ภาคที่ 2 บทที่ 134 ฮ่องเต้กับไทเฮา

มู่หนานจือ

ไทฮองไทเฮาหรี่ตาเล็กน้อยอย่างรู้สึกวุ่นวายใจ

หากคนที่บอกฮ่องเต้เป็นหนึ่งในสามคนนี้จริง เช่นนั้นนางมาภูเขาวั่นโซ่วจะมีความหมายอะไร?

ไทฮองไทเฮารู้สึกว่าตนเองใจร้อนกับเรื่องแต่งงานของเจียงเซี่ยนเกินไปแล้ว

นางควรจะมาภูเขาวั่นโซ่วหลังจากได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากทั้งสามคนแล้ว แบบนี้ก็สามารถตกลงเรื่องแต่งงานของเจียงเซี่ยนกับคนสกุลเฉาได้ทันที เพียงแต่ทำผิดก็ได้สิ่งที่ผิด ทำถูกก็ได้สิ่งที่ถูก ในเมื่อไม่สามารถจัดการเรื่องแต่งงานให้เรียบร้อยได้ เช่นนั้นก็จัดการเรื่องแต่งงานของฮ่องเต้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน

ไทฮองไทเฮารู้สึกสบายใจเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับไม่ผ่อนคลายและมีความสุขเหมือนตอนที่ขึ้นเรืออีกแล้ว

นางตีหน้าขรึม จนกระทั่งลงจากเรือ และเจอเฉาไทเฮาที่มารับก็ยังไม่ดีขึ้นอยู่ดี

เฉาไทเฮาเป็นไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่านมาสิบปี นางก็ ‘พูดด้วยอำนาจ’ มาตั้งนานแล้ว เวลานี้นางสูญเสียอำนาจและเท่ากับเป็นเชลยแล้ว ต่อให้พูดหรือทำมากแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นระวังกิริยาท่าทางดีกว่า คนอื่นเห็นแล้วจะได้ชมว่านางมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี และไม่เสียความหยิ่งในศักดิ์ศรีของไทเฮาไป นางจึงไม่สนใจใบหน้าเย็นชาของไทฮองไทเฮา และต้อนรับพวกไทฮองไทเฮาด้วยท่าทางเฉยเมยและห่างเหินแต่กลับสุภาพและดูแลอย่างทั่วถึง

แต่เจียงเซี่ยนกลับแอบตกใจ

เฉาไทเฮาดูเหมือนท้วมขึ้นกว่าตอนที่ฉลองวันเกิด และสีหน้าก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ทว่าสายตาตอนที่มองคนกลับคมกริบและเย็นชามากกว่าเมื่อก่อนมาก

เกรงว่าเล่ห์เหลี่ยมก็คงแพรวพราวมากกว่าตอนที่สำเร็จราชการแทนเช่นกัน

ทุกคนพักผ่อนที่ตำหนักเล่อโซ่ว เหล่านางในและขันทียุ่งอยู่กับการเปิดหีบจัดของ ส่วนไทฮองไทเฮา เฉาไทเฮา ไทฮองไท่เฟย จ้าวอี้ เจียงเซี่ยน และไป๋ซู่นั่งลงตามลำดับความสำคัญที่ห้องหลังตำหนักหลัก ไทฮองไทเฮาถามเฉาไทเฮา “เจ้าอยู่ที่นี่พอจะอยู่ได้หรือไม่? ข้าไม่ได้มาภูเขาวั่นโซ่วสิบกว่าปีแล้ว ต้นไม้ที่นี่เจริญงอกงามขึ้นมาก กลายเป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีทีเดียว”

เฉาไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยอย่างรวบรัดว่า “เสด็จแม่ตรัสถูกแล้ว” ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก และนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นอย่างเฉยชา

ตอนที่เฉาไทเฮาสำเร็จราชการแทน ไทฮองไทเฮาก็ไม่เคยกลัวนาง นับประสาอะไรกับตอนนี้?

ทางลงที่นางให้เฉาไทเฮาไม่ยอมลง ไทฮองไทเฮาก็ไม่อยากสนใจนางอีกเช่นกัน

ในห้องเงียบสงัดไปชั่วขณะ และเคร่งขรึมจนทำให้คนรู้สึกหนักอึ้ง แม้แต่ไทฮองไท่เฟยก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเช่นกัน

เจียงเซี่ยนแค่ถอนหายใจ

สองคนนี้เมื่อก่อนก็ไม่ถูกกัน ตอนนี้เป็นแบบนี้แล้วก็ยังไม่ถูกกัน…นี่ไทฮองไทเฮาก็มาหาเรื่องใส่ตัวถึงที่ไม่ใช่หรือ!

นางจำต้องมองไปทางจ้าวอี้

จ้าวอี้ยังคงโกรธอยู่ เขาไม่มองเจียงเซี่ยนแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ไม่สนเช่นกันว่าไทฮองไทเฮากับเฉาไทเฮาคุยอะไรกันบ้าง แค่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งดูดาย

หากเจียงเซี่ยนไม่เห็นว่าไทฮองไทเฮาอยู่ตรงนี้ ก็คงทำถ้วยชาแตกไปตั้งนานแล้ว

ตามมารยาทของราชสำนักจ้าวอี้เป็นผู้ปกครองใต้หล้า ตามมารยาทของตระกูลขุนนางเขาเป็นผู้นำตระกูล หญิงชราสองคนขัดแย้งกัน เขากลับนั่งดูอยู่ข้างๆ แบบนี้ เรื่องเล็กน้อยยังทำได้ไม่ดีก็ไม่สามารถปกครองใต้หล้าได้ เช่นนั้นเขายังสามารถทำอะไรได้อีก?

สละบัลลังก์ตั้งแต่เนิ่นๆ เปลี่ยนให้คนอื่นเป็นฮ่องเต้แทน!

เจียงเซี่ยนถือโอกาสเอ่ยว่า “ตอนที่อยู่ในวังทุกครั้งที่ถึงฤดูหนาวไทเฮาจะไอหนักมาก ปีนี้อากาศหนาวในฤดูใบไม้ผลินาน ไม่ทราบว่าไทเฮายังไอหรือไม่? อาการไอดีขึ้นบ้างหรือยัง? จะให้เชิญหมอหลวงเถียนมาตรวจให้ไทเฮาหรือไม่เพคะ?”

เฉาไทเฮาไอบ่อยเป็นเพราะนางอยู่ในตำหนักที่จุดเตาไฟใต้ตำหนักคลายหนาวทั้งวัน ชาติก่อนตอนที่เจียงเซี่ยนเป็นไทเฮาก็ไอ และเพราะหมอหลวงเถียนบังเอิญเอ่ยขึ้นมา นางถึงรู้ว่าเฉาไทเฮาก็ไอเหมือนกัน ดังนั้นจึงจำได้ดี และหยิบออกมาเป็นหัวข้อสนทนาในเวลานี้

เฉาไทเฮาอึ้งไปเล็กน้อย และอดที่จะมองเจียงเซี่ยนด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากขึ้นไม่ได้ พลางเอ่ยว่า “ทางนี้อากาศดี ฤดูหนาวปีนี้ข้าจึงไม่ค่อยไอ ข้าไม่ได้เจอเจ้าแค่สองสามเดือน เจ้าก็สูงขึ้นขนาดนี้แล้ว! ตอนข้าเป็นสาวก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เพราะสูงเร็วเกินไป จึงมักจะตื่นมาด้วยความหิวและอยากกินอาหารกลางดึก”

เจียงเซี่ยนเหม่อลอยเล็กน้อยทันที ผ่านไปหลายอึดใจถึงเอ่ยว่า “ที่แท้ไทเฮาก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหรือ! ตอนนี้ฉิงเค่อนางในที่อยู่ข้างกายหม่อมฉันใช้เตาในห้องชาต้มบะหมี่ให้หม่อมฉันกินกลางดึกทุกวัน แต่หม่อมฉันว่าบะหมี่ไม่อร่อย อย่างอื่นก็ยิ่งไม่อร่อย อย่างไรก็รู้สึกไม่สบายอยู่ดี”

เฉาไทเฮาก็ยิ้มออกมา และเอ่ยกับไป๋ซู่ว่า “พวกเจ้าเติบโตมาด้วยกัน สนิทกันเหมือนพี่น้อง ในวังมีกฎระเบียบมากมาย คนข้างนอกเห็นยังคิดว่าคนข้างในใช้ชีวิตเหมือนเทวดา มีแต่คนข้างในที่รู้ความลำบาก เวลาเจ้าว่างก็เข้าวังไปเยี่ยมเป่าหนิงบ่อยๆ และเอาของกินไปให้นางหน่อย”

ไป๋ซู่ขานว่า “เพคะ” อย่างนอบน้อม แลดูเป็นผู้หญิงที่ว่านอนสอนง่าย

เฉาไทเฮาสีหน้าดีขึ้นมาก

ไทฮองไทเฮาโกรธที่เจียงเซี่ยนบอกว่า ‘หิว’ ต่อหน้าเฉาไทเฮา จึงเหลือบตาลงและทำเสียงไม่พอใจ

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม พลางคิดว่าต้องพูดอะไรง้อท่านยายสักหน่อย ก็มีนางในเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา และแจ้งว่าเฉิงเอินกงมาถึงแล้ว

เฉาไทเฮาพยักหน้าด้วยสีหน้าเหมือนเดิม และส่งสัญญาณให้นางในเชิญคนเข้ามา

เฉาเซวียนสวมเครื่องแบบขุนนางใยป่านสีแดงเข้มเดินเข้ามา

นัยน์ตาดอกท้อที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยของเขายังคงแสดงความรู้สึกผ่านทางสายตาอย่างเงียบๆ เช่นเดิม ใบหน้าที่เหมือนยามรุ่งอรุณในฤดูใบไม้ผลิยังคงหล่อเหลาจับใจคนเหมือนเดิม เขาค้อมตัวคารวะไทฮองไทเฮา เสียงของเขายังคงราบเรียบและน่าฟังเช่นเดิม เพียงแต่ตัวกลับตรงเหมือนต้นสน ความตกต่ำของตระกูลเฉาและการที่ตนเองถูกเมินเฉยพัดผ่านไปราวกับสายลมเย็นและไม่เคยทิ้งเงาใดๆ ไว้บนตัวเขา เขายังคงเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง และเป็นผู้ชายที่ถูกผู้หญิงแอบมองและโยนดอกไม้ให้เวลาเดินบนถนนใหญ่ในเมืองหลวง ท่าทางที่สุขุมเยือกเย็นกลับทำให้เขาดูเด็ดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

เจียงเซี่ยนยิ้ม

หลังจากผ่านการทดสอบและคัดเลือกในการต่อสู้อันดุเดือดถึงรู้ว่าชิ้นไหนเป็นกรวดชิ้นไหนเป็นทองคำ!

สมกับเป็นเฉาเซวียนผู้ที่สามารถดำรงตำแหน่งสูงสุดในหมู่ขุนนางใหญ่ได้หลังจากเฉาไทเฮาตาย

สมกับเป็นขุนนางที่ปรึกษาของนาง

เจียงเซี่ยนขยิบตาให้ไป๋ซู่

ไป๋ซู่ยกยิ้มมุมปาก ดวงตาทอประกายขึ้นมาในชั่วพริบตา

ไทฮองไท่เฟยเห็นแล้วก็ดีใจกับไป๋ซู่เช่นกัน

คนไม่กลัวความลำบาก กลัวแต่ล้มแล้วลุกขึ้นไม่ได้อีก

หากเฉาเซวียนสามารถข้ามผ่านความลำบากนี้ไปได้ หลังจากนี้ก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว

นางมองไทฮองไทเฮาอย่างจริงใจ และหวังว่าไทฮองไทเฮาที่ไม่ชอบเฉาเซวียนจะดีกับเฉาเซวียนได้

ไทฮองไทเฮาค่อนข้างแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเฉาเซวียน พลางคิดว่าอีกไม่นานเขาก็เป็นสามีของไป๋ซู่แล้ว จึงเผยสีหน้าใจกว้างและอ่อนโยนออกมาเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ช่วงนี้เจ้าอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วตลอดหรือ? แล้วใครดูแลจวนเฉิงเอินกงอยู่?”

ความนัยที่แฝงนั้นคือ อีกไม่นานเขาจะแต่งงานแล้ว จะละเลยพิธีแต่งงานและเย็นชากับไป๋ซู่ไม่ได้

เฉาเซวียนยิ้มและเอ่ยว่า “ถึงในจวนจะมีพ่อบ้านช่วยดูอยู่ แต่กระหม่อมก็กลับไปบ่อยพ่ะย่ะค่ะ”

ไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “อืม” อย่างพอใจ

ไทฮองไท่เฟยกับไป๋ซู่ต่างโล่งอก

ทว่าจ้าวอี้กลับหงุดหงิดขึ้นมา

เห็นๆ อยู่ว่าทุกคนต่างไม่ถูกชะตากัน ยังทักทายกันอย่างวกไปวนมาอยู่ตรงนี้อีก สนุกหรือ?!

จนกระทั่งไทฮองไทเฮาข้ามเฉาไทเฮากับเฉาเซวียนไปเอ่ยถึงเรื่องที่สำนักหอดูดาวหลวงเตรียมวันไว้ให้เขากับไป๋ซู่เลือกหลายวัน และถามเขาว่ากำหนดวันได้แล้วหรือไม่ จ้าวอี้ก็ลุกขึ้นยืนอย่างทนไม่ไหวในที่สุด และเอ่ยว่า “เสด็จย่า เสด็จแม่ ไทฮองไท่เฟย นี่ก็สายแล้ว มีอะไรก็เก็บไว้เดี๋ยวค่อยคุยกัน! พวกท่านหวีพระเกศา ล้างพระพักตร์ และเปลี่ยนฉลองพระองค์ดีกว่า หลังจากเสวยพระกระยาหารเที่ยงก็พักผ่อนสักครู่”

ไทฮองไทเฮานึกถึงที่จ้าวอี้หงุดหงิดตอนขามา ก็รู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องชักช้าไม่ได้ หากทุกคนแยกกันตอนนี้ และให้จ้าวอี้มีโอกาสคุยเรื่องแต่งงานของเจียงเซี่ยนกับเฉาไทเฮา และเฉาไทเฮาใช้เรื่องนี้ต่อรองกับจ้าวอี้ก็ยุ่งยากแล้ว…นางจึงเอ่ยกับเฉาไทเฮาทันทีว่า “ตรงนี้วุ่นวาย ข้าไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ตำหนักอี๋อวิ๋นของเจ้าแล้วกัน”

———————————–