ตอนที่ 215 ข่าวซุบซิบต่าง ๆ นานา

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 215 ข่าวซุบซิบต่าง ๆ นานา

อันโหรวที่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างของคนขับ นิ้วมือที่ขาวผ่องของเธอค่อย ๆ เลื่อนไปที่หน้าจอโทรศัพท์อย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อที่จะดูข่าวซุบซิบต่าง ๆ นานาอย่างรวดเร็ว

เหมือนเห็นด้วยตาตัวเองว่าจิ่งเป่ยเฉินสั่งให้หมินลี่ขับรถไปชนรถฮั่วตงยังไงยังงั้น

“ประธานจิ่ง คุณไม่ไปเยี่ยมหมินลี่เหรอคะ?” เขาอยู่โรงพยาบาลคนเดียว นักข่าวอาจจะแกล้งปลอมตัวเป็นคุณหมอหรือพยาบาลไปสัมภาษณ์เขาด้วยหรือเปล่า?

จิ่งเป่ยเฉินจับพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้างและมองไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะมองมา ก่อนจะพูดว่า “ไม่จำเป็น”

“แล้วคุณรู้ไหมคะว่าข่าวรั่วไหลออกไปได้ยังไงกัน?” ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าสนใจประเด็นนี้อยู่ด้วย

ข่าวน่าจะถูกปิดตั้งแต่เมื่อคืน แต่กลับยังรั่วไหลออกมาได้แบบนี้ ต้องมีช่องโหว่บางอย่างที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน

เขามองไปที่ไฟเขียวที่กะพริบอยู่ด้านหน้า ก่อนจะชะลอความเร็วลงและพูดขึ้น “มีพยาบาลคนหนึ่งในโรงพยาบาลเป็นหนี้อยู่ ข่าวฮั่วตงร้อนแรงแบบนี้ขายข่าวไปก็ต้องได้เงินมาไม่ใช่น้อย ๆ รู้สึกจะขายไปสักหนึ่งแสนหยวนมั้ง”

ข่าวแบบนี้ถึงขายออกไปแล้ว แต่ก็ได้แค่เขียนรายงานข่าวเพียงเรื่องรถฮั่วตงชนกับรถของหมินลี่ และก็เกี่ยวข้องกับจิ่งเป่ยเฉินที่มีส่วนร่วมมาตั้งแต่แรก

เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างล้วนมุ่งเป้ามาที่จิ่งเป่ยเฉิน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมินลี่ด้วยซ้ำ

ทันทีที่รถหยุดตรงหน้าไฟแดง เธอก็หันหน้าไปมองเขาและค่อย ๆ พูดว่า “เป็นโอวหยางลี่งั้นเหรอ?”

เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ฉลาดมาก”

“ฉันคิดว่านายฉลาดมากกว่า นี่ยังไม่ถึงสองชั่วโมงเลย นายรู้ไวขนาดนี้ ดูไม่มีความท้าทายเลยสักนิดเดียว”เธอหันไปมองทางด้านหน้า ทันทีที่รถเคลื่อนตัววิวทิวทัศน์ด้านข้างก็เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว

“ฉีเซิงเทียนจัดการอะไรดูไม่น่าเชื่อถือ ชักช้าแบบนี้อาจจะไม่ทัน” เขาให้ปิดข่าวก่อนหน้านี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ ต้องมีพวกเขาเป็นผู้นำ

ตอนนี้สถานการณ์พวกนี้ก็ให้ฉีเซิงเทียนไปจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยก็พอ

เธอเม้มปากไม่พูดไม่จา ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ นั่นหมายความว่าจะได้หยุดพักผ่อนที่บ้านแล้ว

แล้วทางด้านจิ่งเป่ยเฉิน?

จะอยู่ด้วยกันตอนสุดสัปดาห์อีกไหม?

เธอส่ายหน้าไปมาอย่างเย็นชา อยู่ด้วยกันสองวันสองคืนแบบนี้ มองยังไงก็อาจจะเกิดปัญหาเอาได้

หยางหยางคงอดทนไว้ไม่ได้แน่ ๆ!

 

เมื่อขับรถตามทางมาระยะหนึ่งแล้ว เธอก็ค่อย ๆ เอ่ยปากพูดไปว่า “ประธานจิ่ง คุณเคยคิดบ้างไหมว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะมาถึงคุณจะกลับไปที่บ้าน?”

“แล้วฉันไม่ได้อยู่ในระหว่างขับรถกลับบ้านเหรอ?” เขารีบพูดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเร่งความเร็วในการขับรถ

เธอไม่ได้หมายความว่าจะให้กลับบ้านเร็ว ๆ แบบนี้!

ช่างเถอะ ถ้าหากมันปลอดภัยแล้วละก็ ไม่มีอะไรที่เธอรับมันไม่ได้หรอก

เมื่อทั้งสองคนลงจากรถ ประตูอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ก็ได้ถูกเปิดออก เสี่ยวหยางที่อยู่ด้านในกำลังเดินออกมา

 

“ประธานจิ่ง วันนี้ที่งานแถลงข่าว พวกเราที่อยู่ที่บ้านก็ได้เห็นเหมือนกันครับ คุณชายน้อยพูดแค่สองคำเอง” เสี่ยวหยางเปรียบเทียบมือและกรรไกรขึ้น

อันโหรวยืนอยู่ข้าง ๆ มองเขาด้วยความสนใจ ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมวันนี้ถึงได้ขับรถเร็วกว่าเดิม ที่แท้ก็มีคนมาฟ้องนี่เอง

เพียงแต่เธอเองก็อยากจะรู้แล้วสิว่าหยางหยางพูดอะไรบ้าง

จิ่งเป่ยเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อไป

“เกียจคร้านจนครอบครัวล่มจม”

เสี่ยวหยางชี้ไปยังรถที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ประธานจิ่ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมพูดจริง ๆ นะ เป็นคุณชายน้อยพูดจริง ๆ ผมเลิกงานก่อนนะครับ!”

อันโหรวมองดูเสี่ยวหยางที่รีบวิ่งหนีไป ก่อนจะหันไปมองใบหน้าของจิ่งเป่ยเฉินที่ตอนนี้ช่างดูน่าเกลียดเสียจริง ๆ

เธอไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป เพียงแต่จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกดึงเอาไว้ ดูเหมือนเธอจะเหลือบเห็นเขายิ้มเมื่อครู่นี้ด้วย

เมื่อครู่ใบหน้านั้นดูมืดครึ้ม แต่ตอนนี้กลับปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา มองดูแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามีความสุขมาก

 

“นายรู้สึกเคืองอย่างนั้นเหรอ?”

เขาดึงเธอมาโอบกอดก่อนจะเดินเคียงข้างกันเข้าไป ปากของเขาเอ่ยตอบเธอด้วยรอยยิ้มว่า “โหรวโหรว พวกเราเป็นครอบครัวอัจฉริยะที่ล่มจม ”

เธอยิ้มอย่างอึดอัดออกไป “เหอะ เหอะ……”

ดูก็รู้ว่าเขาเคืองมากแค่ไหน!

เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว หยางหยางกับหน่วนหน่วนกลับไม่อยู่ น่าจะอยู่ที่ชั้นบนแทน ปกติเธอมักจะคุ้นเคยกับการทักทายพวกเขาก่อนและค่อยขึ้นไปข้างบน

จิ่งเป่ยเฉินต้องเดินตามเข้าไปแน่ ๆ พอขึ้นไปข้างบนอันโหรวก็เห็นหน่วนหน่วนกำลังวาดรูปอยู่ ชุดเจ้าหญิงสีขาวเปื้อนไปด้วยสีที่วาดไม่ใช่น้อย ๆ ดูแล้วตอนนี้คล้ายกับตุ๊กตาที่มีสีประดับมากกว่าห้าสีเชียว

ทางด้านหยางหยางก็หยิบหนังสือมาอ่านอยู่ข้าง ๆ เธอ

“แม่จ๋า! พ่อจ๋า!” หน่วนหน่วนเดินตรงมาหาพวกเขาด้วยเท้าเปล่า หยางหยางที่อ่านหนังสืออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา นี่ถือว่าเป็นคำทักทายของเขาแล้ว

อันโหรวมองไปยังหน่วนหน่วนที่วิ่งเข้ามาหา ก่อนจะยื่นมือเข้าไปอุ้ม แต่จิ่งเป่ยเฉินก็ได้เดินไปข้างหน้าเธอและโอบเธอไว้แทน ทั้งยังย่อตัวลงรับชุดที่เปื้อนของหน่วนหน่วนเข้าไปเต็ม ๆ

“พ่อจ๋า!” ร่างเล็ก ๆ ของหน่วนหน่วนได้ล้มลงบนตัวของเขา มือเล็ก ๆ ที่เปื้อนไปด้วยสีระบายก็เปรอะเปื้อนบนชุดสูทราคาแพงของเขาทันที ชุดสูทพวกนั้นมีร่องรอยประทับสีสันอยู่เต็มไปหมด

“หน่วนหน่วนวันนี้สนุกหรือเปล่าคะ?” จิ่งเป่ยเฉินมองเธอด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปล่อยให้มือเล็ก ๆ ของเธอ ‘วาดรูป’ บนตัวเขาแทน

“สนุกมาก คุณลุงเสี่ยวหยางกับพี่ชายอยู่กับหนู” หน่วนหน่วนแผ่มือน้อย ๆ ของเธอออกมาดู “อา สกปรกจัง”

อันโหรวที่มองอยู่ด้านข้างก็พลันรู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาออกมา

บิ๊กบอส นายคงไม่คิดว่าฉันจะซาบซึ้งใจที่เอาตัวเองไปแทนที่ฉันหรอกใช่ไหม

ช่างเถอะ ในฐานะที่เป็นผู้ชายที่เกียจคร้านจนครอบครัวล่มจมนั้น ก็แค่เสื้อผ้าชุดเดียวคงไม่ถือสาอะไรหรอก

“พวกคุณเล่นสนุก ๆ ไปก่อนละกัน เดี๋ยวฉันจะไปทำอาหาร” เธอทนมองดูฉากพวกนี้ต่อไปไม่ไหว เพราะเหตุการณ์พวกนี้เธอเองก็เคยพบเจอมาอยู่หลายครั้งหลายคราเหมือนกัน

สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช อีกทั้งยังต้องมาเก็บกวาดไปมาเสียจนยุ่งเหยิงอีก

ในขณะที่เธอเดินลงไปด้านล่างนั้น เธอก็นึกขึ้นได้ว่าควรให้จิ่งเป่ยเฉินได้พบเจอเหตุการณ์พวกนี้ด้วย ที่ที่เด็ก ๆ สามารถสร้างความวุ่นวายได้นั้นเป็นอะไรที่จัดการได้ยากที่สุดแล้ว

เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากดังมาจากชั้นบน แม้แต่อันโหรวที่อยู่ห้องครัวก็ยังได้ยิน โดยเฉพาะเสียงของหน่วนหน่วนนั้นดังมากที่สุด ดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะเข้ากันได้ดีนะ

เมื่อทำอาหารเย็นเสร็จก็ได้ขึ้นไปเรียกพวกเขาให้ลงมากินข้าว แต่เธอก็ไม่อาจยิ้มออกมาได้

เนื่องจากตอนนี้ชุดสูทสีดำของจิ่งเป่ยเฉินถูกแปรสภาพจนไม่อาจจะพูดได้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่อยู่ข้างในก็กลายเป็นสีเขียว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเองก็มีร่องรอยของมือน้อย ๆ แปะไปทั่ว

เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะเดินไปข้างหน้าจิ่งเป่ยเฉินที่คล้ายกับนายแบบ เมื่อมองดูใบหน้าที่ชัดเจนของเขาแล้วนั้น เธอก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

เธอรีบคว้าโทรศัพท์ของเธอออกมาเพื่อถ่ายรูปทันที “ขอถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยนะ”

“เธอกล้าเหรอ!” จิ่งเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องมองก็รู้แล้วว่าท่าทางของเขานั้นตลกมากแค่ไหนกัน

ก่อนหน้านั้นเด็กผู้หญิงที่หัวเราะเอิ้กอ้ากเอามือน้อย ๆ มาประทับไปทั่ว พอเห็นแบบนี้ก็ยังพอทนได้ แต่นี่จะถ่ายรูปเก็บไว้เลยเหรอ

จิ่งเป่ยเฉินที่นั่งอยู่บนเสื่อของเด็กที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความสนุกสนาน หน่วนหน่วนยกมือน้อย ๆ ขึ้นมาแปะเขาตรงโน้นตรงนี้ จนสุดท้ายก็ได้มายืนอยู่ข้าง ๆ กายเขาและพูดด้วยน้ำเสียงหวานหูว่า “พ่อจ๋าถ่ายรูป! น่ารักที่สุดเลย!”

น่ารัก?

เขาเป็นเพียงผู้ชายเอาอะไรมาน่ารัก?

“พ่อจ๋าน่ารักจริง ๆ นะ พ่อจ๋าคิดว่าหน่วนหน่วนวาดรูปไม่ดีงั้นเหรอ?” ดวงตาสีฟ้ากลมโตของเธอมองไปที่เขา พร้อมเบ้ปากใส่ ดูน่าสงสารที่สุด

จิ่งเป่ยเฉินใจอ่อนก่อนจะพยักหน้า

อันโหรวฉวยโอกาสนี้ถ่ายรูปพวกเขา เธอพอใจกับขั้นตอนการถ่ายภาพนี้มาก ๆ หน่วนหน่วนยังคงขยับไปตรงไหล่ของเขาแล้วถ่ายรูปเขาอย่างต่อเนื่อง เธอรัวกดชัตเตอร์ไว้หลายภาพ

เธอมองรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถืออย่างพึงพอใจ หน่วนหน่วนเองก็ร้องตะโกนขอดูภาพเหล่านั้น จิ่งเป่ยเฉินลุกขึ้นมาจากพรม ทั้งคู่เหมือนกำลังกลิ้งอยู่ในถังย้อมสียังไงยังนั้น แม้แต่หยางหยางที่มองอยู่ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เธอให้หน่วนหน่วนดูเพียงรูปเดียวเท่านั้นก็ดึงกลับไป “หน่วนหน่วนคะ เดี๋ยวแม่จ๋าพาหนูไปล้างมือก่อน แล้วไปกินข้าวกัน”

เธอรู้สึกว่ามีร่างใหญ่โผล่มาด้านหลังของเธอ จึงหันไปมองและเอ่ยว่า “ส่วนนายไปล้างเอง”

“ลูกต้องสำคัญกว่าสามีสินะ”เมื่อเขาพูดจบก็หยิบเสื้อสูทที่ไม่น่าดูขึ้นมาสวม ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กนั้นมีมากมาย อย่างน้อยสีสันก็ดูสดใส