สาวใช้ก้าวเข้ามาในบ้าน นางกุมเสื้อคลุมไว้แน่นแล้วเดินฝ่าสายลมไป
เมื่อพบสาวรับใช้ระหว่างทาง พวกเขาก็หลีกทางให้อย่างสุภาพ
“แม่นางปั้นฉิน” มีคนหัวเราะพูดคุยเป็นเพื่อน
สาวใช้ที่เผชิญหน้าอยู่นั้น หันหลังกลับจากด้านข้างและเดินก้มศีรษะ ทันใดนั้น เมื่อได้ยินประโยคนี้จึงเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางเห็นสาวใช้เจ้าเสน่ห์เดินผ่านไปช้าๆ และนางก็ตกตะลึง
“แม่นางปั้นฉินจะออกไปข้างนอกหรือ” แม่นมอีกคนพูดต่อ
สาวใช้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“ใช่” นางตอบพลางมองไปที่แม่นมอีกครั้ง “อากาศหนาวเช่นนี้ ท่านแม่ยังยุ่งอยู่หรือ”
“ไม่ยุ่ง ไม่ยุ่ง” แม่นมยิ้มตอบ เมื่อได้สติก็รีบพยักหน้า “ยุ่ง ยุ่งสิ ใกล้จะปีใหม่แล้ว”
“ลำบากท่านแม่แล้ว” สาวใช้ยิ้มกล่าว
แม่นมใบหน้าเต็มไปได้ด้วยความยิ้มแย้ม มองดูสาวใช้เลี้ยวหายไป
“ไอ้หยา หญิงสาวผู้นี้ช่างเป็นกันเองและสดใสเสียจริงๆ ” นางถอนหายใจใส่คนด้านข้าง “ไม่เห็นอารมณ์ร้ายอย่างที่พวกเขาพูดเลย”
“ใช่” สาวใช้อีกคนเห็นด้วยเช่นกัน พร้อมกับมองไปที่เงาด้านหลังของสาวใช้ที่เดินจากไป “ข้าได้ยินมาว่านางกล้าเถียงแม้แต่กระทั่งกับฮูหยินและแม่นางเจ็ด หากเป็นเช่นนี้ ก็มิได้ดูแปลกและไม่รู้จักมารยาท”
สาวใช้หยุดเดินและหันหลังกลับไปมองอย่างกะทันหัน
สาวใช้และแม่นมทั้งหลายเดินผ่านไปมาบนถนนสายนี้เป็นจำนวนมาก
เพียงแต่สาวใช้หันมาจ้องมองสาวใช้ที่ก้มศีรษะและกอดแขนเดิมเข้ามาอยู่ไม่ไกลนัก
สาวใช้คนนั้นดูเหมือนจะหนาวมาก ทั้งหดตัวทั้งตัวสั่น
“พี่สาว… ” สาวใช้มองหน้านางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ก่อนที่นางจะพูดจบ สาวใช้ก็เร่งฝีเท้าและเดินผ่านนางไป
สาวใช้ส่ายหัวพลางหัวเราะ นางกระชับเสื้อคลุมให้แน่นและไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูลานกว้าง
ปั้นฉินเดินก้มหน้าออกไปก่อนจะหันหลังกลับอย่างระมัดระวัง ประตูตรงนั้นกลับว่างเปล่าไปเสียแล้ว
ปกติเห็นเงาของคนนี้บ้างในเวลาตอนกลางคืน ที่แท้คือปั้นฉินคนใหม่ของนายหญิงนี่เอง
ยอดเยี่ยมจริงๆ ใบหน้างดงามและพูดเก่ง…
ปั้นฉินจ้องมองอยู่ชั่วครู่ แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ก้มศีรษะและกอดอกเดินออกไปอย่างช้าๆ
สาวใช้หลายคนยืนอยู่ใต้ระเบียงของลานกว้าง เมื่อเห็นสาวใช้คนนี้ ทุกคนต่างแสดงความเคารพ
นี่คือสาวใช้คนใหม่ที่ฮูหยินโจวส่งมา ผู้อาวุโสส่งมอบให้ ปฏิเสธไม่ได้ เฉิงเจียวเหนียงจึงรับไว้ทั้งหมด เพียงแต่จะเรียกใช้หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สาวใช้ทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม และสาวใช้ใหม่ทั้งสองคนรีบแย่งกันไปเปิดประตู
หลังจากที่สาวใช้เดินเข้าไปแล้ว ไม่ต้องพูด ก็มีคนปิดประตูให้
เฉิงเจียวเหนียงเอนกายอ่านหนังสือตรงหน้าฉากกั้นห้อง
“นายหญิงเจ้าคะ เรียบร้อยทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว “หมอดูอาการแล้ว ไม่หนักเจ้าค่ะและให้เงินไปเพิ่ม หมอบอกว่าเขาเป็นโรคไข้ใจ ท่านชายฉินก็ปลอมประโลมเขาไปหลายประโยค ทำให้อาการของชายผู้นั้นดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้ววางหนังสือลง
“พวกเขาจำเจ้าได้แล้วหรือไม่” นางเอ่ยถาม
สาวใช้พยักหน้า
“ข้าพูดคุยกับหญิงคนนั้นอยู่นานพอควร นางต้องจำข้าได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” นางกล่าว “ไปพร้อมกับท่านชายฉิน นางก็มิได้สงสัยอะไร และเชื่อใจข้ายิ่งนักเจ้าค่ะ”
“เพียงพอแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าและกล่าว
“แล้วนายหญิงจะทำอย่างไรต่อไปหรือเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามอย่างสงสัย
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นาง
“ไม่ต้องทำอะไรแล้ว” นางกล่าว “ไม่ใช่ว่าทำครบแล้วหรือ”
สาวใช้รู้สึกประหลาดใจและหัวเราะออกมาทันที
“นายหญิงเจ้าคะ ทำเพียงเท่านี้หรือเจ้าคะ” นางถาม
“ทำเพียงแค่นี้แหละ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพร้อมกับพยักหน้า “มิฉะนั้นเล่า”
สาวใช้พูดไม่ออก ตอบไม่ถูก ใช่สิ มิฉะนั้นเล่า นางเม้มปากแล้วยิ้ม
“ข้าจะฟังหนังสือ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้รับคำแล้วหยิบหนังสือ
“ครั้งล่าสุด อ่านถึง…” นางพลิกหาไปพลาง พูดคนเดียวไปพลาง
“ตรงแถวเทศกาลหานสือ ทะเลสาบเต็มไปด้วยเรือวาดภาพ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้พยักหน้า
“นายหญิงความจำดีจริงๆ เจ้าค่ะ” นางหัวเราะกล่าวพลางเปิดไปที่หน้านั้น และอ่านออกเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ “…หัวท้ายเชื่อมต่อกัน เช่นเดียวกับสะพานทิพย์ เรือลำแรก เรือลำที่สอง เรือลำที่สาม เรือลำที่สี่ เรือลำที่ห้า…”
วันสุดท้ายของปี ทุกครัวเรือนจะเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเฉลิมฉลองเทศกาลนี้
นายใหญ่ทั้งหลายต่างกำชับให้ตรวจของใช้ในการไหว้บรรพบุรุษ ส่วนนายหญิงตรวจเสื้อผ้าของฝ่ายหญิงและจดรายชื่อแขกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับในช่วงหลายวันนี้
เด็กเล็กและหญิงสาวทั้งหลายทั้งตั้งหน้ารอคอยอย่างสบายอกสบายใจและทั้งตื่นเต้นสำหรับการมาถึงของปีใหม่
เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้ซึ่งดูสบายๆ ดูไม่ตื่นเต้นนัก ได้เดินออกไปข้างนอกแล้ว
“เหตุใดเวลานี้ยังออกไปข้างนอกอีก” เมื่อฮูหยินโจวทราบข่าว จึงรีบกล่าว สีหน้ามิได้อ่อนโยนและนุ่มนวลเฉกเช่นเมื่อก่อนและหมดความอดทนแล้ว “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี เจียวเจียวร์ยังจะออกไปอีกหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองหน้านาง โดยไม่พูด
“ฮูหยินเจ้าคะ เพราะวันนี้เป็นสุดท้ายของปี นายหญิงของพวกเราถึงต้องออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ฮูหยินลืมไปแล้วหรือเจ้าคะว่านายหญิงข้ามิได้แซ่โจว วันสิ้นปีจะฉลองเทศกาลกับบ้านฝั่งมารดาได้อย่างไรเจ้าคะ”
บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาบ้านตัวเองเพื่อเฉลิมฉลองในวันสิ้นปีได้ มีกฎเช่นนี้อยู่ก็จริง แต่หลานสาวตาก็ไม่ได้หรอกหรือ
ฮูหยินโจวตะลึงงัน
“แม้จะไม่อยู่บ้าน แต่สำหรับวันปีใหม่แล้ว นายหญิงข้าก็ต้องกราบไหว้บรรพบุรุษเช่นกันเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว “เรามีบ้านอยู่ในเมืองหลวง ดังนั้น เราต้องกลับไปที่บ้าน เพื่อไม่ให้บรรพบุรุษของทั้งสองตระกูลต้องสับสนระหว่างกราบไหว้เจ้าค่ะ”
“แต่ทว่า เช่นนี้เหมาะสมหรือ” ฮูหยินโจวกล่าวอย่างตัดสินใจไม่ได้
เมื่อท่านชายโจวหกทราบข่าว จึงรีบเดินทางมา โดยมิได้พูดอะไรสักคำ ก็รับแส้ม้าจากมือของบ่าว
“ท่านแม่ไปทำธุระก่อนเถิด ข้าจะไปส่งนางเอง” เขากล่าว
อยากไปก็ไปเถิด เพราะนอกจากจะสร้างความวุ่นวาย ก็มิได้มีประโยชน์อะไรเลย ฮูหยินโจวโบกมือด้วยความโมโห
“อยู่ด้านนอกระวังตัวกันด้วย ขาดเหลืออะไรขอให้บอก” นางกล่าว
เสียงอึกทึกของผู้คนบนถนนลดน้อยลงไปมากแล้ว มีเพียงเสียงรีบเร่งฝีเท้าของคนที่ยกและแบกของใช้ในวันตรุษจีนบางครั้งบางคราวเท่านั้น
ท่านชายโจวหกหยุดม้า และมองไปที่บ่าวซึ่งเปิดประตูวิ่งออกมา
“นายหญิงกลับมาแล้วขอรับ” เขาตะโกนเสียงดังลั่น
ประตูถูกเปิดออก เสียงหัวเราะพูดคุยก็ดังสนั่นออกมา
“น้องสาวกลับมาแล้ว” ชายอีกสองคนตามออกมาพลางถูมือและหัวเราะ “พวกเรากำลังตุ๋นหัวหมูกันอยู่”
“ท่านชายสี่ ท่านชายห้าตุ๋นหัวหมูเป็นด้วยหรือเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก พร้อมกับช่วยพยุงเฉิงเจียวเหนียงลงมาจากรถ
“เป็นสิ เป็นสิ” ชายทั้งสองคนยิ้มและพยักหน้า “น้องสาวรีบเข้าไป ข้างนอกหนาว”
ท่านชายโจวหกยืนอยู่ข้างๆ แต่ทุกคนดูเหมือนจะมองไม่เห็นเขา ราวกับว่าเป็นคนขับรถม้าจริงๆ
เมื่อคนด้านในทราบข่าว ก็วิ่งออกมาอีกสองสามคน และส่งเสียงเรียกน้องสาวอย่างต่อเนื่อง
น้องสาว พี่ชาย ตะโกนกันไปมาอย่างสนิทสนมและอบอุ่นใจ
ท่านชายโจวหกมองไปที่ชายหญิงซึ่งหัวเราะพูดคุยกันต่อหน้าเขา จึงยิ้มเยาะและโยนแส้ในมือทิ้ง
ชายหนุ่มที่มีสายตาเฉียบคมและมือเท้าว่องไวได้เอื้อมมือไปรับแส้ไว้
หัวเราะพูดคุยถึงเพียงเท่านี้ ทุกคนต่างหันหน้าไปมอง ชายหนุ่มผู้นั้นหันหลังกลับแล้วก้าวไปข้างหน้าและเดินตามเส้นทางที่เคยผ่านมา
ดูเหมือนว่าเฉิงเจียวเหนียงจะมองไม่เห็น และเดินเข้าบ้านไปพร้อมสาวใช้แล้ว
ชายหนุ่มทั้งหลายได้สติกลับคืนมา
“ไม่ทราบว่าบ้านตาคือตระกูลแบบใดกัน แม้แต่คนขับรถม้าก็องอาจเช่นนี้…
“ใช่ อายุยังน้อย แต่กำลังแขนแข็งแกร่งนัก ชั่วครู่ยังดีที่คว้าแส้ หากเป็นไม้ทวน ก็คงทิ่มแทงจนเป็นรูไปแล้ว”
ทั้งพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำไปด้วยและไล่รถม้าเข้าประตูไปด้วย ทันใดนั้น พลุก็ระเบิดสนั่นในประตู
“จินเกอร์! ห้ามซน! ”
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่เรือนที่ครึกครื้นแห่งนี้ไม่น้อย
ชายหนุ่มทั้งหลายสบตากันและหัวเราะเสียงดัง แล้วปิดประตู
บริเวณประตูได้แขวนยันต์ไม้ท้อภาพเสินถูและอวี้เหล่ยสองทวารบาลไว้เรียบร้อยแล้ว และโคมไฟสีแดงอันใหม่ที่อยู่ด้านล่างประตูก็แกว่งไปมาตามกระแสลม บรรยากาศช่างชื่นมื่นยิ่งนัก
…………………………………………………..