ช่วงเวลาที่งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มขึ้น ไป๋จีเข็นกงจี้เข้างานอย่างช้า ๆ ทว่านี่แทบจะเป็นการดึงดูดสายตาของทุกคนในงานเลี้ยง
งานเลี้ยงจัดขึ้นตรงระหว่างน้ำพุริมทะเลสาบ มีลมพัดผ่านบริเวณทะเลสาบอยู่ตลอด ทำให้เย็นสบายอยู่พอสมควร
สายตาของผู้คนไปหยุดอยู่ที่กงจี้ พวกเขาพากันคาดเดาว่าเขาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้มาจากที่ไหนกันแน่ เหตุใดถึงได้แน่มากขนาดนี้
“หลานช่าง มาเลยมา ข้าเว้นที่นั่งไว้ให้เจ้าแล้ว มา ๆ ๆ” ซุนจงอี้รีบเดินเข้ามาต้อนรับกงจี้เข้างานด้วยตัวเอง ท่าทางเป็นกันเองราวกับว่าหลานช่างคนนี้เป็นพี่น้องร่วมสาบานของเขาอย่างไรอย่างนั้น
ท่าทางของข้าหลวงซุนทำให้กงจี้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนไปในทันที
ทว่าสีหน้ากงจี้นิ่งเฉยมาก เขาเคยเห็นงานใหญ่มาก่อน แล้วจะมาสนใจงานเลี้ยงเล็ก ๆ แบบนี้ไปทำไมกันล่ะ คำพูดและการกระทำของเขายังคงเป็นแบบของเขา แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ มันกลับยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจเขามากขึ้น เขาทั้งลึกลับยากที่จะคาดเดา ใครเล่าจะไม่สนใจ
เจียงป่าวชิงสังเกตผู้คนโดยรอบด้วยสีหน้าราบเรียบ นางสังเกตว่าเหลียงจื้อถงที่ถือพัดเพื่อสร้างภาพลักษณ์สูงส่งและแสร้งทำเป็นคนมีความรู้คนนั้นไม่อยู่แล้ว ทว่านางกลับพบอีกสองคนที่คุ้นเคยอยู่ในงานเลี้ยง
ฉือจื้อเฉิงผู้เป็นขุนนางอำเภอฉือเจียกับหานอิงฉีผู้เป็นน้องชายของเมียน้อยของเขาก็มาโผล่หน้าในงานเลี้ยงนี้ด้วย
ที่นั่งของทั้งสองคนห่างจากที่นั่งหลักไม่ไกล เห็นทีว่าพวกเขาคงจะเป็นคนสนิทของท่านซุน ไม่อย่างนั้นฉือจื้อเฉิงที่เป็นเพียงขุนนางจากอำเภอเล็ก ๆ จะมานั่งตรงที่นั่งระดับนี้ได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าฉือจื้อเฉิงกับหานอิงฉีก็จำพวกกงจี้ได้เช่นกัน สีหน้าท่าทางของทั้งสองแข็งกระด้างไปทันที เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความกระวนกระวายใจเจืออยู่เล็กน้อย
ฉือจื้อเฉิงทำตัวเป็นเจ้าพ่ออยู่ที่อำเภอฉือเจียมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ความสามารถทางด้านการสร้างเปลือกนอกเพื่อปกปิดตัวตนของเขายังใช้การได้อยู่
ในทางตรงกันข้าม หานอิงฉีเป็นเหมือนตัวตลกที่ทำอะไรไม่ถูก เมื่อสักครู่มีคนพูดคุยกับเขา เขากลับตอบตะกุกตะกัก พูดจาอะไรออกมาเป็นสะดุดไปเสียหมด นั่นเป็นการปล่อยไก่ให้กับตัวเองแท้ ๆ
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วขึ้นและเก็บสายตากลับไป
หานอิงฉีไม่คิดว่าเจ้าเด็กบ้าอดีตไอ้ปัญญาอ่อนนั่นจะปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ได้จริง ๆ ดูจากท่าทางกระตือรือร้นที่ท่านซุนมีต่อเจ้านายของนางแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่พี่เขยของเขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ให้เขาไปหาเรื่องนาง
มาเห็นแบบนี้ เขายังจะกล้าเข้าไปหาเรื่องอีกได้อย่างไร ?
ฉือจื้อเฉิงตัวสั่นเล็กน้อย ตอนที่เขาเห็นป้ายตรงเอวของไป๋จีก็จำได้ทันทีว่าบัตรที่เอวนั้นเป็นสิ่งที่ผู้สูงศักดิ์ในเมืองมีไว้ครอบครอง แม้เขาจะไม่รู้ถึงระดับที่แน่ชัด แต่สิ่งที่เขารู้คือเขาสามารถทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้ในอำเภอฉือเจีย ทว่าเมื่ออกมาข้างนอกแล้ว ขุนนางระดับเขากลับไม่มีตัวตนแม้แต่น้อย ถึงขั้นว่าผู้สูงศักดิ์คนใดคนหนึ่งข้างนอกนี้สามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดายเหมือนบี้มดด้วยซ้ำ
เวลานี้เมื่อเห็นท่านซุนประจบสอพลอ ‘หลานช่าง’ คนนี้ขนาดนั้น สองขาของเขาพลันสั่นพั่บ ๆ เขากลัวจริง ๆ ว่าหลานช่างคนนี้จะมาคิดบัญชีเขาอีกครั้ง
แต่ก็นับว่าโชคดีที่ดูเหมือนว่ากงจี้จะไม่ได้สนใจทั้งสองคน สายตาของกงจี้ไม่แม้แต่จะมองมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ
ในระหว่างการชนแก้ว ท่านซุนก็แนะนำแขกผู้มีเกียรติสองสามคนให้กงจี้ได้รู้จัก
กงจี้ยังคงมีท่าทีเย่อหยิ่ง เขาพยักหน้าบ้างเป็นบางครั้ง แต่กลับหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ กองทหารของจังหวัดหยูเฟิงตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาไปจนถึงรองนายพลต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านซุนกันทั้งนั้น
คนโง่พวกนี้ไม่รู้หรือไงว่าซุนจงอี้คนนี้คิดแผนชั่วอะไรอยู่
งานเลี้ยงเริ่มไปได้ระยะหนึ่ง ซุนจงอี้ก็ส่งสายตาไปทางหนึ่ง จากนั้นก็มีคนลุกขึ้นยิ้ม ๆ แล้วยกแก้วขึ้นมาอวยพรให้ท่านซุน นอกจากนี้ เขาคนนั้นยังต้องการมอบของขวัญให้กับท่านซุนต่อหน้าผู้คนในงานอีกด้วย
อันที่จริงการให้ของขวัญท่ามกลางผู้คนในงานเช่นนี้จะจัดขึ้นปีละครั้งในงานเลี้ยงวันเกิด แม้ดูภายนอกซุนจงอี้จะเหมือนเป็นข้าราชการมือสะอาดไร้ซึ่งจุดด่างพร้อย แต่ความเป็นจริงเขากลับเป็นคนรักความสนุกและฟุ่มเฟือย ดูได้จากน้ำพุในทะเลสาบนี้ที่ใคร ๆ ก็ดูออกว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อสร้างมันขึ้นมา
ซุนจงอี้ทำหน้าเคร่งขรึมและบ่ายเบี่ยงอย่างต่อเนื่อง “ข้าบอกแล้วว่าวันนี้ข้าเพียงแค่จะมาดื่มและร้องเพลงร่วมกับมิตรสหายร่วมงาน เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันเท่านั้น จู่ ๆ เจ้าก็จะให้มอบของขวัญวันเกิด นี่ก็เท่ากับว่าเป็นการขัดกับความตั้งใจเดิมของข้าน่ะสิ”
คนผู้นั้นพูดพลางยิ้มอย่างประจบประแจง “ท่านซุนเข้าใจผิดแล้ว ท่านทำงานเพื่อประชาชนจนลืมวันเกิดของตัวเอง แต่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างเรา ๆ รู้สึกถึงความทุ่มเทของท่านที่มีต่อประเทศชาติและประชาชน เราทั้งเสียใจทั้งละอายใจจริง ๆ แม้จะบอกว่านี่เป็นของขวัญวันเกิด แต่มันก็เป็นน้ำใจจากผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างพวกเราด้วยเช่นกัน หวังว่าท่านจะรับเอาไว้”
ซุนจงอี้โบกมือไปมา “ไม่ได้… ไม่ได้ ๆ ๆ นี่ไม่เหมาะสมจริง ๆ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
ทว่าต่างคนต่างพูดให้เขารับไว้ ซุนจงอี้จึงไม่อาจบ่ายเบี่ยง จำเป็นต้องรับไว้อย่างเสียมิได้
ของที่ผู้มอบของขวัญคนแรกมอบให้เป็นลูกท้อที่ทำจากหยกขาว หยกขาวใสแวววาวเมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดมันดูดีมีราคาสูงอยู่พอสมควร แต่คนที่มอบของขวัญคนนั้นกลับแสดงสีหน้าอับอายท่ามกลางเสียงอุทานของทุกคน “นะ… นี่ไม่ใช่ของขวัญล้ำค่าอะไร ราคาก็ไม่เท่าไหร่ แต่เป็นน้ำใจจากข้าน้อย ข้าน้อยหวังว่าท่านจะมีความสุขและโชคดีเหมือนวันนี้นะขอรับ”
ซุนจงอี้รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มว่า “ลำบากเจ้าแล้วล่ะ” จากนั้นก็รับของขวัญมา
คนที่สองก้าวออกมามอบของขวัญ สิ่งที่เขามอบให้เป็นไข่มุกจำนวนหนึ่ง และคนที่สองนี้ยังคงแสดงสีหน้าละอายใจในตอนมอบให้ “นี่ขอรับ ครอบครัวของข้าน้อยยากจน ไข่มุกเหล่านี้ราคาไม่เท่าไหร่ แต่ก็เป็นน้ำใจจากข้าน้อย หวังว่าท่านจะให้เกียรติรับมันไว้ขอรับ”
ราคาไม่เท่าไหร่อย่างนั้นรึ ?
เจียงป่าวชิงแทบจะอยากถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอด
ซุนจงอี้พยักหน้าด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าราคาสูงหรือต่ำ มันอยู่ที่น้ำใจของทุกคน และข้าจะรับความรู้สึกของทุกคนเอาไว้” จากนั้นเขาก็เรียกให้คนมารับของเพื่อนำไปเก็บในห้องเก็บของ
คนที่สามกับคนที่สี่แทบจะมาไม้เดียวกัน ปากบอกว่าราคาไม่เท่าไหร่ ทว่าเมื่อนำออกมาต่างก็เป็นสิ่งของล้ำค่าราคาสูงกันทั้งนั้น แต่ตอนหลังกลับมีคนไม่ใช้สมองจริง ๆ ปรากฏตัวมา อาจเป็นเพราะเพิ่งย้ายมาที่จังหวัดหยูเฟิงและยังไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบของที่นี่ เขาจึงคิดว่าของขวัญวันเกิดสำคัญที่น้ำใจอย่างที่พวกเขาหลายคนกล่าวไว้ จึงเตรียมภาพวาดอวยพรวันเกิดที่ตนเองวาดไว้เพื่อนำมามอบให้กับซุนจงอี้
ซุนจงอี้ที่ยิ้มแย้มมาตลอดเปลี่ยนสีหน้าทันที
อย่างไรก็ตาม คนไร้สมองคนนั้นกลับมีความมั่นใจในภาพวาดของตัวเองมาก เขาให้สาวใช้กางภาพวาดออก ก่อนจะพูดคำอวยพรเสียงดังภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง
เงียบสงัด… มีเพียงพวกนักดนตรีที่บรรเลงเพลงอยู่บนเรือดอกไม้ในทะเลสาบเท่านั้นที่ยังคงขับร้องเพลงกันอยู่
ซุนจงอี้จัดการกับอารมณ์ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติและสั่งให้คนนำภาพวาดนี้ไปเก็บ เห็นได้ชัดว่าซุนจงอี้ไม่แสดงสีหน้าที่ดีให้กับไร้สมองคนนั้นอีกต่อไป
ตอนที่คนไร้สมองคนนั้นกลับไปนั่งที่ ผู้คนด้านข้างรีบขยับหลีกไปข้าง ๆ อย่างพร้อมเพรียงกันและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขา เพื่อจะได้ไม่ทำให้ซุนจงอี้เข้าใจผิดว่าพวกเขาสนิทสนมกับเขาคนนี้
คนที่ก้าวออกมามอบของขวัญในที่สาธารณะคนต่อไปเป็นขุนนางอำเภอฉือ และหานอิงฉีผู้เป็นน้องชายของเมียน้อยของเขานั่นเอง
เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นคนคุ้นเคย นางก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ในลำคอ นางยังคงจำภาษีวันเกิดที่ขุนนางอำเภอฉือสั่งคนมาเรียกเก็บจากพวกพ่อค้าได้อยู่เลย
นางจะรอดูว่าภาษีวันเกิดนี้จะนำไปใช้กับอะไร!
ขุนนางอำเภอฉือเห็นว่าซุนจงอี้สีหน้าไม่ค่อยดี เขาก็รู้สึกกังวลใจอยู่เล็ก ๆ แต่เขายังคงลุกขึ้นและพูดยิ้ม ๆ “ข้าน้อยจัดเตรียมของขวัญเล็ก ๆ มา หวังว่าท่านจะโปรดรับไว้นะขอรับ” พูดเสร็จ เขาก็ปรบมือ
ในส่วนลึกของใบบัวบนทะเลสาบ จู่ ๆ ก็มีท่วงทำนองเพลงที่อ่อนหวานชวนให้คนคล้อยตามดังขึ้น
หญิงคนหนึ่งที่คลุมใบหน้าด้วยผ้าโปร่งบาง ดันเรือลำเล็กผ่านมาทางน้ำระดับกลางจากใบบัว
ขณะนี้ความไพเราะของท่วงทำนองเพลงต่างจากละครเพลงบนเรือดอกไม้อย่างชัดเจน ดนตรีสองประเภทผสมเข้าด้วยกัน กลับทำให้ท่วงทำนองยิ่งไพเราะขึ้นเรื่อย ๆ และดึงดูดให้ผู้คนเอียงหูฟังอย่างอดไม่ได้
“ข้าน้อยเห็นว่าท่านทำงานหนักเพื่องานราชการ ทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจ ท่านอาจจะเหนื่อยจากงานจนเกินไป ข้าน้อยจึงตั้งใจไปที่หยางโจวเพื่อหานักร้องที่ชำนาญด้านการร้องเพลงมาร้องให้ท่านในวันนี้ หวังว่ามันจะสามารถแบ่งเบาความเหนื่อยล้าให้กับท่านได้ขอรับ”
นักร้องหญิงคนนี้รูปร่างสะโอดสะอง ท่าทางอ่อนช้อย น้ำเสียงไพเราะกินใจ แม้ใบหน้านางจะปกคลุมด้วยผ้าโปร่งบาง แต่ก็ยังยากที่จะปกปิดความงดงามของนางได้
ซุนจงอี้พูดคำว่า ‘ดี’ ออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเขาก็พูดอย่างมีความหมายว่า “จื้อเฉิง เจ้ามีใจแบ่งเบาความเหนื่อยล้าแทนข้า ข้ารู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก”
ความปลื้มปีติปรากฏทางสีหน้าของขุนนางอำเภอฉือ “สามารถแบ่งเบาความเหนื่อยแทนท่านได้ ข้าน้อยไม่อาจบอกปัดขอรับ”
เขาดูมีความสุขมาก
“เหอะ ๆ”
ทันใดนั้นกงจี้หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะเย็นชาของเขาดูประชดประชันอย่างยิ่ง
.