ตกดึก ความเงียบก็เข้ามา

ลู่ฝานนั่งอยู่ในห้อง ฝึกวิชากายทองไฟอาบของตนเอง

วิชายุทธไม่มีวันสิ้นสุด ทุกวินาทีห้ามปล่อยให้เสียเปล่า ลู่ฝานใช้การฝึกฝนมาทดแทนการนอนหลับเสียจนชินแล้ว

รอบๆ มีพลังฟ้าดินเกิดหมุนรอบขึ้นจากการดึงดูดของลู่ฝาน เป็นเหมือนกับเตาหลอม ที่กำลังหล่อหลอมร่างกายเขา

หายใจเข้า หายใจออก

บนตัวเหมือนมีไอควันบางๆ โชยออกมา ค่อยๆ ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น

ตั้งแต่ที่เขามีแหวนที่ตระกูลให้มา ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าการฝึกฝนของตนเองเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประสิทธิภาพของมัน ดีกว่าอุกกาบาตจิตเย็นเสียอีก ทำให้ลู่ฝานคิดไม่ถึงไปเหมือนกัน

ด้านนอกประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น

“ลู่ฝาน”

ลู่ฝานค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็เก็บปราณชี่เข้าไป

ลุกขึ้นมาเปิดประตู ก็เห็นตัวของลู่หมิงปรากฏขึ้นในสายตา

ลู่หมิงพูดนิ่งๆ ว่า “ฉันจะไปกินอะไรที่ห้องโถงเสียหน่อย จะไปด้วยไหม?”

ลู่ฝานตอบว่า “ได้สิ ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้กินข้าวกินน้ำเลย ควรจะกินอะไรสักหน่อยแล้วเหมือนกัน”

พอได้ยินว่าจะมีของกิน เจ้าดำที่กำลังนอนหลับปุ๋ยก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที แล้วก็กระโดดขึ้นมาบนหัวไหล่ของลู่ฝาน

ลู่หมิงมองเจ้าดำแล้วพูดว่า “ระวังสัตว์อสูรของนายจะกินล้างกินผลาญจนหมดเงินล่ะ”

ลู่ฝานก็หัวเราะเบาๆ

ปิดประตู แล้วทั้งสองคนก็เดินไปยังห้องโถงของโรงเตี๊ยม

ตอนนี้ในห้องโถงมีคนมากินข้าวไม่น้อย พวกลู่ฝานก็หาโต๊ะตัวหนึ่งแล้วนั่งลง จากนั้นก็สั่งกับข้าวง่ายๆ มาสองอย่าง

พูดว่า “ลู่ฝาน พวกเราสองคนอยู่ในตระกูลถึงจะไม่ถูกกัน มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ออกมาด้านนอก ก็เป็นคนของตระกูลลู่เหมือนกัน ต้องสามัคคีกันไว้ เห็นแก่ส่วนรวม

ลู่ฝานพูด “ทำไมถึงจะไม่ปลอดภัย?”

“เมื่อตอนกลางวันเจอกับเถ้าแก่ของหอฝึกสัตว์ คาดว่าคงจะไม่รามือง่ายๆ แน่ เป็นไปได้ว่าตอนกลางคืนจะส่งคนมาหาเรื่องพวกเรา อย่าคิดว่าฉันกำลังพูดล้อเล่นนะ ตอนที่ฉันอยู่ที่สถาบัน

ลู่ฝานยักคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ค่อยกลัวเถ้าแก่ของหอฝึกสัตว์เท่าไร ถึงแม้ฝั่งตรงข้ามจะมีพลังระดับถึงแดนปราณนอก

ลู่ฝานสนใจเรื่องในสถาบันสอนวิชาบู๊มากกว่า เลยพูดว่า “สถาบันสอนวิชาบู๊มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือนี่?”

ลู่หมิงยิ้มพูดเบาๆ ว่า “มีแน่นอน ไปถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง ที่นั่นมันเป็นสถานที่ที่คนกินคน บีบบังคับให้คนรีบเติบโต ไม่อย่างนั้นก็จะถูกคัดทิ้งออกไป”

ลู่ฝานพูด “อ๋อ เล่าเรื่องของสถาบันสอนวิชาบู๊ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม? จะได้ทำใจไว้ก่อน”

ก่อนอื่นเลย ฉันจะบอกให้นะ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้เป็นที่อย่างที่นายคิด ไม่ได้เป็นสถาบันธรรมดาๆ มันแบ่งย่อยเป็น9คณะ เหมือน9สำนัก แต่ละคณะก็จะสอนไม่เหมือนกัน และในแต่ละคณะก็มีจะพลังที่สูงต่ำต่างกัน พอนายไปถึงสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว อันดับแรกก็จะทำการประลองเพื่อแบ่งระดับของนักเรียนใหม่ นักเรียนที่มีผลงานดี ก็จะถูกส่งไปคณะที่ดีหน่อย

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ สำหรับเรื่องคณะนั้น เขารู้ว่าอาจารย์อยากให้เขาเข้าไปยังคณะหนึ่งเดียวให้ได้ เรื่องอื่นๆเขาไม่รู้เลย ส่วนเรื่องการประลองแบ่งระดับคะแนนนั้น ก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน

ลู่ฝานถามออกมาว่า “ในคณะทั้งเก้าคณะที่แข็งแกร่งที่สุดคืออันไหน?”

ลู่หมิงยิ้มพูดว่า “หัวสูงไม่เบาเหมือนกันนะ คณะที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือคณะหยินหยาง ปีก่อนรับนักเรียนใหม่ไป30คน ปีนี้ก็คาดว่าจะจำนวนเท่านี้เหมือนกัน ถ้าอยากเข้าไปล่ะก็ ในการประลองก็พยายามให้ติดอยู่30อันดับแรกก็พอแล้ว”

ลู่ฝานก็ส่งเสียงว่าเข้าใจ คณะที่แข็งแกร่งที่สุดกลับไม่ใช่คณะหนึ่งเดียวที่อาจารย์บอกไว้ ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ

ลู่ฝานถามต่อไปว่า “แล้วลำดับที่สองกับสามล่ะ? บอกฉันมาทั้ง9ระดับเลยก็ได้”

ลู่หมิงพูดว่า “คณะที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองก็คือ คณะกระบี่ รับนักเรียนที่มีใจคิดจะฝึกกระบี่ ก็เหมาะกับนายเหมือนกันนะ”

พอพูดถึงตรงนี้ ลู่หมิงก็มองกระบี่ด้านหลังของลู่ฝาน

“อันดับที่สาม ก็คือคณะบังเหิน ฝึกวิชากายเป็นหลัก อันดับที่สี่คือคณะกำแหง ฝึกร่างเยอะหน่อย อันดับห้าคือคณะฟ้าร้อง ไม่มีอะไรพิเศษ แต่วิชาฟ้าร้องเทพคุมร้ายกาจมาก อันดับที่หกคือคณะศิงขร วิชาฝึกฝนเคล็ดบู๊ก็ธรรมดาๆ ตั้งมีข้อดีตรงที่มั่นคงและสมดุล อันดับที่เจ็ดคือคณะนานา ฝึกทุกวิชา อาวุธอะไรก็มีหมด อันดับที่แปดคือคณะสงบใจ คนที่เรียนอยู่ในนี้ ล้วนเป็นคนไม่ค่อยชอบต่อสู้ ไม่ค่อยอยากจะชนะ คบค้าสมาคมกับคนที่อื่นน้อยมาก อันดับที่เก้าก็คือคณะหนึ่งเดียว สถาบันนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันว่ามีอะไรพิเศษ รู้อย่างเดียวคือ ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในเก้าคณะเหมือนกัน แต่มีลูกศิษย์น้อยมาก ได้ยินมาว่ามีแค่3-5คนเอง”

ลู่ฝานตกใจ 3-5คนงั้นหรือ? อยู่อันดับสุดท้ายอีก คณะหนึ่งเดียวทำไมถึงเป็นแบบนี้

อาจารย์คงจะไม่ได้ตั้งใจแกล้งเขาหรอกนะ?