เล่มที่ 5 บทที่ 143 แม่หนูนี่ใจกว้างเสียจริง

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวจื่อเซวียนก็หันมองเซี่ยยวี่หลัว แววตาเต็มไปด้วยประกายประหลาดใจ

จริงด้วย เมื่อก่อนบิดามารดาของเขาก็นอนห้องเดียวกัน นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน!

แต่ก่อนเพราะพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ชอบพี่ใหญ่ บอกว่าพี่ใหญ่สกปรก จึงไม่อยู่กับพี่ใหญ่ แต่เวลานี้ พี่สะใภ้ใหญ่กลายเป็นคนดีแล้ว ทั้งยังไม่รังเกียจพี่ใหญ่ ไม่อย่างนั้น คงไม่ตัดเสื้อให้พี่ใหญ่ ไม่ปลูกเรือนหลังใหม่ให้พี่ใหญ่

ในเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่ไม่รังเกียจพี่ใหญ่แล้ว เหตุใดถึงไม่อยู่ห้องเดียวกับพี่ใหญ่เล่า?

“แค่กแค่ก…” เซี่ยยวี่หลัวได้ฟังแล้วแทบสำลัก นอนกับท่านราชบัณฑิตน้อย?

เซี่ยยวี่หลัวในนิยายไม่เคยมีอะไรเกินเลยกับท่านราชบัณฑิตน้อยนี่นา!

หากนางเอกรู้เข้าว่านางได้ครองกายท่านราชบัณฑิตน้อย คงฉีกนางเป็นชิ้นๆ ไม่ใช่หรือ?

เพื่อชีวิตอันสงบสุขและปลอดภัยในภายภาคหน้า เซี่ยยวี่หลัวไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย รักษาระยะห่างกับเซียวยวี่เท่าที่จำเป็นจะดีกว่า!

“คือ พี่ใหญ่ของเจ้าต้องอ่านตำรา ข้ากลัวว่าข้าเป็นคนไม่ละเอียด ซุ่มซ่ามไม่รู้หนักเบา อาจรบกวนพี่ใหญ่ของเจ้าอ่านตำราไม่ใช่หรือ? ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน กล่าวจบ ก็ทำทีว่าต้องไปแล้ว วาจาของเด็กสองคนนี้เฉียบคมเกินไป นางไม่รู้เลยว่าควรตอบอย่างไร

มิสู้ใช้หนึ่งในสามสิบหกกลยุทธ์ การหนีเป็นยอดกลยุทธ์

“เช่นนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ หากพี่ใหญ่ไม่ถือสาที่ท่านรบกวน ท่านก็จะนอนกับพี่ใหญ่ใช่หรือไม่? “

เซี่ยยวี่หลัวเกือบสะดุดธรณีประตู

เซียวหมิงจูออกจากหมู่บ้านสกุลเซียว ก็มุ่งตรงไปยังเมืองโยวหลัน

นางมาในตัวเมืองเป็นประจำ ย่อมรู้ว่าในตัวเมืองมีซินแส*หญิงท่านหนึ่ง มีความสามารถทำนายทายทัก ขอเพียงนางได้มองเพียงครั้งเดียว ก็สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นมนุษย์หรือภูตผี ทั้งยังสามารถบันดาลโชคดีหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้าย มีคนจำนวนไม่น้อยบอกว่านางเป็นกึ่งเซียน เก่งกาจยิ่งนัก

ซินแสท่านนี้แซ่สวี่ ผู้คนต่างเรียกนางว่าซินแสสวี่ด้วยความเคารพ

เพราะคนผู้นี้เรียกค่าทำนายสูง คนธรรมดาที่ไม่ได้มั่งมีต่างไม่มาที่นี่ คนที่สามารถมาได้ล้วนแต่เป็นผู้มั่งมีหรือสูงศักดิ์ทั้งสิ้น

แต่หากคนเหล่านี้ไม่มา ที่นี่ก็จะดูค่อนข้างเงียบเหงา

อย่างไรเสีย คนที่ฐานะทางบ้านยากจนข้นแค้น แม้แต่ข้าวยังกินไม่อิ่ม ใครจะว่างไม่มีอะไรทำ ไปคิดเรื่องอนาคตที่เลื่อนลอยเหล่านั้นกัน

เซียวหมิงจูมาถึงหน้าบ้านซินแส บีบกระเป๋าเงินของตัวเองทีหนึ่ง ในนั้นเป็นเงินเก็บทั้งหมดของนาง

นางบีบกระเป๋าเงิน ก่อนก้าวเข้าไปในเรือนอย่างแน่วแน่

เช้าวันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สว่าง เซี่ยยวี่หลัวก็ลุกขึ้นแล้ว นางตื่นแต่เช้า ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็หุงข้าวสารหม้อใหญ่ แน่นอนว่า เพื่อไม่ให้ผู้อื่นนึกสงสัย ในนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ข้าวสาร นางเติมข้าวกล้องลงไปไม่น้อย

ปกติชาวบ้านทั่วไป จะใช้ข้าวเช่นนี้มารับรองแขก ล้วนเป็นอาหารแห้ง แขกกินได้อิ่มท้อง นอกจากนั้น คุณภาพไม่ต่ำหรือสูงเกินไป กำลังพอเหมาะ

เซี่ยยวี่หลัวหุงข้าวเสร็จ จึงไปสวนหลังบ้านจับปลามาหกตัว ล้วนแต่เป็นปลาตัวใหญ่ หลังจากล้างกระทะเหล็กจนสะอาด ก็จุดฟืนอุ่นกระทะ เทน้ำมัน หลังจากน้ำมันเดือดแล้ว ก็เจียวกระเทียมและขิงที่หั่นไว้แล้วจนได้กลิ่นหอม แล้วจึงเทปลาทั้งหกตัวลงกระทะเพื่อทอด ทอดเสร็จด้านหนึ่งจึงพลิกกลับด้าน เมื่อทอดทั้งสองด้านเสร็จแล้ว เซี่ยยวี่หลัวตักน้ำร้อนที่ต้มจนเดือดจากหม้อแขวน เทน้ำจนท่วมตัวปลา แล้วจึงปิดฝา

หลังจากต้มด้วยไฟแรงจนเดือด จึงเคี่ยวด้วยไฟอ่อน

นางหยิบหน่อไม้ที่ดองไว้ออกมาชามใหญ่ วางไว้ข้างๆ

น้ำแกงปลาหนึ่งที่ เนื้อหมูตุ๋นน้ำแดงหนึ่งที่ หน่อไม้ดองหนึ่งที่ บวกกับข้าวหุง คนที่มาทำงาน ได้กินอาหารเหล่านี้ ถือว่าดีมากแล้ว

เซียวจื่อเซวียนหาบน้ำมาหลายถัง เติมโอ่งน้ำในบ้านจนเต็ม

เซียวจื่อเมิ่งให้อาหารกระต่ายเสร็จ จึงวางกรงกระต่ายไว้ในสวนหลังบ้าน วางไว้ใต้ต้นกุหลาบเลื้อยในสวนหลังบ้าน เช่นนี้ก็จะไม่มีใครเห็น

หลังจากทำงานทั้งหมดจนเสร็จแล้ว ท่านลุงสี่ก็ส่งเนื้อหมูมาให้

“จื่อเซวียน จื่อเมิ่ง…” เสียงของท่านลุงสี่ที่ฟังดูมีพลังเต็มเปี่ยมดังขึ้นจากด้านนอก

เซี่ยยวี่หลัวรีบวิ่งไปเปิดประตู เอ่ยเรียกท่านลุงสี่อย่างเป็นกันเอง

ท่านลุงสี่คิดไม่ถึงว่าคนที่มาเปิดประตูจะเป็นเซี่ยยวี่หลัว จึงตกใจสะดุ้ง เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าแม่หนูผู้นี้ ภายในใจก็เต็มไปด้วยความยินดี

เหมือนว่าทุกครั้งที่เขาพบแม่หนูนี่ นางจะยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่รู้ว่ามีเรื่องน่าดีใจอะไร

“เนื้อหมูที่เจ้าต้องการข้าซื้อกลับมาให้เจ้าแล้ว ทั้งหมดเจ็ดจิน จินละสิบสองอีแปะ เป็นแปดสิบสี่อีแปะ เถ้าแก่ผู้นั้นคิดให้ข้าเพียงแปดสิบอีแปะ ครั้งก่อนเจ้าให้เงินข้ามาหนึ่งร้อยยี่สิบอีแปะ นี่คือเงินที่เหลือ มา เจ้ารับไว้! ” กล่าวจบ ก็คืนให้เซี่ยยวี่หลัวทั้งหมด

เช่นนั้นก็เป็นสี่สิบอีแปะ

เซี่ยยวี่หลัวหิ้วเนื้อหมูไม่ได้รับเงินคืน “ท่านลุงสี่ ท่านเก็บค่าแรงหรือยังเจ้าคะ? ”

“เก็บแล้วเก็บแล้ว” ท่านลุงสี่หยิบเงินสองอีแปะจากฝ่ามือ

เซี่ยยวี่หลัวรีบกล่าว “เช่นนั้นไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านลุงสี่ ท่านต้องเข้าตัวเมืองเพื่อเรื่องของข้าโดยเฉพาะ วัวที่บ้านก็เหนื่อย ท่านเองก็เหนื่อย เงินสองอีแปะนี่ยังไม่พอให้ท่านซื้อสุราดื่มด้วยซ้ำ” เซี่ยยวี่หลัวหยิบเงินสามอีแปะจากมือเขา ยื่นส่งให้ท่านลุงสี่ “มา ท่านรับไว้เถอะเจ้าค่ะ! ”

กล่าวจบ ไม่รอให้ท่านลุงสี่กล่าวอะไร นางก็หยิบเงินที่เหลือ และหิ้วเนื้อหมูเข้าไปทำงานต่อแล้ว “ท่านลุงสี่ ข้าจะไม่รั้งท่านแล้วนะเจ้าคะ ในบ้านยังมีธุระอีก”

มองดูเงินห้าอีแปะในฝ่ามือ ท่านลุงสี่ผงะไปเล็กน้อย

ภรรยาเซียวยวี่ กลายเป็นคนใจกว้างถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

แต่แม่หนูนี่ วางตัวได้ดีจริงๆ ภายในใจท่านลุงสี่รู้สึกสบายใจยิ่งนัก ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ไม่เสียแรงที่เขาต้องลำบากไปในตัวเมือง

รับเงินแล้ว ไพล่มือไว้ด้านหลัง ฮัมเพลงระหว่างเดินกลับบ้าน

ท่านป้าสี่เห็นเขากลับมาเร็วถึงเพียงนี้ จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “วันนี้ทำไมถึงกลับมาเร็วถึงเพียงนี้? “

ท่านลุงสี่กล่าว “วันนี้ข้าซื้อของเพียงอย่างเดียว จึงกลับมาเร็ว”

ท่านป้าสี่ “ต้องมีรายการซื้อของหลายอย่างเจ้าถึงจะไปในตัวเมืองไม่ใช่หรือ? ต้องไปกลับเที่ยวหนึ่งไม่คุ้มกันเลย วัวบ้านเราก็จะเหนื่อย”

ท่านลุงสี่ยิ้มพร้อมกล่าว “ไม่ได้ไม่คุ้ม ซื้อของสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว ก็ได้เงินเท่ากับที่ปกติข้าซื้อของหลายอย่าง”

หากซื้อหลายอย่าง ก็ต้องใช้เวลามากขึ้น เวลานี้ น่าจะยังต้องหาซื้อของอยู่ในตัวเมือง! ไม่เหมือนครั้งนี้ ได้พักอยู่ที่บ้านแล้ว

ท่านป้าสี่รู้สึกประหลาดใจ “เจ้าซื้อของให้ใคร? ใจกว้างถึงเพียงนี้เชียว? “

“ซื้อเนื้อหมูเจ็ดจินให้ภรรยาเซียวยวี่”

“เนื้อหมูเจ็ดจิน? ” ท่านป้าสี่เอ่ยถามด้วยความตกใจ “นางซื้อเนื้อหมูมากขนาดนั้นไปทำอะไร? “

ท่านลุงสี่ “นางจะปลูกเรือนหลังใหม่ วันนี้จะเลี้ยงอาหารเริ่มงานให้กับเหล่าช่างสร้างบ้าน! “

“ปลูกเรือนหลังใหม่? ” ท่านป้าสี่อ้าปากตาค้าง “นางเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว เซียวยวี่ก็ไม่อยู่ที่บ้าน นางจะปลูกเรือนไปทำไม? นางจะทำไหวหรือ? “

ท่านลุงสี่ไม่คิดดูแคลนเซี่ยยวี่หลัว เวลานี้นางปฏิบัติตัวและเอื้อนเอ่ยวาจาได้อย่างเหมาะสมไร้ที่ติ พูดจาดีจนอีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ นอกจากนั้น ยังให้เงินอย่างใจกว้าง จะทำไม่ไหวได้อย่างไร

“ข้าคิดว่าน่าจะทำไหว! ” ท่านลุงสี่กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ

เชิงอรรถ

*ซินแส คือคำเรียกผู้มีความรู้ความสามารถเช่น หมอรักษา หมอดู หรืออาจารย์