแม้จะโมโหแต่ก็ยังมีสติ หนานกงเยี่ยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วโทรไปหามู่เฉิงซี “เฉิงซี เวินอี๋อาจจะถูกลักพาตัวไปแล้ว”

“แกพูดว่าอะไร” เสียงของมู่เฉิงซีราวกับเสียงคำรามของราชสีห์

“แกอย่าเพิ่งใจร้อน คนที่ลักพาตัวเวินอี๋พุ่งเป้าไปที่เหลิ่งรั่วปิง ตอนนี้เธอกำลังไปช่วยเวินอี๋ที่ตงเจียวคนเดียว ฉันเองก็เพิ่งรู้ตอนที่ดูบันทึกกล้องวงจรปิดในห้องทำงานของเหลิ่งรั่วปิง”

“ถึงว่า เหลิ่งรั่วปิงบอกว่าถ้าเธอพาเวินอี๋กลับมาไม่ได้ เธอจะชดใช้ด้วยชีวิต” มู่เฉิงซีกัดฟัน “ให้ตายสิ ใครมันกล้ามายุ่งกับผู้หญิงของกู กูจะถลกหนังมัน!”

ชดใช้ด้วยชีวิต!

คำพูดห้าพยางค์นี้ดังในโสตประสาทของหนานกงเยี่ย คล้ายกับเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่หนักหน่วง ที่ซัดเข้ามาในใจของเขา เขาไม่มีวันรับได้ที่จะให้ชื่อของเหลิ่งรั่วปิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับความตาย แต่หนานกงเยี่ยยังคงใจเย็น “ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้บอกแก คงเป็นเพราะเธอรู้ดีว่าแกเป็นคนยังไง เธอคงกลัวว่าจะทำให้คนร้ายโมโห

“แล้วยังไง รอให้เธอพาเวินอี๋กลับมางั้นหรอ กูรอไม่ได้!” มู่เฉิงซีแทบจะคลั่งแล้ว เขาไม่ชอบเหลิ่งรั่วปิงเป็นทุนเดิม แล้วนี่เธอยังมาทำให้เวินอี๋ต้องซวย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขายิ่งเกลียดเหลิ่งรั่วปิงมากกว่าเดิม

หนานกงเยี่ยรีบหยิบโทรศัพท์มาดูพิกัดของเหลิ่งรั่วปิง “ตอนนี้เหลิ่งรั่วปิงเข้าไปในป่าที่อยู่ในพื้นที่ตงเจียวแล้ว คนร้ายต้องอยู่ในป่าทึบนั่นแน่ๆ แกเอาปืนยิงระยะไกลและพาคนของแกแอบเข้าไปในป่าจากทางทิศเหนือ ส่วนฉันจะไปช่วยเหลิ่งรั่วปิงเอง”

มู่เฉิงซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาพยายามบอกให้ตนเองใจเย็น “ได้” อันที่จริงสิ่งที่หนานกงเยี่ยพูดเขาเองก็ฉุกคิดขึ้นมาเหมือนกัน เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวินอี๋ เขาเป็นห่วงเธอจนสติแตก หนานกงเยี่ยสามารถใจเย็นได้มากกว่าเขา เป็นเพราะเหลิ่งรั่วปิงสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ตรงกันข้ามกับเวินอี๋ที่แสนบอบบางของเขา เวินอี๋ควรให้เขาปกป้องเท่านั้น

หลังจากคุยกับมู่เฉิงซีแล้ว หนานกงเยี่ยรีบลุกขึ้น ขับรถมุ่งหน้าไปยังตงเจียวด้วยตนเอง เพราะช่วงนี้เขาสั่งให้ก่วนอวี้คอยอยู่ดูแลอวี้หลานซี เขาจึงไม่มีผู้ช่วย

ระหว่างทาง หนานกงเยี่ยโทรศัพท์ไปหาเหลิ่งรั่วปิง

เวลานี้เหลิ่งรั่วปิงกำลังฝ่าต้นหญ้าสูง เพื่อมุ่งหน้าเข้าไปในป่าทึบนั่น เธอเห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ เหลิ่งรั่วปิงชะงักไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็รับสาย “คุณหนานกง ขอโทษด้วยนะคะ ช่วงบ่ายนี้ฉันขอลางาน”

“ไปทำอะไร” หนานกงเยี่ยเม้มปาก เขาโมโหมากที่เธอสามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

“…” เหลิ่งรั่วปิงเงียบไปหลายวินาที “ไปดื่มชากับเวินอี๋ค่ะ แล้วก็พูดคุยกัน…”

“เหลิ่งรั่วปิง!” หนานกงเยี่ยกัดฟันกรอดพูดแทรกขึ้นมา “ผมไม่น่าเข้าใกล้ขนาดนี้เลยหรอ ทั้งที่เจอเรื่องอันตรายแต่คุณยังไม่ขอความช่วยเหลือจากผม”

“…” เหลิ่งรั่วปิงหยุดเดิน “คุณรู้ได้ยังไงคะ”

แน่นอนว่าหนานกงเยี่ยไม่มีวันบอกเธอ เรื่องที่เขาติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องทำงานของเธอ เขาพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือก “เรื่องนี้ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือคุณไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว คุณยังมีผม!”

“…” เหลิ่งรั่วปิงเงียบ เธอสามารถขอความช่วยเหลือจากเขาได้ แต่เธอชินกับการเผชิญปัญหาด้วยตนเองแล้ว

“ฟังผม คุณหยุดเดี๋ยวนี้ ห้ามเสี่ยงเด็ดขาด รอผมอยู่ที่เดิม”

“ไม่ได้ค่ะ คนร้ายน่าจะติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ที่ไหนสักที่ในตงเจียวแล้ว เข้ามาในบริเวณที่พวกมันติดตั้้งกล้องเอาไว้ต้องจับได้แน่ๆ ถ้าพวกมันรู้ว่าคุณมา เวินอี๋จะตกอยู่ในอันตราย”

“คุณวิเคราะห์สถานการณ์พวกนี้ได้ยังไง”

“เพราะตอนที่ฉันมาถึงตงเจียว พวกมันก็รู้ได้ทันทีว่าฉันมาคนเดียว”

หนานกงเยี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ผมเข้าใจแล้ว ในป่านั่นมีต้นไม้เยอะ ไม่สามารถติดตั้งกล้องวงจรปิดได้ หรือถ้าจะติดตั้งได้ก็ไม่เห็นในวงกว้างแน่นอน ดังนั้นพวกมันต้องติดตั้งกล้องเอาไว้ตรงถนนสายหลักของตงเจียวแน่ๆ เอาอย่างนี้ ผมไม่ไปทางถนนหลัก แต่ผมจะขับมอเตอร์ไซต์แล้วใช้ทางลัดเพื่อเข้าป่าแทน คุณรอผมอยู่ตรงนั้นนะ เข้าใจไหม”

“คุณหนานกง มูลค่าในตัวคุณสูงมาก คุณอย่ามาเสี่ยงกับฉันด้วยเรื่องที่ไม่จำเป็นเลย”

“เหลิ่งรั่วปิง” หนานกงเยี่ยกัดฟันกรอด “คุณอย่าลืมสิ ตอนนี้ผมเป็นผู้ชายของคุณ ผมมีหน้าที่ต้องปกป้องผู้หญิงของตนเอง! ถ้ายังพูดไร้สาระกับผมอีก เราได้เห็นดีกันแน่!”