ตอนที่ 216 ฉันเองก็ช่วยนายได้เหมือนกัน
ฝีเท้าเธอหยุดชะงักลงและกลับมาเดินปกติ “ถ้านายโตแบบหน่วนหน่วน ฉันก็ช่วยนายได้เหมือนกัน”
เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เรื่องนี้ยังต้องให้ช่วยอยู่อีกเหรอ? ไม่จำเป็นเลยสักนิด
เธอพาหน่วนหน่วนลงไปล้างมือด้านล่าง ส่วนจิ่งเป่ยเฉินก็ตรงไปที่ห้องของเธอ พวกเขานั่งรออยู่ที่โต๊ะนานแล้ว แต่เขากลับยังไม่ออกมาสักที
หน่วนหน่วนมองอาหารที่อยู่ด้านหน้าพลางเลียปาก “แม่จ๋า หนูหิวแล้ว!”
“ลูก ๆ กินก่อนเลย เดี๋ยวแม่จ๋าเข้าไปดู” เธอไม่รอให้เด็ก ๆ หิวจนท้องร้อง แต่เธอเคยสอนไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าให้รอพร้อมหน้าพร้อมตาก่อนถึงสามารถกินได้
จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลคงไม่ถือสาหรอกมั้ง?
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรารอได้ค่ะ” หน่วนหน่วนเท้าคางและมองไปที่ห้องนอนของแม่จ๋า
อันโหรวเดินไปที่ห้องนอนของเธอด้วยความโมโห ผลักประตูเข้าไปอย่างไม่สบอารมณ์ เธอมองไปที่แผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของเขา
เธอรีบหันหลังกลับออกมา พลางพูดกับเขาว่า “นายทำอะไรเนี่ย แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าต้องนานขนาดนี้เลยเหรอ?”
จิ่งเป่ยเฉินหันหน้ามามองเธอพร้อมใส่เสื้ออย่างไม่รีบร้อน “เธอจะอายอะไร ทำอย่างกับไม่เคยเห็น”
เธอแทบอยากจะเอาหัวทุบเข้ากำแพง เธอเคยเห็น แต่เวลานี้เป็นเวลากินข้าว ไม่ใช่เวลามาเปิดเผยเนื้อหนัง
ทันทีที่เธอได้ยินเสียงเขาแต่งตัวอยู่ด้านหลัง เธอรีบบิดลูกบิดประตูด้วยมือหนึ่งข้าง พลางเอ่ยว่า “รีบแต่งตัวเร็วเข้า หยางหยางกับหน่วนหน่วนหิวแล้ว ต้องกินข้าว นายเป็นพ่อไม่คิดว่าลูกจะหิวหรือไง แย่จริง ๆ!”
ทันทีที่เสียงของเธอลดลงก็มีเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ไม่แน่ใจว่าเขานั้นแต่งตัวเสร็จหรือยัง เธอเองก็ไม่ได้รีบเปิดประตูทันที
กระทั่งเธอได้ยินน้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาว่า “ขอโทษด้วย”
จมูกของเธอได้กลิ่นครีมอาบน้ำจาง ๆ ลอยมา ที่แท้ก็อาบน้ำมานี่เองถึงได้นานแบบนี้
“ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ” เธอหันไปมองเขา ร่างสูงใหญ่ในชุดนอนสีเทา ผมสีดำที่้เปียกชื้น ดูเหมือนเป็นบ้านของเขาจริง ๆ
“มาเถอะ มากินข้าว” เธอเปิดประตูห้องออกไป จิ่งเป่ยเฉินเองก็เดินตามเธอออกไปอย่างไม่เร่งรีบ
ทันทีที่นั่งลงเขาก็มองหยางหยางและหน่วนหน่วนด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “พ่อจ๋าขอโทษนะ ถ้าวันหลังเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ไม่ต้องรอพ่อจ๋าแล้วนะ กินข้าวให้ตรงเวลาสำคัญกว่า”
อันโหรวได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็กระซิบว่า “ทำไมไม่พูดว่าวันหลังนายจะระวังให้มากกว่านี้!”
เมื่อจิ่งเป่ยเฉินได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็เหลือบมองเธอเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน
เธอมองเขาที่ยิ้มเก้อเขินแบบนั้น ก็พลันรู้สึกตัวเองนั้นเจอหายนะอยู่ตลอด
แต่หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็อยู่ในบ้านโดยไม่ได้ลงไปด้านล่าง ในที่สุดเธอก็เข้าใจความหมายที่จิ่งเป่ยเฉินพูด
ความจริงแล้วคือไม่ต้องรอพวก……เขา
บรรยากาศความสุขระหว่างกินข้าวเย็น ทันใดนั้นจิ่งเป่ยเฉินก็วางตะเกียบในมือลง ก่อนจะโน้มตัวไปหาหยางหยางและหน่วนหน่วนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
หยางหยางเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่ระวัง ก่อนจะกินข้าวต่อ
“หยางหยาง หน่วนหน่วน พวกเราหาเวลาไปเปลี่ยนชื่อกันดีไหม?” เปลี่ยนไปใช้นามสกุลเขาทั้งบ้าน
อันโหรวที่ถือตะเกียบหยุดชะงักทันที ก่อนจะคีบซี่โครงหมูมาไว้ในชามของตัวเอง
จิ่งเป่ยเฉินนี่ล้อเล่นอีกแล้วใช่ไหม?
“จิ่งหยาง?” หยางหยางเอียงศีรษะพร้อมขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “อืม ฟังดูไม่เพราะเหมือนอันหยาง”
จิ่งเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บปวดไปที่หัวใจ รอความหวังจากหน่วนหน่วนที่ดีกับเขามาตลอด
หน่วนหน่วนเลียนแบบต่อจากพี่ชาย อ่านชื่อของตัวเองออกมา “จิ่งหน่วน? รู้สึกแปลก ๆ ฟังดูไม่เพราะเลยค่ะ”
“ชู่” อันโหรวเอียงศีรษะก่อนจะหัวเราะออกมา และเอียงศีรษะกลับไปอีกครั้ง
เธอเงยหน้ามองไปที่จิ่งเป่ยเฉินที่เหมือนกำลังบ่นพึมพำกับตัวเอง
ก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดปาก หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “จิ่งหยาง จิ่งหน่วน ฉันเองก็รู้สึกว่าไม่น่าฟังเท่าอันหยางและอันหน่วนนะ สามต่อหนึ่ง ฟังเสียงข้างมาก นายแพ้แล้ว”
จิ่งเป่ยเฉินมองเธอที่ตอนนี้เลิกคิ้วล้อเลียนเขา ถูกลูก ๆ ทำร้ายจิตใจในชั่วพริบตาช่างเป็นความอิ่มเอมใจเลยเกิน “อืม ตามใจเธอ”
เธอเงยหน้าขึ้นมอง ทำไมเชื่อง่ายจัง?
“ทำไม ถ้ารู้สึกซาบซึ้งละก็ มาหอมฉันก่อนสิ ฉันจะได้มีความสุขกว่านี้” เขายื่นแก้มเข้าไปหาเธอ
เธอยื่นมือไปตีที่แก้มของเขา “กินข้าวของนายไปเถอะ กินเสร็จแล้วขึ้นไปเก็บกวาดห้อง”
“จ้างพี่เลี้ยงหรือเด็กพาร์ตไทม์ไม่ได้เหรอ?” ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่เคยทำความสะอาดเองเลย จะพูดว่านี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกเลยก็ว่าได้
ในความประทับใจของเขา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้น่าสนใจสักเท่าไร ไม่มีพื้นฐานแม้แต่การย้อมสี
เธอเกี่ยวนิ้วของเธอ เขารีบตกลงทันที ดังนั้นให้จูบเขาเป็นการขอบคุณหนึ่งทีถือว่าเหมาะสม
แต่ว่าเธอโน้มตัวไปใกล้หูเขาและพูดเบา ๆ ว่า “บททดสอบของนายมาถึงแล้ว สู้เขา ฉันจะคอยสนับสนุนนายเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็ก้มหน้าลงไปใกล้ใบหูเธอและกระซิบเบา ๆ ว่า “ฉันต้องการการสนับสนุนจากการกระทำ”
“ไม่” เธอขยับกลับไปที่เดิม หยิบตะเกียบขึ้นมาพลางมองไปที่ลูก ๆ ของเธอ “หยางหยาง หน่วนหน่วน ระหว่างรอแม่จ๋าล้างชามเสร็จ หนูขึ้นไปช่วยพ่อจ๋าทำความสะอาดดีไหมคะ?”
“ได้ค่ะ” หน่วนหน่วนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม หยางหยางก็พยักหน้าตอบ
สามต่อหนึ่ง เธอชนะอีกครั้ง
มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเอาชนะเขาภายในบ้านหลังนี้
เมื่อจิ่งเป่ยเฉินนึกถึงความยุ่งเหยิงที่ชั้นบน ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหน บนพื้นเต็มไปด้วยของเล่น
หลังจากนี้ต้องให้เสี่ยวหยางเก็บกวาดให้สะอาดก่อนถึงจะกลับได้
ทันทีที่กินข้าวเสร็จ ทั้งสี่คนก็แบ่งงานและแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
ไม่นานอันโหรวก็ล้างจานเสร็จ หลังเก็บกวาดภายในห้องครัวเรียบร้อยจึงไปอาบน้ำต่อ ทันทีที่ออกมาก็ได้ยินเสียงจากด้านบน
ไม่คิดเลยว่าจะยังเก็บกวาดไม่เสร็จ?
แต่เธอก็ไม่คิดจะเข้าไปช่วยอยู่แล้ว ช่วงเวลานี้เป็นภาพลักษณ์ที่สำคัญในฐานะพ่อ เธอจึงไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ
เธอเดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างสบายใจ ก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอันเมื่อครั้งก่อน
ก่อนหน้านี้งานยุ่งมาตลอด แม้จะอ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นครั้งคราว แต่ยังไม่เคยได้เริ่มค้นหาอย่างจริงจัง
แผนการร่วมมือกับกลุ่มเครือโอวหยางกรุ๊ป เขาเองก็จงใจให้เธอไป
ดูเหมือนว่าสัปดาห์หน้าต้องไปกลุ่มเครือโอวหยางกรุ๊ปอีกครั้ง
เธอดูข่าวข้อกล่าวหาตระกูลอันที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางหัวเราะและรู้สึกไร้สาระ
โทษผูกขาดทางธุรกิจ?
ตระกูลอันเริ่มจากหยก จงรักภักดีต่อเครื่องหยก พัฒนาไปได้ดีเรียกผูกขาดงั้นเหรอ?
ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานก็เพียงตรวจหาสารรังสีพบในอัญมณีเท่านั้น ส่วนของพวกนั้นจะมาจากไหนหรือได้มาอย่างไร ก็ไม่มีข้อมูลแม้แต่นิดเดียว
การติดต่อธุรกิจพ่อค้าด้านมืดยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ พ่อของเธอไม่เคยคบค้ากับคนพวกนั้นเลยสักครั้ง ข้อกล่าวหาเหล่านั้นล้วนเป็นการใส่ร้ายป้ายสีทั้งหมด
เธอกำมือแน่น พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินมาจากนอกห้อง เธอจึงรีบปิดหน้าเว็บและเปลี่ยนเป็นหน้าเว็บการแถลงข่าวตระกูลจิ่งวันนี้ทันที
จิ่งเป่ยเฉินถือแก้วน้ำเข้ามา มองท่าทางที่ตั้งใจของเธอ ใบหน้าของเธอไม่ได้เผยสีหน้าอะไรมาก เขาวางแก้วน้ำลงตรงหน้าเธอ “ดื่มน้ำสิ”
เธอยื่นมือไปจับแก้ว พลางเหลือบมองไปที่ร่องรอยของสีย้อมผ้าบนชุดนอนที่เพิ่งเปลี่ยนได้ไม่นาน
เขาไม่ควรทำเรื่องแบบนี้เลยจริง ๆ