สาวใช้มองเขาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเช่นนี้เอง” หันหยวนเฉาครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้าเข้าใจแล้ว”
เขามิได้หยุดรถม้า หันหน้ากลับและพูดอะไรออกมา แต่กลับพูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมของเมืองหลวงต่อ สาวใช้ก็ไม่พูดต่อเช่นกัน โดยเดินทางไปด้วย หัวเราะพูดคุยไปด้วย
เมื่อมองเห็นโรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก หันหยวนเฉาจึงควบม้าและกวักมือเรียกเพื่อนร่วมเดินทาง
“รู้ใช่ไหมว่าควรถามเช่นไร” เขาเอ่ยถาม
สหายที่ติดตามตลอดการเดินทางได้ยินเรื่องราวที่สาวใช้และหันหยวนเฉาพูดคุยกันอยู่แล้ว เพลานี้เมื่อถูกย้ำเตือนก็เข้าใจทันที และหัวเราะพยักหน้า
“พี่ชาย ขอถามหน่อยว่าแถวนี้มีหอจุ้ยเฟิ้งอยู่หรือไม่” สหายกล่าวไปด้วย เงยหน้ามองแผ่นป้ายแขวนที่อยู่ด้านนอกไปด้วย ซึ่งเผยให้เห็นสีหน้าอันงงงวยและสำเนียงที่หนักแน่น
ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลามื้ออาหารจึงมีคนจำนวนไม่มากนัก บ่าวทั้งหลายยืนกระจัดกระจายอยู่ข้างโต๊ะต้อนรับ เมื่อได้ยินเพียงเท่านี้ก็ถึงกับหัวเราะออกมา
“คนต่างถิ่นก็รู้จักหอจุ้ยเฟิ่งด้วยหรือ” พวกเขาหัวเราะกล่าว
“ใช่แล้ว สามปีก่อนท่านชายของข้าผ่านมาแล้วทานอาหารที่ร้านนี้หนึ่งมื้อ ประทับใจยิ่งนัก ครั้งนี้จึงตั้งใจมาเป็นพิเศษ” สหายยิ้มกล่าว
สามปีที่แล้ว เป็นปีแห่งการคัดเลือกครั้งยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนเหล่านี้จะตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อจะได้รับการคัดเลือกเป็นบัณฑิตอีกครั้ง
“คนต่างถิ่น ความจำดีนัก ที่นี่คือหอจุ้ยเฟิ่ง”
“แต่บัดนี้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือนนางฟ้าแล้ว”
“กินนางฟ้าไปแล้ว ก็จะลืมไม่ลง”
พวกเขาไม่คิดว่ามันน่าสงสัยและเริ่มพูดคุยกับสหายคนนั้นต่อ โดยใช้เวลาไม่นาน สหายก็ถามไถ่จนได้ความ เมื่อร้านเริ่มมีผู้คนมากขึ้น สหายจึงถือโอกาสถอยออกมาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เพียงพริบตาก็กลับมาหาหันหยวนเฉาและสาวใช้ได้แล้ว
“ไม่ไกลเลย อยู่ในหมู่บ้านซ่งเจียทางนั้น” สหายกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำพลางยื่นมือชี้ “จากปากทางเข้าหมู่บ้านมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จะมีต้นฮ๋วยต้นใหญ่อยู่ตรงหน้าประตู”
ทั้งหันหยวนเฉาและสาวใช้ต่างมองตามไป หมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลกระจัดการจายบนทุ่งหญ้าฤดูหนาว ทำให้มองเห็นชัดเจนยิ่งนัก
หลี่ต้าเสาไม่ใช่ชื่อจริงของเขา แต่เป็นเพียงนามแฝงที่เรียกหลังจากที่เขาเรียนรู้วิชาการทำอาหาร
“พวกเจ้ามาดูคอกวัวหรือ” หญิงชราร่างสูบผอมดุนฟืนลืมตาที่พร่ามัวถาม “ไม่ใช่มาดูที่ดินใช่หรือไม่”
หันหยวนเฉารู้สึกงงเล็กน้อยกับสิ่งที่นางพูด ขณะที่ สาวใช้ก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ พวกเราไม่ได้มาซื้อที่ดิน ได้ยินว่ามีคนป่วย ท่านชายข้าเลยมาดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่” นางพูดเสียงดัง
หญิงชราตาลายและหูหนวก
“ที่ดินผืนนี้ดีนัก พวกเจ้าให้มากหน่อยเถอะ” นางตะโกนเสียงดังเช่นกัน
หญิงสาวที่อยู่ในห้องเมื่อได้ยินเสียงนั้นก็เดินออกมา ดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งจะร้องไห้เสร็จ
“ท่านแม่ เขามาแล้วหรือ” นางถาม เมื่อมองเห็นสาวใช้ก่อนก็ตกตะลึง จากนั้นมองเห็นหันหยวนกลับประหลาดใจมาก “เหตุใดท่านชายถึงมาที่นี่ได้”
แน่นอนว่ามาพร้อมหันหยวนเฉา ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย สาวใช้ชำเลืองมองหันหยวนเฉา นายหญิงช่างคิดรอบคอบนัก แต่ทว่า เมื่อนายหญิงเห็นความไม่เป็นธรรม จึงอยากยื่นมือเข้าช่วย เช่นนั้น เหตุใดถึงเพิกเฉยต่อเหตุการณ์หน้าร้านในวันนั้น
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของนาง ขณะที่ หันหยวนเฉาได้พบกับหญิงสาวคนนั้นแล้ว
ยังมิทันได้พูดคุยกัน เสียงตะโกนที่แหบแห้งและอ่อนแอของผู้ชายคนนั้นดังมาจากในบ้าน
“ห้ามขายที่ดิน นั่นคือที่นาสินสอดของเจ้า เมื่อข้าตายไปแล้ว เจ้าไม่แต่งงานใหม่ ครอบครัวเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร! ”
ทันใดนั้น น้ำตาของผู้หญิงก็รินไหลออกมาอีกครั้ง แล้วรีบยกมือเช็ดออกอย่างรวดเร็ว
หันหยวนเฉาพยักหน้า
“ไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้มาซื้อที่ดิน” เขากล่าว
ครั้งนี้หญิงชราที่นั่งอยู่ตรงประตูได้ยินแล้ว
“หะ” นางตะโกนพร้อมกับเบิกตาจ้องมอง “ไม่ซื้อที่ดิน แล้วพวกเจ้ามาทำอะไร”
สาวใช้หันกลับมามองนางและเม้มปาก
“พวกเรามาให้ความช่วยเหลือ” นางพูดเสียงดัง
เมื่อหันหยวนกลับมาถึงที่พักเป็นเวลาบ่ายแล้ว สหายทั้งสองกำลังนั่งรออย่างไม่สบายใจ พอเห็นเขาเดินเข้าประตูมา พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจทันที
“หากเจ้าถูกขอทานลักพาตัวไปจริงๆ พวกเราจะอธิบายกับพ่อแม่เจ้าอย่างไร” พวกเขาพูดติดตลก
หันหยวนเฉาหัวเราะและนั่งลงดื่มชาร้อน เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
“ทั้งไม่ใช่ขอทานและไม่ถูกปล้นระหว่างทาง” เขายิ้มกล่าวพลางหมุนถ้วยน้ำชา “ข้าเจอผู้หญิงกับผู้ชายทั้งสองคนนั้น สาวใช้ก็ยื่นถุงเงินให้ และให้หมอมารักษาอาการ ชายคนนั้นไม่ได้ป่วยหนัก แค่คิดมากอยู่ในใจ แต่หลังจากได้รับคำแนะนำ คิดว่าคงจะไม่เป็นอะไรมากแล้ว”
สหายทั้งหลายพยักหน้าด้วยความโล่งใจ
“เพียงแต่” หันหยวนเฉาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพร้อมกับหันหน้าไปมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ดูเหมือนร้านเรือนนางฟ้าจะข้องเกี่ยวกับราชเลขานุการแห่งหอสมุดหลวงหลิวจางหลิวอวี้จั๋ว
ทันใดนั้น สหายทั้งสองก็เบิกตากว้างและกลืนน้ำลาย พวกเขาเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไรในประโยคเดียว
“หยวนเจา! ” พวกเขานั่งหลังตรงโดยลืมตัว และสีหน้าก็เคร่งขรึมทันที “เรื่องนี้เลวร้ายอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย! ”
หันหยวนเฉาหมุนถ้วยน้ำชา และอารมณ์ยังดีอยู่
“หยวนเฉา ใครกันที่หลอกใช้เจ้า” สหายเอ่ยถาม
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ให้เรื่องมันจบแค่นี้ ไม่ว่าใครจะมาหาและพูดอะไรก็ตาม หยวนเฉาเจ้าเพียงเห็นความไม่เป็นธรรม จึงยื่นมือเข้าช่วยเท่านั้น เวลาต่อจากนี้ไป ก็ปิดประตูอ่านหนังสือ รอเพียงสอบคัดเลือกเท่านั้น เรื่องของเขาไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า” สหายอีกคนกล่าว
“ในเมืองหลวงและราชสำนักแห่งนี้ ความลึกของน้ำไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะไปสำรวจได้” สหายคนแรกก็พูดต่อด้วยความกังวลเล็กน้อย “เดิมทีคิดว่าเป็นการพูดคุยที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่คิดว่ามันจะเป็น…ความงดงามของฤดูกาลทั้งสี่ที่มีเพียงในหนังสือเท่านั้น”
พูดถึงเพียงเท่านี้ มีบางอย่างกระทบหน้าต่างเสียงดังลั่น ทั้งสองแทบจะกระโดดขึ้นด้วยความตกใจ แต่กลับพบว่าเป็นแค่ลมพัดแรงเท่านั้น
หันหยวนเฉากลับหัวเราะเสียงดัง ทำลายบรรยากาศอันตึงเครียดลง สีหน้ามีความสุขและลุกขึ้นปิดหน้าต่าง
“อย่าคิดมากไปเลย อาจเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่เห็นความไม่เป็นธรรม จึงยื่นมือเข้าช่วยเท่านั้น” เขากล่าว “มิเช่นนั้น เหตุใดนางถึงเตือนว่าเรือนนางฟ้ามีความข้องเกี่ยวกับราชเลขานุการหลิวได้เล่า”
“ในโลกนี้ไม่มีเรื่องง่ายๆ เช่นนี้หรอก” สหายทั้งหลายส่ายหัว
หันหยวนเฉากระแอมเสียงดัง จนสหายทั้งหลายหันหน้ามองมาและเห็นเขาชี้นิ้วไปที่ตัวเอง
“ข้าช่วยผู้หญิงคนนั้นเพียงเพราะเห็นความไม่เป็นธรรมเท่านั้น แม้ว่าขณะนั้นจะรู้เรื่องของราชเลขานุการหลิว ก็จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเช่นกัน นี่มิใช่เรื่องง่ายๆ หรอกหรือ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ประโยคเดียวทำให้พวกเขาหัวเราะอีกครั้ง
“หยวนเฉา จะมีคนอย่างเจ้ากี่คนกัน” สหายทั้งหลายยิ้มไปด้วย ส่ายหัวไปด้วย
“บางทีนายของสาวใช้คนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย” หันหยวนเฉายิ้มกล่าว
สหายส่ายหัวพร้อมกับฝืนยิ้ม
“หยวนเฉา เอาเป็นว่าเรื่องนี้จบแค่นี้ หากมีคนมาขอพบอีก ก็ให้ปฏิเสธไป” พวกเขากล่าวพร้อมกับทำหน้าจริงจัง
หันหยวนเฉายิ้มโดยไม่พูดพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมเหนือพัดแรง บ่าวตัวเล็กๆ ซนๆ อีกสองคนขว้างประทัดใส่หิมะ ระเบิดหมอกหิมะกระจายไปทั่ว เขากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่แล้วเอื้อมมือปิดหน้าต่าง เพื่อกั้นเสียงประทัดที่อยู่ทั้งในระยะใกล้และไกล
ณ จวนซิ่วอ๋อง พิธีงานศพถูกรื้อออกแล้ว แต่เนื่องจากระบบของการไว้ทุกข์ จึงมิได้แขวนผ้าแดงไว้ ดังนั้น บรรยากาศของปีจึงไม่คึกครื้นเหมือนกันบ้านของคนอื่น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องแสดงความเคารพต่อพระชายาซิ่วอ๋อง
“ยอดเยี่ยมมาก ฮ่องเต้และไทเฮาต่างเร่งให้เจ้ากลับไป” พระชายาซิ่วอ๋องกล่าวด้วยความโล่งใจเล็กน้อย “วันปีใหม่แล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
“เสด็จแม่ ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อมากกว่านี้เถิดพะยะค่ะ” เขากล่าว “อย่างน้อยก็ผ่านครึ่งปีไปก่อน…”
“เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่” พระชายาซิ่วอ๋องขัดจังหวะพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ครึ่งปี บวกกับการเดินทาง เจ้าออกจากเมืองหลวงก็เกือบจะปีหนึ่งแล้ว ระยะเวลาหนึ่งปี ไทเฮาและฮ่องเต้ก็จะจำเจ้าไม่ได้แล้ว”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มศีรษะลง
“เจ้าโตแล้ว อย่าใช้อารณ์แก้ไขปัญหา เจ้าได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นอ๋อง แต่กลับยังไม่ได้พระราชทานอาณาบริเวณปกครองเสียที” พระชายาซิ่วอ๋องกล่าวด้วยความมุ่งมั่น “มิสามารถสูญเสียหัวใจแห่งพระราชาไปได้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบรับคำ
“ทั้งพระโอรสใหญ่และพระโอรสรองอายุยังน้อยทั้งคู่ เจ้ามีโอกาสอันดีที่จะถูกเลี้ยงดูเช่นเดียวกับพระโอรสองค์อื่นๆ ใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขา ภายภาคหน้าความไมตรีจิตความรักใคร่ต่อกันก็จะลึกซึ้งเพิ่มมากยิ่งขึ้น โอกาสเช่นนี้ คนอื่นอยากได้ยังหามิได้เลย”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องแสดงความเคารพอีกครั้ง
“ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนของเสด็จแม่พะยะค่ะ” เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความซาบซึ้งและความสนิทใจ
พระชายาซิ่วอ๋องพยักหน้า
“ยิ่งไปกว่านั้น ทางนี้น้องชายของเจ้าก็จะได้รับพระราชทานเป็นกั๋วกง แล้ว” นางกล่าวด้วยความสบายใจและความหดหู่แฝงอยู่ “น้องชายเจ้าที่เป็นกั๋วกง แน่นอนว่าเทียบกับตำแหน่งอ๋องของเจ้าไม่ได้ หากพวกเจ้าพี่น้องทั้งสองต่างอยู่ที่จวนอ๋อง ทั้งทางด้านมารยาทและกฎระเบียบแล้ว ล้วนไม่เหมาะสมทั้งนั้น”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองไปที่พระชายาซิ่วอ๋อง แล้วก้มศีรษะลง
“พะยะค่ะ” เขากล่าว “ข้าจะรีบออกเดินทางกลับเมืองหลวงทันที”
……………………………………………………………..