ตอนที่ 217 ไร้เดียงสา
“ทำไมกัน? ฉันรู้สึกว่ามันดีนะ” เขาดึงเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างมานั่งลงตรงข้ามเธอ “ไร้เดียงสามาก”
ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาแทบจะหมดแรง แต่การพาเด็กไปที่ห้างสรรพสินค้านี่สิยากกว่า
“จริงเหรอ? งั้นหลังจากนี้ส่วนนี้จะเป็นงานของนายนะ!” เธอหันไปรอบ ๆ อย่างมีความสุข ขณะดื่มน้ำเธอก็ไม่ลืมที่จะแอบชำเลืองสายตามองไปที่เขา
“พวกเราจ้างพี่เลี้ยงเด็กดีกว่านะ” ประสบการณ์ในชีวิตแบบนี้เพียงพอที่จะสัมผัสพวกมันแล้ว
“ฉันชอบที่จะพาพวกเขาไปเอง มันให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน” เธอยิ้ม ก่อนที่แก้วน้ำในมือจะเริ่มอุ่นมากขึ้น
จิ่งเป่ยเฉินจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาเธอ เขาโอบกอดเธอจากด้านข้างและก้มหน้าลงพักพิงไปที่ไหล่ “โหรวโหรว”
“อืม…….“
“อย่าแข็งแกร่งมากเกินไปหน่อยเลย” มีเขาอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ไม่จำเป็นต้องทำตัวแข็งแกร่งขนาดนั้นหรอก ไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่ข้าง ๆ เธอตรงนี้ไปเพื่ออะไร
เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงรักษาท่าทีของเธอเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยตอบเขาไปว่า “นายอย่ามาปลุกใจแบบนี้สิ ฉันยังมีงานต้องทำนะ มาเล่นด้วยกันก่อน!”
“เล่น…..เล่นอะไร?” เขาไม่ได้ขยับหนี แต่กลับขยับไปใกล้ ๆ ติ่งหูของเธอ ริมฝีปากของเขาแตะโดนหลังหูของเธออย่างแผ่วเบา
เธอเอียงศีรษะไปที่อีกด้านและพูดว่า “ยังไงซะก็ไม่ได้ให้มาเล่นฉัน”
เพราะเธอมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ
“ขอบคุณเธอที่ช่วยเตือนสตินะ” มือของเขาโอบไปยังรอบเอวของเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับอย่างช้า ๆ ราวกับว่าจะเคลื่อนผ่านไปยังชุดนอนตัวบางที่อยู่บนร่างกายของเธอ ดูแล้วช่างไหลลื่นเสียจริง ๆ
“จิ่งเป่ยเฉิน ถ้าหากว่านายยังขยับอยู่แบบนี้ ฉันจะโยนนายออกไปซะ!” เธอเริ่มเพิ่มระดับเสียง ใบหน้าที่แดงระเรื่อหันมาจับจ้องที่เขา
มือของเขาที่อยู่บนต้นขาของเธอในตอนนี้ ดูเหมือนจะหยุดนิ่งและไม่กล้าที่จะขยับไปไหน
เขาตัดสินใจที่จะไม่ขยับต่อ แต่เขาเองก็ไม่ได้เอามันออกจากตัวเธอเช่นกัน คิ้วสวยราวกับคมดาบ ดวงตาสีดำที่ดูเฉียบคมจับจ้องไปที่ตัวเธอและพูดขึ้นว่า “โหรวโหรว หยางหยางกับหน่วนหน่วนใช้แซ่เธอ ฉันก็ไม่ได้ขัดอะไรหรอก งั้นพวกเรามีลูกอีกสองคนใช้แซ่ฉันบ้างได้หรือเปล่า?”
“ไม่แล้ว!” เธอรีบปฏิเสธทันที “ไม่มีเวลา ไม่มีพลังงาน ไม่มีความคิดพวกนั้น และก็ไม่มีการวางแผนด้วย”
“ตอนนี้ก็เริ่มคิดสิ ฉันจะช่วยคิดแทนเธอเอง จะได้ตัดสินใจอย่างมีความสุข” เมื่อเธอรัวคำพูดออกมาเร็วแบบนั้น เขาเองก็เอ่ยคำพูดเร็ว ๆ ตอบกลับไปบ้างเช่นกัน
“เอาไว้ฉันหาแม่เจอก่อนค่อยมาพูดกัน! เรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลัง” เธอเกือบจะหลงคารมของเขาเสียแล้ว มัวแต่เล่นเรื่องพวกนี้อยู่ได้
“ยังหาแม่ยายไม่เจอ” ตอนนี้เขาต้องการไล่ล่าพวกคนที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด แค่คนคนเดียวก็ยังหาไม่พบ
ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ๆ
“นายช่วยปล่อย……” ก่อนที่เธอจะพูดจบก็ได้ยินเสียงกดกริ่งที่หน้าประตู
มีใครมาตอนนี้กัน?
จิ่งเป่ยเฉินจำเป็นต้องปล่อยเธอออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะยืนขึ้นและเดินไปด้านนอก “ถ้าหากเป็นหลินจือเซี๋ยวละก็ บอกเธอไปว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ!”
อันโหรวเดินผ่านเขาไปที่ด้านหน้า ก่อนจะหันกลับมามองเขาและพูดขึ้นว่า “ถ้าหากไม่ใช่เจ้าของเดิมแล้วละก็ คงเป็นคนอื่นจริง ๆ เธอจะกลับมากดกริ่งที่บ้านของเธอเองทำไมกัน?”
เขาส่ายหน้าไปมา สองสิ่งนี้ล้วนแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เธอเดินไปที่ตาแมวตรงประตูเพื่อส่องดู ก็พบว่าคนที่อยู่ด้านนอกนั้นไม่ใช่หลินจือเซี๋ยว แต่กลับเป็นถังซั่วที่ไม่ได้พบกันมานาน ดูเหมือนว่าในมือของเขานั้นจะถืออะไรบางอย่างอยู่
เธอรีบหันหลังและเดินไปหาเขาทันที ทันทีที่สายตาของเธอมองไปยังห้องรับแขกขนาดใหญ่ สุดท้ายก็หยุดอยู่ตรงหน้าเขาและพูดขึ้นว่า “นายอย่าหุนหันไปนะ! คนที่อยู่ด้านนอกคือถังซั่ว ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้ มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉันนะ!”
และอีกอย่างรถของเขาก็จอดอยู่ด้านหน้า พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแบบนี้ ถังซั่วต้องรู้แน่นอนว่านั่นเป็นรถของเขา
อืม การอยู่ร่วมกันดูท่าน่าจะถูกเปิดเผยแล้วสิ
“เธอจะรีบร้อนตัวอธิบายทำไมกัน? หรือว่าในใจเธอคิดอกุศลอยู่กันแน่?” เขาก้มมองไปที่ตัวเธอ ชุดนอนที่เปิดไหล่อยู่แบบนั้น อีกทั้งใบหน้าที่ไม่ได้แต่ง มองยังไงก็ไม่เหมาะจะออกไปเจอผู้ชายคนอื่นเสียจริง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับถังซั่ว!
“ฉันแค่บอกกับนายล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น” เพราะเขาน่าจะเดาได้ ถ้าหากพูดไม่ชัดเจนอะไรไปละก็ มีหวังได้เข้าใจผิดเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้แน่ ๆ เธอไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นตัวแปรที่ทำให้พี่น้องที่รู้จักกันมาหลายปีอย่างพวกเขาต้องมาแตกแยกกัน
มันจะดีกว่าถ้าหากเรื่องพวกนี้ไม่เกิดขึ้น
ในตอนนี้เสียงกริ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเธออีกครั้ง
“เอาเถอะ เธอกลับไปที่ห้อง ฉันจะไปเปิดประตูเอง” จิ่งเป่ยเฉินพูดขึ้นทันที
“นายห้ามสร้างปัญหาอะไรนะ เข้าใจไหม?” เธอก้มหน้าลงมองชุดกระโปรงของตัวเอง ดูท่าคำพูดที่ดูมั่นใจเสียขนาดนั้นจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือโน้มน้าวได้อีกต่อไป
“ไปได้แล้ว!” เธอรีบหมุนตัวกลับไปยังห้องนอนเพื่อที่จะสวมใส่เสื้อผ้าเพิ่มให้ปกปิดมากกว่านี้หน่อย
จิ่งเป่ยเฉินได้ยินเสียงกดกริ่งที่หน้าประตูอีกครั้งจึงค่อย ๆ เดินไปเปิดประตูอย่างช้า ๆ ข้างนอกมีลมหนาวพัดผ่านเข้ามา ส่งผลให้ผมของถังซั่วพลิ้วไหวไปตามลม ลมที่หนาวเย็นพัดผ่านไปยังร่างกายของเขา ดูแล้วช่างหนาวเย็นเสียจริง ๆ
ถังซั่วจำรถของจิ่งเป่ยเฉินได้ตั้งแต่แรก แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเคาะประตูเพื่อดูเสียหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นเขาสวมชุดนอนและมาเปิดประตูให้ด้วยตัวเองแบบนี้ อีกทั้งบนชุดนอนของเขานั้นมีลายมัดย้อม ราวกับว่าเพิ่งจะเล่นกับเด็กน้อยมาเสียอย่างนั้น
จิ่งเป่ยเฉินกับพวกเขาดูท่าน่าจะเข้ากันได้ดีไม่ใช่น้อย
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านั้นเขาจำได้ว่าเด็ก ๆ กับตัวเขาเองก็เข้ากันได้ดีนะ หรือเพราะว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อลูกกันแท้ ๆ อย่างนั้นเหรอ?
ดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินไม่ได้แผ่ความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย เขายืนอยู่หน้าประตูโดยไม่แม้แต่จะแสดงอาการใด ๆ ออกมา ก่อนจะเหลือบมองไปยังสิ่งของที่อยู่ในมือของถังซั่ว สายตาพลันเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยคำถามที่ไม่ใช่ประเด็นเดียวกับสิ่งที่เขามองเลยแม้แต่น้อย “เพิ่งเลิกงานเหรอ?”
“อืม นี่เป็นรูปหน่วนหน่วนตอนที่ไปบริษัทสกุลถังเพื่อถ่ายรูป แต่ลืมส่งให้เธอ วันนี้นึกขึ้นได้เลยเอามาให้” เขายื่นถุงที่สวยงามยี่ห้อ Hello Kitty มาให้และพูดว่า “ฉันไปหาหมินลี่มา ดูแล้วอาการเขาก็ดีขึ้น แต่สถานการณ์ของฮั่วตงกลับไม่ค่อยดีเท่าไร”
จิ่งเป่ยเฉินเอื้อมมือไปรับของ ก่อนจะพูดกับเขาต่อว่า “ฮั่วตงนั้นไม่ได้ยุ่งกับพวกเรา ในโลกออนไลน์เรื่องข่าวอะไรพวกนั้น ฉันไม่สนใจหรอก กลับไปพักผ่อนเถอะ”
สำหรับถังซั่วแล้วรู้ได้ยังไงว่าเธอพักอยู่ที่นี่ แถมทั้งยังมีรูปถ่ายพวกนี้อีก เห็นทีเธอจำเป็นต้องอธิบายให้เขาเข้าใจมากกว่านี้แล้วสิ!
ภายใต้แสงไฟสลัว ๆ ที่ชายคาสาดส่องอยู่นั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนตามปกติของเขา “ไปก่อนนะ! มีอะไรก็เรียกฉันละกัน!”
“ไม่รบกวนนายหรอก” จิ่งเป่ยเฉินมองดูเขาเดินออกไป ก่อนจะปิดประตู
หลังจากที่ปิดประตูไปแล้ว เขาก็ได้เดินตรงไปยังทิศทางของห้องนอน อันโหรวที่ได้ยินเสียงปิดประตูก็สวมเสื้อคลุมและเดินออกมาจากข้างใน เธอมองไปยังถุงในมือของเขาพลางพูดว่า “นั่นมันอะไร?”
“รูปภาพของหน่วนหน่วน” เขาหยิบอัลบั้มรูปออกมายื่นให้กับเธอ พลางพูดว่า “เห็นว่าถ่ายมาจากบริษัทสกุลถังนะ”
เธอมองไปยังรูปภาพที่มีหน้าหน่วนหน่วนยิ้มแย้มอยู่ ก่อนจะนึกถึงช่วงบ่ายเมื่อนานมาแล้ว จู่ ๆ ก็รู้สึกได้ว่าอัลบั้มรูปในมือของเธอนั้นไม่ใช่อัลบั้มรูปหรอก แต่เป็นเหล็กร้อนแรงที่ถูกทุบตีมาหมาด ๆ ต่างหาก
“หยางหยางกับหน่วนหน่วนล้วนชอบเขาทั้งนั้น ก่อนหน้านั้นพวกเขาไปเล่นที่บริษัทสกุลถังมา” เรื่องพวกนี้ตอนแรกเธอก็ไม่รับรู้จริง ๆ
“แล้วที่อยู่?”
“เอ่อ…….” ถ้าหากเธอพูดถึงค่ำคืนวันเกิดนั้น ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคงได้บันดาลความโกรธออกมาแน่!
“ก็เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า? หยางหยางกับหน่วนหน่วนเองก็อยู่ที่โรงเรียนอนุบาลของเขา เป็นเรื่องปกติที่ต้องรับรู้ที่อยู่ อีกอย่างครั้งนั้นก็มีนักข่าวอยู่นอกบ้านอีก ฉันเดาว่าถังซั่วน่าจะได้ที่อยู่มาจากเอกสารหรือไม่ก็ตรวจสอบด้วยตัวเองนั่นแหละ” เธอพูดจบก็ก้มหน้าลงและพลิกดูรูปในอัลบั้มพวกนั้นก่อนจะพูดว่า “ลูกสาวนายนี่สวยมากเลยนะเนี่ย”
“อันโหรว ตอนนี้เธอคิดว่าการประจบฉันมันจะมีประโยชน์อย่างนั้นเหรอ?” หรือว่าเธอมองไม่ออกว่าตอนนี้เขาโกรธมากแค่ไหน?
“แล้วนายใช้ตาข้างไหนมองว่าฉันประจบนายกัน? นายคิดว่าสายตาพวกนั้นที่มองมาที่ฉันมันจะทำให้ฉันอธิบายให้นายพอใจได้หรือไง? ฉันไม่ได้หวั่นเงาที่เฉเฉียง[1]หรอกนะ เรื่องของตัวเองยังไม่แน่นิ่ง แต่ฉันก็รู้สึกว่าค่อนข้างดีที่นายตั้งคำถามแบบนั้นกับฉันเหมือนกัน” เธอเอ่ยจบก็รีบคว้าถุงมาไว้ในมือและเปิดปากถุงก่อนจะเอาอัลบั้มรูปเก็บเข้าไป และพูดขึ้นว่า “หน่วนหน่วนน่าจะชอบ นี่ก็เหมือนของขวัญที่มอบให้เธอ”
“อืม ดีนี่ ฉันจะแก้ไขเรื่องนี้เดี๋ยวนี้เลย” จิ่งเป่ยเฉินรีบก้าวเดินอย่างรวดเร็วราวกับดาวหางที่พุ่งผ่านตัวเธอไป
เธอรีบโยนถุงในมือไปบนโซฟาทันที ก่อนจะรีบเดินตามเขาไป “นายจะทำอะไรกันเนี่ย?”
[1] แปลว่ายึดมั่นคุณธรรม ซื่อตรงสุจริตย่อมไม่กลัวคำครหา