ตอนที่ 132 อวี้หลานซีกลายเป็นตัวตลก เวินอี๋ถูกลักพาตัว

เดิมพันเสน่หา

หนานกงเยี่ยกัดฟันแน่นแล้วลุกขึ้นยืน เขาจับแผลบนหน้าผากที่มีเลือดไหลออกมา ขมวดคิ้วเป็นปม “เป็นความผิดของผมเอง คุณไม่ต้องกังวล ส่วนเรื่องค่าเสียหายเดี๋ยวผมให้คนมาจัดการ ตอนนี้คุณช่วยเรียกแท็กซี่ให้ผมหน่อย” ตอนนี้เขามีแค่ความคิดเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือกลับวิลล่าหย่าเก๋อ วันนี้เหลิ่งรั่วปิงแก้แค้นสำเร็จแล้ว เธอมีโอกาสจะไปจากเขาโดยไม่ลาได้ตลอดเวลา เขาต้องกลับไปเฝ้าเธอ

“ครับๆ” คนขับรถบรรทุกรีบพยักหน้า จากนั้นยืนอยู่ข้างถนนเพื่อโบกรถแท็กซี่ ใช้เวลาไม่นานแท็กซี่ก็มา

หนานกงเยี่ยนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ เขารู้สึกเวียนหัวมาก แต่เขาก็ยังคงอดทนเอาไว้แล้วกดโทรไปหาก่วนอวี้ สั่งให้ก่วนอวี้ไปจัดการอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น

กลับมาถึงวิลล่าหย่าเก๋อ พ่อบ้านเป็นคนมาเปิดประตู เมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวของหนานกงเยี่ยก็ตกใจมาก “คุณชายเยี่ย คุณเป็นอะไรไปครับ”

“ไม่เป็นอะไร แค่อุบัติเหตุนิดหน่อย ช่วยพยุงเข้าไปด้านในที”

หนานกงเย่ยเวียนหัวมาก ลงน้ำหนักทั้งหมดของเขาไปที่พ่อบ้าน พ่อบ้านอายุมากแล้ว อีกทั้งหนานกงเยี่ยทั้งตัวใหญ่และสูง เขาเกือบจะล้มลงกับพื้น ด้วยเหตุนี้จึงรีบเรียกสาวใช้มาช่วยกันพยุงหนานกงเยี่ยเข้าไปด้านใน พวกเขาวางหนานกงเยี่ยเอาไว้บนโซฟาในห้องรับแขก

“คุณชายเยี่ย ผมตามหมอมาให้ไหมครับ” พ่อบ้านเอ่ยถาม

“ไม่ต้อง” หนานกงเยี่ยบีบนวดหน้าผากของตนเอง “เหลิ่งรั่วปิงละ?”

“คุณเหลิ่งอยู่ข้างบนครับ ให้ผมไปตามเธอมาให้ไหมครับ”

“ไม่ต้อง ผมขึ้นไปเอง”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมช่วยพยุงคุณขึ้นไปครับ”

พ่อบ้านพยุงหนานกงเยี่ยขึ้นไปถึงชั้นสอง เคาะประตูห้องของเหลิ่งรั่วปิง “คุณเหลิ่งครับ เปิดประตูหน่อยครับ คุณชายเยี่ยกลับมาแล้ว คุณชายเยี่ยได้รับบาดเจ็บครับ”

เหลิ่งรั่วปิงนึกว่าหนานกงเยี่ยกลับไปที่บ้านของเขาแล้ว เธอคิดว่าเขาไม่กลับมาวิลล่าหย่าเก๋อ ดังนั้นเธอจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ เวลานี้ได้ยินว่าเขาบาดเจ็บ เธอตกใจเล็กน้อย รีบลงจากเตียงแล้วไปประตูห้อง เมื่อเห็นเลือดที่เปื้อนหน้าหนานกงเยี่ยทำให้เธออดที่จะตกใจไม่ได้ “คุณหนานกงเยี่ย คุณเป็นอะไรไปคะ”

เห็นท่าทีกระวนกระวายของเธอ หนานกงเยี่ยคลายยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ ไม่ตายหรอก”

เหลิ่งรั่วปิงหายใจฟุดฟิด เธอได้กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่ง “อย่าบอกฉันนะคะว่าคุณเมาแล้ว?”

หนานกงเยี่ยยิ้มกว้าง “เหลิ่งรั่วปิง คุณมีญาณทิพย์หรือไง”

เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจ เธอพยุงตัวของเขา แล้วพาเขามานั่งบนโซฟา จากนั้นเดินไปหยิบกล่องยา

หนานกงเยี่ยนั่งอยู่บนโซฟา เขาเงยหน้าขึ้นอย่างหมดแรง มองดูเหลิ่งรั่วปิงเงียบๆ จู่ๆ หัวใจของเขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที เธอยังไม่ไป เธอยังอยู่กับเขา

เหลิ่งรั่วปิงเดินกลับมาพร้อมกับกล่องยา เธอใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาเช็ดเลือดที่เปื้อนบนหน้า ล้างทำความสะอาดแผล แล้วใช้ผ้าก็อตมาปิดแผลให้เขา เธอทำด้วยความชำนาญ เชี่ยวชาญไม่น้อยไปกว่านางพยาบาล

เธอให้ความสนใจแผลบนหน้าผากของหนานกงเยี่ย ส่วนหนานกงเยี่ยเอาแต่มองมาที่คอระหงของเธอ เหลิ่งรั่วปิงสวมชุดนอนบางๆ สีขาว ไหปลาร้าที่สวยงามเผยออกมา บนตัวของเธอมีกลิ่นหอมของดอกเก๊กฮวย หอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง ครอบงำความรู้สึกของเขา จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็คว้าเอวเธอ ดึงเธอเข้าไปใกล้

เหลิ่งรั่วปิงไม่ทันได้ตั้งตัว เธอจึงล้มอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ทำอะไรคะ อย่าบอกฉันนะว่าคุณตกอยู่ในสภาพนี้แต่ยังคิดเรื่องแบบนั้นอยู่?”

“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะเบาๆ “ผมอยากทำมันมาก แต่ใจพร้อมกายไม่พร้อม ตอนนี้ผมเวียนหัวมาก ให้ผมกอดคุณสักพักหนึ่งนะ”

“คุณไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอคะ” เหลิ่งรั่วปิงลูบจับหน้าผากของเขาด้วยความกังวล “ให้คุณหมอตรวจสักหน่อยดีไหมคะ”

“คุณเป็นห่วงผม?”

“ประมาณนั้นแหละค่ะ”

“คุณรักผม?”

“…ไม่รักค่ะ”

มือหนาของหนานกงเยี่ยกระชับแน่น “ผมต้องการให้คุณรักผม เริ่มรักตั้งแต่ตอนนี้”

“แล้วคุณจะแต่งงานกับคุณอวี้หลานซีอยู่ไหมคะ”

“ถ้าคุณไม่ให้ผมแต่งผมก็ไม่แต่ง”

เหลิ่งรั่วปิงเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดเสียงเบา “คุณเมามากแล้ว ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะค่ะ” ถ้าเขาพูดแบบนี้ตอนที่ยังมีสติ บางทีเธออาจจะคิดทบทวนอีกครั้ง เพราะถึงยังไง ตอนนี้เธอก็รู้สึกไม่อยากจะไปจากเขาแล้ว เพียงแต่ ถ้าเธอเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ทางเดินนี้คงไม่ง่าย คนแรกที่ไม่มีวันปล่อยเธอไปก็คือซือคงอวี้ อีกทั้งหนานกงเยี่ยจะรับได้ไหมที่เธอเป็นนักฆ่าของวิหาร

ไม่ได้รับคำตอบ หนานกงเยี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาหัวเราะเยาะตนเอง “ครับ”

เหลิ่งรั่วปิงพยุงหนานกงเยี่ยเข้าไปในห้องน้ำ เธออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา จากนั้นวางเขาลงบนเตียง หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เหลิ่งรั่วปิงเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว เธอห่มผ้าให้เขา แล้วกลับเข้าไปอาบน้ำอีกรอบ

เดินออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างแรง ตามด้วยเสียงของพ่อบ้าน “คุณอวี้ครับ คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ คุณชายเยี่ยกับคุณเหลิ่งพักผ่อนแล้วครับ”

หนานกงเยี่ยที่เพิ่งนอนหลับไปถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้ง เขาลุกขึ้นนั่งแล้วขมวดคิ้วเป็นปม มองไปที่ประตู อวี้หลานซีทำให้เขาปวดหัวจริงๆ

เหลิ่งรั่วปิงเช็ดผมไปด้วย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ว่าที่เจ้าสาวของคุณมาตรวจห้อง ให้ฉันเปิดไหมคะ”

สีหน้าของเธอทำให้หนานกงเยี่ยโมโหมาก เอาแต่พูดว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวอยู่นั่นแหละ อวี้หลานซีไม่ใช่ว่าที่เจ้าสาวของเขา!

หนานกงเยี่ยเวียนหัวอยู่แล้ว เขาอยากนอนพักมาก แต่เวลานี้เสียงเคาะประตูกับคำพูดของเหลิ่งรั่วปิง ทำให้เขาปวดหัวมาก ความเดือดดาลที่อยู่ในใจพุ่งขึ้นมา “พ่อบ้าน ให้เธอเข้ามา!”

หลังจากตะโกนออกไป เหมือนว่าเขาได้ใช้แรงทั้งหมดในการพูด หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมแล้วเอนตัวลงนอนบนหัวเตียง

พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านนอกรู้ดีว่าหนานกงเยี่ยโมโหแล้ว เขาเป็นกังวลมาก แต่สิ่งที่กังวลมากกว่านั้นก็คือเขาไม่สามารถพาอวี้หลานซีเข้าไปได้ เพราะประตูล็อคจากด้านใน ขณะที่เขากำลังกระวนกระวายคิดไม่ตกอยู่นั้น เหลิ่งรั่วปิงเดินมาเปิดประตู

เหลิ่งรั่วปิงยิ้มร่า แต่ความเป็นจริงรอยยิ้มนี้เป็นยิ้มที่จืดจางมาก “คุณอวี้ เชิญค่ะ”

อวี้หลานซีมองดูผมเปียกชุ่มและชุดนอนของเหลิ่งรั่วปิง หัวใจของเธอเจ็บจี๊ดขึ้นมา แต่ว่าไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ละสายตาจากเหลิ่งรั่วปิง รีบวิ่งมาที่เตียง “เยี่ย ฉันได้ยินก่วนอวี้บอกว่าคุณบาดเจ็บ คุณเป็นอะไรไหมคะ”

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม ไม่แม้แต่จะลืมตา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณเห็นแล้วหนิ ผมไม่เป็นอะไร กลับไปได้แล้ว”

“เยี่ย?” ได้รับความเย็นชาจากเขา ทำให้อวี้หลานซีไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง ดวงตาของเธอมีน้ำใสเอ่อล้นขึ้นมาทันที เธอมองไปที่เขาด้วยความน้อยใจ

ร้องไห้ ทำไมช่วงนี้เธอเอาแต่ร้อง! อวี้หลานซีคนเดินที่มีเหตุผลหายไปไหน

หนานกงเยี่ยหงุดหงิดจนขมับของเขากระตุก พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ “ร้องไห้พอรึยัง”

“?” อวี้หลานซีมองมาที่หนานกงเยี่ยด้วยความตกใจ จากนิสัยของหนานกงเยี่ยที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี ตอนนี้เขากำลังโมโห ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าร้องไห้

“ร้องไห้พอแล้วก็กลับไป!” เสียงของหนานกงเยี่ยไม่ดัง แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ คำพูดเย็นยะเยือกทำให้เธอไม่กล้าขัดใจเขา

อวี้หลานซีรู้สึกกลัว เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ขนตางอนยาวชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อน คุณนอนพักเยอะๆ นะคะ” เธอนึกว่าหนานกงเยี่ยจะยอมใจอ่อนเพราะน้ำตาของเธออีก คิดว่าเขาจะกลับบ้านกับเธอ อวี้หลานซีคิดไม่ถึงว่าเขาจะโมโห เธอเคยเห็นเขาโมโหมาก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าที่จะไปกระตุ้นมัน

“อืม” หนานกงเยี่ยขานรับสั้นๆ เขายังคงไม่ลืมตา

อวี้หลานซีหันไปมองเหลิ่งรั่วปิง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความแค้น เหลิ่งรั่วปิงยักไหล่ “กลับบ้านดีๆ นะคะ คุณอวี้”

อวี้หลานซีรู้สึกว่าตนเองเป็นตัวตลก แต่เธอจะทำอะไรได้ละ ทำได้เพียงเม้มกัดฟันแล้วเดินออกไป พ่อบ้านที่รออยู่ตรงหน้าประตู รีบปิดประตูทันทีที่อวี้หลานซีเดินออกมา จากนั้นเขาก็เดินตามอวี้หลานซีลงไป

เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเป็นปม เธอโยนผ้าเช็ดตัวในมือทิ้ง แล้วขึ้นไปบนเตียง เธอพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ “ว่าที่เจ้าสาวของคุณกลับไปแล้ว ฉันขอตัวเข้านอนก่อน”

จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็โมโหขึ้นมา เขาคว้าหมอนโยนไปที่เหลิ่งรั่วปิง “ผมต้องบอกคุณอีกกี่ครั้ง เธอไม่ใช่ว่าที่เจ้าสาวของผม!”

เขายังไม่ได้หมั้นกับเธอ เธอก็ตามตอแยเขาไม่เลิก ถ้าหากว่าเขาแต่งงานกับอวี้หลานซีขึ้นมาจริงๆ เขายังจะมีชีวิตที่สงบสุขอีกไหม แต่สิ่งที่ทำให้เขาโมโหที่สุดก็คือ ท่าทีเย็นชาไม่สะทกสะท้านของเหลิ่งรั่วปิง

เหลิ่งรั่วปิงไม่เข้าใจว่าหนานกงเยี่ยโมโหเรื่องอะไร เห็นแก่ที่เขาบาดเจ็บจึงไม่คิดที่จะถือสา เธอก้มลงเก็บหมอนบนพื้น แล้วซุกตัวเข้ามาในผ้าห่ม นอนหันหลังให้เขา

หนานกงเยี่ยเงียบอยู่นาน แล้วซุกตัวเข้ามาในผ้าห่ม เขาดึงตัวเธอเข้ามากอดอย่างแรง ให้เธออยู่ใต้พันธนาการของเขา โน้มหน้าลงจูบริมฝีปากบาง นิ้วมือเรียวยาวค่อยๆ ปลดกระดุมของเธอ

เหลิ่งรั่วปิงขัดขืนเล็กน้อย “คุณบอกว่าไม่มีแรงไม่ใช่หรอคะ”

“ตอนนี้มีแล้ว!”

หนานกงเยี่ยกัดฟันพูดออกมา เขาถอดเสื้อของเธอโดยไร้ซึ่งความอ่อนโยน ตามด้วยถอดเสื้อของตนเอง สุดท้าย อุณหภูมิภายในห้อง สูงขึ้นตามอุณหภมูิในตัวเขา

เช้าวันที่สอง เหลิ่งรั่วปิงตื่นขึ้นมาด้วยความปวดเมื่อย เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหนานกงเยี่ยที่อยู่ในสภาพนั้น สุดท้ายจะบ้าคลั่งเหมือนพายุกระหน่ำลงมา เธอเหมือนใบไม้ ที่ถูกพายุฝนกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า

ตั้งแต่แลนด์มาร์คเมืองหลงถล่ม เธอไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นในการไปทำงานที่บริษัทหนานกงแล้ว ถึงแม้เธอยังคงอยากจะเป็นสถาปนิกที่มีความสามารถ แต่ไม่มีความเป็นไปได้ที่เธอจะเริ่มต้นสายอาชีพนี้ที่บริษัทหนานกง ดังนั้นเธอจึงหมดไฟในการทำงาน

เมื่อวานไม่ได้ไปทำงาน วันนี้ก็ไม่คิดจะไป เหลิ่งรั่วปิงมองดูเวลาแล้วขดตัวนอนในผ้าห่ม

ตอนแรกเธอคิดว่าหนานกงเยี่ยจะไปทำงานแล้ว ใครจะไปคิดหลังจากที่เธออยู่ในผ้าห่มแค่ไม่กี่นาที เขาก็เปิดประตูเข้ามา พูดเสียงห้วน “คุณจะตื่นไหม ใกล้จะไปทำงานสายแล้ว”

“คะ?” เหลิ่งรั่วปิงรีบเด้งตัวขึ้นนั่ง “คุณยังไม่ไปอีกหรอ”

หนานกงเยี่ยมองดูรอยจูบเล็กใหญ่หลายรอยตรงหน้าอกของเธอ สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนลงมา เขายิ้มแล้วเดินมาที่เตียง “ผมกำลังรอคุณอยู่ คุณมีอำนาจมากจริงๆ ไปทำงานก็ต้องให้เจ้านายมาปลุกด้วยตนเองอีก”

พอหนานกงเยี่ยพูดแบบนี้เหลิ่งรั่วปิงก็รู้สึกละอายขึ้นมา เธอรีบดีดตัวลงจากเตียงไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน หลังจากที่กินมื้อเช้าเสร็จ ไปทำงานพร้อมกับหนานกงเยี่ย

อันที่จริงเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้คิดจะไปจากที่นี่ในเร็วๆ นี้ เพราะเธอยังไม่ได้จัดการเจี่ยนชิวกับลั่วซูเยียง อีกทั้งเธอยังอยากจะคิดทบทวนคำพูดเมื่อวานของหนานกงเยี่ยอีกสักหน่อย

ตอนเที่ยง เหลิ่งรั่วปิงได้รับสายจากเบอร์โทรปริศนา “เหลิ่งรั่วปิง เวินอี๋อยู่ในกำมือของฉัน อยากให้มันรอด แกก็ต้องทำตามที่ฉันสั่ง”