ได้ยินเสียงหัวเราะนี้ ขุนนางอำเภอฉือก็รู้สึกชาทั่วทั้งหนังศีรษะทันที
ในที่สุดหานอิงฉีก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย ประกอบกับพี่เขยของเขาเพิ่งได้รับคำชมจากการมอบของขวัญให้ข้าหลวงซุนเมื่อสักครู่ ตอนนี้หานอิงฉีจึงคิดว่ามีความหวังสำหรับการหนุนหลัง เขาพูดขึ้นว่า “เจ้าหัวเราะอะไรรึ ?”
กงจี้พูดโดยไม่ยกเปลือกตาขึ้น “ชิงยู่”
“เจ้าค่ะท่านชาย” เจียงป่าวชิงออกมายืนด้านหน้าด้วยหน้าตายิ้มแย้มก่อนจะพูดกับหานอิงฉี “ท่านชายของข้าช่างเป็นบุรุษสูงศักดิ์เหลือเกิน คนธรรมดาอย่างเจ้าไม่คู่ควรพูดกับท่านชายของข้าเลยจริง ๆ ข้าที่เป็นคนใช้จึงจำเป็นต้องมาพูดกับเจ้าแทน”
“เจ้า!” หานอิงฉีหน้าแดงก่ำ เขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ถูกขุนนางอำเภอฉือที่อยู่ข้างเขาดึงแขนเสื้อใต้โต๊ะอาหาร ในขณะเดียวกัน ขุนนางอำเภอฉือก็ส่งสายตาตักเตือนใส่เขาด้วยเช่นกัน “เจ้าอย่าเสียมารยาท”
หานอิงฉีนั่งลงอย่างแค้นใจพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ
ทว่าเจียงป่าวชิงกลับไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ กงจี้กำลังต้องการคนมารองรับการแสดงอำนาจจากเขาอยู่พอดี ในเมื่อเหลียงจื้อถงคนนั้นไม่อยู่แล้ว หานอิงฉีก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ ?
เจียงป่าวชิงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อภัยให้ข้าด้วยที่ตาไม่มีแวว ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้เป็นคุณชายจากตระกูลไหนรึ ?”
หานอิงฉีมองด้วยแววตาโกรธเคือง “เจ้าจะเสแสร้งทำไมกัน ? เสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเพื่ออะไร ?!”
ขุนนางอำเภอฉือถลึงตาใส่หานอิงฉี แล้วหันไปพูดกับเจียงป่าวชิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางผู้นี้ นี่เป็น…” ขุนนางอำเภอฉือกำลังจะพูดว่า ‘น้องชายของภรรยาข้า’ ทว่าเมื่อพอเขานึกถึงการสั่งสอนเมื่อครั้งที่แล้ว เขาก็เหงื่อตกแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดทันที สุดท้ายเขาก็พูดแบบลวก ๆ ไปว่า “น้องชายของคนในบ้าน”
เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “ขุนนางอำเภอฉือพูดตลกแล้วหรือเจ้าคะ หากว่าเป็นน้องชายของภรรยาก็บอกตรง ๆ ได้เลย คนในบ้าน… หรือว่าหมายถึงเมียน้อยที่เป็นที่โปรดปรานของขุนนางอำเภอฉือคนนั้น ?”
ขุนนางอำเภอฉือหน้าแดงก่ำ ภายใต้สายตาของทุกคน มันยากที่จะปฏิเสธได้อีก เขาจึงต้องตอบรับไปอย่างคลุมเครือ
อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร คนที่ใกล้ชิดกับขุนนางอำเภอฉือต่างรู้กันว่าเขาหลงเมียน้อยที่บ้านเล็กมาก แม้แต่น้องชายของเมียน้อย เขาก็ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน ทุกครั้งที่เขาออกมาเข้าสังคม เขาก็จะพาน้องชายของเมียน้อยมาด้วย เพื่อจะได้ช่วยหาช่องทางให้กับน้องชายของเมียน้อยอย่างไรเล่า
โดยปกติแล้วมันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าหากไม่หยิบเรื่องพวกนี้ขึ้นมาพูดบนโต๊ะ ทว่าเมื่อหยิบขึ้นมาพูด ยิ่งในงานเลี้ยงวันเกิดของหัวหน้าสูงสุดอย่างข้าหลวงซุนด้วยแล้ว สถานะน้องชายของเมียน้อยจึงไม่ค่อยเป็นที่น่าฟังสักเท่าไหร่นัก
พูดให้เบาก็คืออยากหาช่องทางให้น้องชายของเมียน้อยตัวเอง แล้วถ้าพูดให้หนักล่ะ การที่พาน้องชายของเมียน้อยมาอวยพรวันเกิดด้วยเช่นนี้ มันเหมือนกำลังดูถูกใครอยู่
เจียงป่าวชิงพูดถึงตรงนี้ นางก็ไม่ได้พูดอย่างอื่นต่อ แต่มันกลับยิ่งทำให้ผู้คนพากันครุ่นคิดมากกว่าเดิม
เจียงป่าวชิงยิ้มแย้ม เมื่อปะทะกับหานอิงฉีเสร็จนางก็กลับไปยืนอยู่ข้างกงจี้เช่นเดิม
กงจี้ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอารมณ์ดี จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างเอ้อระเหย “ขุนนางอำเภอฉือค่อนข้างเสียมารยาทจริง ๆ ข้าได้ยินว่าเจ้าทำการเก็บภาษีวันเกิด และบอกว่าต้องการฉลองวันเกิดให้ข้าหลวงซุนเป็นอย่างดี แต่ใครจะไปคิดว่าภาษีหนักขนาดนี้ สุดท้ายจะแลกมาด้วย…” กงจี้ชี้สาวงามที่อยู่บนเรือลำเล็กคนนั้น “หากว่าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปให้คนรู้ ข้าหลวงซุนคิดว่าจะถูกพูดออกไปอย่างไรรึ ?”
สีหน้าของขุนนางอำเภอฉือเปลี่ยนไปทันที เหงื่อบนหน้าผากของเขาก็ไหลลงมาเช่นกัน
สีหน้าของข้าหลวงซุนในเวลานี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สายตาที่มองสาวงามเมื่อสักครู่ ในตอนนี้เหมือนกับการมองยาพิษที่หลบหลีกไม่ทันทำนองนั้น
งานเลี้ยงร้องเพลงเต้นรำที่สันติ ได้เปลี่ยนกลายไปเป็นความเงียบสงัดทันที ผู้คนในงานเลี้ยงต่างเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้กงจี้ในใจ
……
งานเลี้ยงวันเกิดในตอนกลางวัน ถือได้ว่ากงจี้เป็นที่สนใจของผู้คนไปเต็ม ๆ
ข้าหลวงซุนได้จัดเตรียมลานเล็ก ๆ ไว้เป็นพิเศษสำหรับให้กงจี้ได้พักผ่อน เมื่อแขกในงานกลับกันหมดแล้ว ข้าหลวงซุนก็รีบเชิญกงจี้ไปที่ห้องหนังสือที่อยู่หน้าบ้าน เขาบอกว่าต้องการปรึกษาหารือกับกงจี้
กงจี้ส่งสายตาให้เจียงป่าวชิงเล็กน้อย เพื่อสั่งให้เจียงป่าวชิงอยู่ที่ลานเล็ก ๆ นี้
อันที่จริง นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงป่าวชิงมาที่บ้านของครอบครัวใหญ่ แต่นางรู้ดีว่าในสถานที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ หากว่าลองเดินสุ่มสี่สุ่มห้าก็จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับการได้รับข้าวกล่อง
โดยเฉพาะที่พวกเขามาที่บ้านของข้าหลวงซุนในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจุดประสงค์จะค่อนข้างไม่บริสุทธิ์อยู่พอสมควร
เจียงป่าวชิงรู้ดีว่าในสถานที่ในสมัยโบราณที่ไม่สนใจชีวิตคนเช่นนี้ เป็นการดีที่สุดที่นางจะระมัดระวังและขับเรือเก่าด้วยความระมัดระวัง ดังนั้น แม้ว่านางจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสวนโบราณมากมายเพียงใด แต่นางยังคงตัดสินใจอยู่ในบ้านอย่างซื่อตรง
แต่จะทำอย่างไรในเมื่อเจียงป่าวชิงซื่อตรง คนอื่นกลับไม่ซื่อตรง
ขณะนั้นเอง มีสาวใช้ผู้หนึ่งที่อายุยังน้อยกำลังยื่นศีรษะอยู่ที่หัวโค้งตรงลานเล็ก ๆ เจียงป่าวชิงเห็นว่านางน่ารักดีจึงโบกมือเพื่อทักทายและถามนาง “เจ้าหาใครรึสาวน้อย ?”
เมื่อสาวใช้ตัวเล็กเห็นเจียงป่าวชิงใส่ชุดสีเขียวในวันนี้ นัยน์ตานางก็เป็นประกายทันที จากนั้นนางก็วิ่งเข้ามาหาเจียงป่าวชิง “พี่สาว พี่ใช้พี่ชิงยู่หรือเปล่าเจ้าคะ ?”
เจียงป่าวชิงลูบผ้าโพกหัวของสาวใช้ตัวน้อย “ใช่แล้ว เจ้าหาข้ามีอะไรรึ ?”
สาวใช้ตัวน้อยเอียงศีรษะ “ท่านชายของพี่เรียกให้พี่ไปพบ เขาฝากข้าให้มาบอกพี่ว่าเขาต้องการพบพี่ และให้พี่ไปรอเขาที่ภูเขาจำลองในสวนเจ้าค่ะ”
มือที่กำลังลูบผมของเจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย นางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เด็กสาวตรงหน้า “ท่านชายของข้าอย่างนั้นรึ ?”
สาวใช้ตัวน้อยพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ข้าเห็นเขาเอาแต่นั่งบนม้านั่งหินตลอดเวลา สองขาของเขาเหมือนใช้งานได้ไม่ค่อยสะดวก… และเหมือนมีเรื่องด่วนด้วยนะเจ้าคะ”
รอยยิ้มของเจียงป่าวชิงยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง นางตบศีรษะสาวใช้ตัวน้อยเบา ๆ จากนั้นก็หยิบน้ำตาลข้าวออกมาจากตรงเอว น้ำตาลข้าวนี้นางได้เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนที่นั่งรถม้ามาที่จังหวัดหยูเฟิงแล้ว
เจียงป่าวชิงหยิบมาสองสามเม็ดเพื่อเพิ่มความหวานให้ตัวเองตอนเบื่อ ๆ ทว่านางไม่ลืมที่จะส่งน้ำตาลข้าวให้สาวใช้ตัวน้อยตรงหน้าคนนี้ด้วย “ได้ ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ และถ้าเขาคนนั้นถามถึงข้า เจ้าก็บอกว่าข้ากำลังไป”
สาวใช้ตัวน้อยส่งคำพูดเสร็จ นางก็ได้น้ำตาลข้าวมาหนึ่งเม็ด สีหน้านางเต็มไปด้วยความดีใจขณะวิ่งออกไป
หลังจากที่สาวใช้ตัวน้อยกลับไปแล้ว เจียงป่าวชิงก็หมุนตัวกลับเข้าห้อง นางปิดประตูห้องและหน้าต่างอย่างแน่นหนา ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จก็นั่งพักบนม้านั่งพลางใช้มือขวาลูบสายรัดข้อมือบนข้อมือซ้ายเบา ๆ และหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ นางจะรอดูว่าใครที่มันไม่มีตาขนาดนั้น
คนที่คิดจะใช้วิธีสกปรกคนนั้นกลับรู้จักเลียนแบบท่าทางที่เดินเหินไม่สะดวกของกงจี้
แต่เล่นละครก็ต้องเล่นให้จบ คนผู้นั้นคงจะไม่รู้อย่างแน่นอนว่ากงจี้ตัวจริงที่มีนิสัยรักความสะอาดจนเกินไปนั้น จะมานั่งบนม้านั่งหินได้อย่างไร ?
ไม่ว่าคนผู้นั้นคิดจะทำอะไร มันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
เจียงป่าวชิงหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วรินชาให้ตัวเอง
ไปพบอะไรล่ะ ? ปล่อยให้ตากแดดอยู่ด้านนอกนั่นแหละ!
……
เหลียงจื้อถงที่แขนขวาถูกพันอย่างแน่นหนากำลังซ่อนตัวอยู่ในภูเขาจำลองเพื่อรอใครสักคน แต่ทว่าเขากลับไม่เห็นสาวงามคนที่เขาหมายปองมาหาเขาสักที เขาจึงร้อนรนและรู้สึกมีอะไรรบกวนจิตใจไปหมด
“อ๊าก! ไอ้ง่อยนั่นกล้าทำร้ายข้า” เหลียงจื้อเฉิงกัดฟันพูด “ข้าไม่สนใจว่าสถานะของเขาคืออะไร แต่ข้าจะทำให้สาวงามข้างกายเขามาอยู่ในกำมือของข้าให้ได้ เพื่อที่ข้าจะตบหน้าเขาได้อย่างสาสม คอยดูเถอะ!”
ข้าง ๆ เหลียงจื้อถง คนรับใช้ที่ชอบเลียแข้งเลียขาพูดขึ้น “องค์ชายช่างเฉลียวฉลาดจริง ๆ ขอรับที่จงใจแยกไอ้ง่อยนั่นให้ไปคุยธุระกับท่านข้าหลวงที่หน้าบ้านได้ ประเดี๋ยวพอสาวใช้คนนั้นมา องค์ชายก็ตีนางให้สลบแล้วค่อยจัดการ เพียงแค่นี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าองค์ชายเป็นคนทำ”
เหลียงจื้อถงถูกคนรับใช้ประจบสอพลอจนเขาส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ ดวงตาขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวเต็มไปด้วยประกายแสงแห่งความลามกและชั่วร้าย
.