ตอนที่ 218 นายบ้าไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?
เธอเดินเข้าไปในห้องก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินกำลังหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกางเกงสูทที่วางไว้ข้าง ๆ เธอจึงยื่นมือออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะพูดว่า “จิ่งเป่ยเฉินนี่นายบ้าไปแล้วเหรอ?”
มือถือของเขานั้นถูกเธอแย่งไปไว้ด้านหลัง เขาพยายามที่เอื้อมมือออกไปก่อนที่จะดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนและพูดว่า “เร็วดีนี่”
“นายอย่ามาทำให้ฉันวุ่นวายนะ ฉันวางแผนไว้ว่าอีกสองวันจะไปพบใครบางคน ตอนนี้ข่าวซุบซิบของฉันก็มีเยอะพอแล้ว” ถ้าหากมีเรื่องข่าวการเปิดเผยของเธออีกละก็ ครั้งนี้เธอได้กลับไปต่างประเทศแน่ ๆ
“พบใคร?”
“คนที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีก่อนหน้านี้ สามีใช้การไม่ได้ หาคนก็ไม่เจอ ฉันเลยต้องออกหน้าด้วยตัวเองนี่แหละ” เธอเอียงหน้ามองเขาอยู่เล็กน้อย ใบหน้าที่งดงามเล็ก ๆ ของเธอนั้นแสดงให้เห็นถึงความผิดหวัง
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งตัวอะไร ช่วงขณะนั้นเธอก็โดนเขากดลงไปที่เตียงทันที
เธอไม่ได้หมายถึงแบบนี้เสียหน่อย!
“จิ่งเป่ยเฉิน นายลุกขึ้นไปเดี๋ยวนี้!” เมื่อครู่เธอถูกดึงตัวเร็วจนเกินไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะเขาโยนโทรศัพท์มือถือไปไว้ตรงไหน
“เด็กดี ดึกมากแล้ว ควรรีบเข้านอนนะ” เสื้อคลุมของเธอช่างเป็นอุปสรรคเสียจริง ๆ จะถอดยังไงดี!
คนที่ทับตัวเธออยู่นั้นค่อนข้างหนัก หนักเสียจนเธอไม่อาจจะขยับเขยื้อนไปไหนได้ จึงได้แต่ตะโกนใส่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไปว่า “จิ่งเป่ยเฉิน พรุ่งนี้นายย้ายออกไปเลยนะ!”
“ได้!” เขาตอบอย่างสบายใจเสียจนทำให้เธออึ้งเงียบไปสักพัก
พูดง่าย ๆ แบบนี้อีกแล้ว ดูมีลับลมคมในแปลก ๆ
เพียงแต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เธอต้องจัดการไม่ใช่ปัญหาของวันพรุ่งนี้ แต่เป็นปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก
“จิ่งเป่ยเฉิน นายลุกขึ้น เดี๋ยวฉันถอดมันเอง” แขนของเธอที่ได้รับบาดเจ็บจากรถชน อีกทั้งเสื้อคลุมก็ยังเกะกะบางส่วนบนร่างกาย
พอเธอลุกขึ้นก็รีบถอดเสื้อคลุมทันที สิ่งที่เธอคิดได้มีเพียงแค่อย่างเดียว ก็คือพรุ่งนี้เธอต้องให้จิ่งเป่ยเฉินกลับไปที่บ้านของตัวเองให้ได้!
แสงแดดที่อบอุ่นในยามเช้าสาดส่องผ่านเข้ามา อันโหรวกำลังหลับตาอยู่โดยไม่คิดอยากจะลืมตาสักเท่าไร ถ้าหากไม่ใช่เพราะคิดถึงเรื่องที่เด็ก ๆ ทั้งสองยังไม่ได้กินข้าวละก็ เธอเองก็คิดอยากจะนอนเก็บช่วงเวลาที่แทบไม่เคยได้พักผ่อนนี้เอาไว้
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่ได้พักมันช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง
สุดท้ายเธอก็ยังเอาชนะจิ่งเป่ยเฉินไม่ได้เลยสักครั้ง!
เธอกะพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนจะลืมตาขึ้น มองเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังหลับอยู่ เธอกำหมัดเล็ก ๆ ข้างหนึ่ง ก่อนจะทำท่าเหวี่ยงหมัดเข้าไปตรงแก้มเขาอยู่หลายหน แต่ก็ไม่มีสักหนที่ตกลงไปบนใบหน้าของเขาจริง ๆ
เธอลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เมื่อเห็นเขายังนอนหลับอยู่ ภายใต้การมองดูของเธอ เขาก็พลิกตัวตามปกติ เพียงแต่เผยส่วนบนของร่างกายออกมามากขึ้น เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียนและดูดีไม่ใช่น้อย
เธอส่ายหน้าอยู่สักพัก เพราะตอนเช้ามัวแต่คิดเรื่องอะไรอยู่ก็ไม่รู้!
เธอรีบหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกทันที ก่อนจะเดินไปตรงหน้าประตู เธอก็หมุนตัวกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ก่อนจะเอาผ้าห่มผืนบาง ๆ คลุมตัวเขาไว้และเดินออกไปจากห้องนอน
ตอนเช้าที่ทุกคนได้กินข้าวเสร็จเรียบร้อย ยกเว้นเสียแต่หน่วนหน่วนที่เธอนั้นกลับไม่ค่อยอยากกิน แต่หลังจากที่จัดการธุระเสร็จ พวกเขาก็ไปเล่นด้วยกัน
ทันทีที่เด็ก ๆ ทั้งสองคนขึ้นไปที่ชั้นบน อันโหรวก็ยิ้มและเดินไปหาจิ่งเป่ยเฉินที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา เขายังคงสวมชุดนอนอยู่ กระทั่งผมเผ้าก็ยังกระเซอะกระเซิงอยู่เล็กน้อย แต่ภาพลักษณ์เหล่านี้ก็ไม่ได้ดูเป็นผลเสียต่อความหล่อเหลาของเขาสักเท่าไร
“จิ่งเป่ยเฉิน เมื่อคืนจำได้ไหมว่านายตกลงรับปากกับฉันว่าอะไร! ไหนว่าจะย้ายออกจากที่นี่ไง!” เธอเดินมาขวางบดบังหน้าจอทีวีอยู่ตรงหน้าเขา พลางก้มลงมองดู
ครั้งนี้เธอไม่คิดจะประนีประนอมแน่ ๆ ไม่มีทางเสียหรอก
“รอก่อนสิ! วันนี้เดี๋ยวก็ย้ายออกไปเองนั่นแหละ” เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ เมื่อเทียบกับทีวีแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเธอนั้นมีเสน่ห์เสียยิ่งกว่าทีวีที่เขากำลังดูเสียอีก เขารู้สึกรื่นรมย์ทุกครั้งที่ได้มองดูเธอแบบนี้
“ได้ ฉันจะช่วยนายเก็บข้าวของเอง” เธอจ้องมองเขา ก่อนจะเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของจิ่งเป่ยเฉิน
เธอรู้สึกว่ามันต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติแน่ ๆ แต่เธอก็คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร
ในห้องนอนของเธอ จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้มีข้าวของอะไรเยอะแยะ แต่ก็ใช่ว่าจะมีของอยู่น้อยชิ้น
เธอหยิบกล่องสีดำออกมา ก่อนจะเลือกเสื้อผ้าที่จิ่งเป่ยเฉินอาจจะใส่ยัดมันลงไป ส่วนของอื่น ๆ ที่คิดว่าเก็บไม่ได้พวกนั้นก็ช่างมันเถอะ!
เธอผลักกล่องออกไปข้างนอก ก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินกำลังถือกล่องเล็ก ๆ สองใบเดินลงมา และด้านหลังของเขาก็มีหยางหยางและหน่วนหน่วน ทั้งสองคนช่วยกันถือกระเป๋านักเรียนใบเล็กไว้ในมือ ยิ่งในมือของหน่วนหน่วนแล้ว ดูเหมือนว่าเธอกำลังถืออัลบั้มที่ถังซั่วมอบให้เมื่อคืนมาด้วย
“แม่จ๋าเก็บของเสร็จแล้ว พวกเราออกไปกันเลยดีกว่า!” หน่วนหน่วนวิ่งลงมาจากบันไดและเดินตรงมาหาเธอ “แม่จ๋า พวกเราจะไปอยู่ที่บ้านของพ่อจ๋าใช่ไหมคะ?”
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเมื่อคืนเขาถึงได้รีบตอบตกลงเสียขนาดนั้น ที่แท้ก็เตรียมแผนการนี้ไว้แล้วนี่เอง!
แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เด็กทั้งสองคนได้ตอบตกลงกันแบบนี้? ทำไมเธอถึงไม่รู้อะไรเลย!
“โหรวโหรว หยิบชุดมาให้ฉันสักชุดหน่อยสิ ฉันจะรีบไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ” จิ่งเป่ยเฉินเดินมาหาเธอ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกล่องในมือเธอมาถือไว้ “ไปกันเถอะ”
นี่เล่นแสดงเป็นคู่รักต่อหน้าเด็ก ๆ อย่างนั้นเหรอ?
จิ่งเป่ยเฉิน เรื่องพวกนี้เธอจะต้องหาทางคิดบัญชีอย่างแน่นอน
ถ้าหากไม่เห็นว่าหน่วนหน่วนดูดีใจขนาดนั้น หยางหยางเองที่ไม่ได้คัดค้านอะไร เธอย่อมต้องปฏิเสธ ไม่มีทางที่เธอจะทำแบบนี้แน่นอน!
“แม่จ๋า ทำไมสีหน้าแม่ดูไม่ค่อยดีแบบนั้น” หยางหยางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าแม่ของตนด้วยสีหน้าและท่าทางที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“แม่จ๋าไม่ได้เป็นอะไร พวกหนูไปนั่งรอในรถก่อนนะ เดี๋ยวแม่จ๋าตามออกไป” เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ลูบผมของเขาเบา ๆ และรีบหันหลังเดินกลับไปที่ห้องนอน
เมื่อรอให้จิ่งเป่ยเฉินจัดการกระเป๋าของพวกเด็ก ๆ เรียบร้อย เธอก็กลับไปที่ห้องนอนของเธอ ถือชุดที่เลอะเปรอะเปื้อนจากฝีมือของหน่วนหน่วนเมื่อวานนี้ไว้ในมือ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจิ่งเป่ยเฉิน
“เสื้อผ้าตัวอื่น ๆ ของนายฉันเก็บใส่ไว้หมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ชุดเดียวเท่านั้น” เธอยิ้มและพูดขึ้น
แน่นอนว่าที่จริงแล้วเธอยังเก็บเสื้อผ้าไม่เสร็จ แต่เสื้อผ้านี้ถูกเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าของเขา และเธอเองก็เป็นคนเก็บและซ่อนมันไว้เอง อีกอย่างจิ่งเป่ยเฉินก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะตรวจสอบอีกด้วย!
เขาชำเหลืองสายตามองไปยังชุดในมือของเธอ ก่อนจะพูดว่า “ฉันรู้สึกว่าชุดนอนที่ใส่อยู่ตอนนี้ก็ค่อนข้างดีนะ”
“ก็ดีอยู่หรอก แต่นายช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยสิว่านี่มันคืออะไรกันแน่?” เธอโยนชุดสูทในมือของเธอไปไว้ตรงเตียง ก่อนจะเผยสีหน้าและแววตาที่ดูโกรธเคืองออกมา
“หยางหยางกับหน่วนหน่วนอยู่ข้างนอกไม่ปลอดภัย พวกเราออกไปกันเถอะ” เขาเอื้อมมือไปดึงข้อมือของเธอและเดินออกไปข้างนอก พร้อมกับอธิบายไปด้วยว่า “เธอบอกว่าให้ย้ายออกไป ฉันก็คิดจะย้ายทั้งครอบครัวออกไปเลย อีกอย่างครั้งสุดท้ายเลขาหลินบอกว่าบ้านของเธอนั้นค่อนข้างอยู่ไกลจากที่ทำงาน เพราะงั้นที่นี่ยกคืนให้เธอก็แล้วกันนะ”
นี่เขาจงใจทำให้มันลำบากชัด ๆ ถึงกับหาเหตุผลออกมาแถแบบนี้
“แล้วที่เธออยู่นั่นล่ะ?” คงไม่ใช่ว่าจะริบเก็บกลับคืนหรอกนะ!
“ฉันมอบให้เขาไปแล้ว จะเก็บกลับคืนมาทำไมกัน? อีกอย่างนั่นก็เป็นสินสอดทองหมั้นที่เตรียมไว้ให้กับเธอด้วย” เขาไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของหลินจือเซี๋ยวเท่าไร ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้เธอจะทำงานให้เขามาเยอะก็ตาม
แต่นี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาและเธอนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
สินสอดทองหมั้น?
หลินจือเซี๋ยวที่ไม่ได้มีแฟนมานานมากแล้ว ยังได้สินสอดทองหมั้น นี่จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยปากพูดออกมาได้ยังไงกัน?
“ของฉันยังไม่เก็บมาเลย!” เมื่อเช้านี้เธอมัวแต่ทำอะไรอยู่กันเนี่ย!
“ของของเธอที่บ้านล้วนมีหมดทุกอย่าง ถ้าหากชอบอะไรแล้วละก็…….” เขาปิดประตูและพูดต่อว่า “เดี๋ยวช่วงบ่ายจะให้หลินจือเซี๋ยวเก็บข้าวของกลับมา เสี่ยวหยางจะไปส่งเอง”
“แม่จ๋า!” หน่วนหน่วนกวักมือเรียกเธอผ่านกระจกรถ
เธอลอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นภาพทุกอย่างตรงหน้า ราวกับว่าเขานั้นสั่งการได้อย่างรวดเร็ว
ครั้งนั้นที่ไปบ้านของเขา เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ที่ไปกลับเกิดบรรยากาศที่เงียบงันตลอดทาง ได้แต่มองดูทิวทัศน์ที่นอกหน้าต่างและตั้งสติอยู่ในหัวตลอด จิ่งเป่ยเฉินทำยังไงถึงได้พูดชักจูงเด็กน้อยสองคนนี้ได้กัน
ชายคนนี้เคลื่อนไหวราวกับน้ำ ก่อนหน้านั้นก็พูดเรื่องแต่งงาน หลังจากแต่งงานก็ขอย้ายมาอยู่ด้วย ไม่กี่วันก็กล่อมให้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเขา ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาล้วนแต่จัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและไหลลื่นราวกับสายน้ำเสียจริง ๆ
จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อเลยไหมแบบนี้? แล้วถ้าเปลี่ยนชื่อจะเป็นชื่ออะไรดี?
จิ่งหยาง จิ่งหน่วน อย่างนั้นเหรอ?