ตอนที่ 142 หมออัจฉริยะ

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

“เรื่องอะไร” อวิ๋นเจี่ยวถาม

“สหายอวิ๋นเชิญเข้าตำหนักก่อน เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง” เจ้าสำนักสวีหลบออกไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะเดินนำเธอและชายแก่ไปยังตำหนักใหญ่ด้านหลัง

เมื่อเธอเดินเข้าไป พบว่าภายในตำหนักไม่ได้มีเพียงท่านอาวุโสของสำนักเทียนซือเท่านั้น แต่เจ้าสำนักอื่นๆ รวมทั้งนายท่านของตระกูลใหญ่ล้วนอยู่ภายใน เมื่อเห็นพวกเธอเดินเข้ามา เหล่าคนที่กำลังสนทนากันอย่างคึกคักหยุดชะงักลง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมา

“อาจารย์อวิ๋น!” ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้นมาก่อน

ทันใดนั้นราวกับเปิดสวิตซ์แปลกประหลาดอะไรบางอย่าง เหล่าเจ้าสำนักภายในตำหนักต่างพูดทักทายขึ้น “อาจารย์อวิ๋น!” เสียงดังฟังชัด

อวิ๋นเจี่ยวชะงักฝีเท้าลง ทันใดนั้นมีความรู้สึกเหมือนกลับตอนห้องเรียนข่ายพลังขึ้นมา พร้อมกับพูดทักทายกลับ “สวัสดีนักเรียนทุกคน!” คิดไปคิดมารู้สึกประหลาด ก่อนจะพูดเสริม “ตอนนี้ไม่ใช่ห้องเรียน ทุกท่านเชิญนั่ง”

เอ่อ! ความเคยชิน!

บนใบหน้าปรากฏความเก้อเขินอย่างอธิบายไม่ได้ขึ้นมา ไม่ถึงชั่วครู่ทุกคนสงบลงอีกครั้ง รู้สึกว่าถ้าทุกคนทำร่วมกันจะรู้สึกเขินก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา

╮(╯▽╰)╭

แน่นอน นอกจากคนที่เข้ามาพร้อมอวิ๋นเจี่ยวที่ทำสีหน้าลำบากใจ

เจ้าสำนักสวี: “…” เขาควรจะพูดทักทายเหมือนกันหรือไม่ ทำไมรู้สึกไม่ค่อยเข้าพวก

ชายชรา: “…” ที่แท้ห้องเรียนยังมีพิธีแบบนี้? ควรเพิ่มเข้าไปในห้องเรียนของตนหรือไม่

ทั้งสามคนหาที่นั่งลง เจ้าสำนักสวีกระแอมไอ ก่อนจะอธิบายที่มาที่ไปของเรื่อง

“เรื่องเป็นเช่นนี้สหายอวิ๋น ครานี้นอกจากเชิญท่านมาเป็นผู้คุมสอบแล้ว ประเด็นหลักคืออยากให้ทางทดสอบลูกศิษย์คนหนึ่ง” เจ้าสำนักสวีมองไปยังเจ้าสำนักชุดเขียวด้านข้าง “ช่วงก่อนพวกข้าพบคนผู้หนึ่งบริเวณเมืองเถียงฟาง สำนักชิวหวา หากเขาสามารถเข้าสำนักเทียนซือได้ คงจะเป็นโชคดีของเสวียนเหมิน”

สหายอวิ๋นครุ่นคิด ก่อนจะพูดออกมา “เขาเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ?”

เจ้าสำนักสวีผงะ ประหลาดใจที่เธอคาดเดาได้ ก่อนจะพยักหน้า “สหายอวิ๋นทายไม่ผิด เขาเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ”

“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวตอบรับ ก่อนจะพูดต่อ “เป็นคนอย่างไร เหตุใดต้องทดสอบเดี่ยว” วันนี้เป็นวันทดสอบขึ้นทะเบียน ถึงแม้หมอรักษาพลังลมปราณจะมีน้อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่มี ทำไมคนผู้นี้ถึงพิเศษกว่าคนอื่น

“อาจารย์อวิ๋นไม่รู้อะไร” เจ้าสำนักสวียังไม่ทันได้อธิบาย เจ้าสำนักชุดเขียนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน “คนผู้นั้นไม่ใช่หมอรักษาพลังลมปราณธรรมดา ข้าไม่เคยเจอใครที่มีความสามารถเช่นนั้น เขาสามารถรักษาคนนับร้อยในเมืองให้หายดีภายในคืนเดียว”

“คนนับร้อย?” เก่งกาจอย่างที่ว่า อวิ๋นเจี่ยวผงะไปเล็กน้อย “ขอโทษที ท่านคือ?”

ชายชุดเขียวนิ่งไป ก่อนจะตอบ “อาจารย์ไม่เคยเจอข้า อาจจำข้าไม่ได้ ข้าคือจิ้นซ่าง เจ้าสำนักชิวหวา ข้าเคยเข้าร่วมฟังการถ่ายทอดของท่าน”

“อ่อ ท่านคือจิ้นซ่างนี่เอง!” ในหัวของอวิ๋นเจี่ยวมีข้อสอบแล่นผ่านไป “ข้าจำได้ คนที่สอบได้ 59 คะแนนตอนปลายภาค!”

จิ้นซ่าง: “…” ไม่พูดเรื่องคะแนนได้หรือไม่

(;´༎ຶД༎ຶ`)

ทุกคน: “…” นอกจากหัวหน้าห้องเจียวแล้ว ยังมีคนอื่นที่เกือบผ่านเกณฑ์! คนทรยศ!

凸(艹皿艹)

“พูดเรื่องคนนั้นต่อ” อวิ๋นเจี่ยวเร่งเร้า

จิ้นซ่างถึงได้เล่าเหตุการณ์ที่พบเจอมา สำนักชิวหวาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ สภาพแวดล้อมที่นั่นค่อนข้างยากลำบาก ทำให้บริเวณใกล้เคียงมีเพียงสำนักของเขาเพียงสำนักเดียว ซึ่งถือว่าเป็นสำนักที่มีงานจำนวนมาก ส่วนเมืองเถียนฟางเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลที่สุด ช่วงก่อนในเมืองมีวิญญาณออกมาก่อความโกลาหล ตอนที่พวกเขาไปถึง มีผู้คนหลายร้อยคนถูกพลังวิญญาณกลืนกิน

เนื่องจากภายในสำนักไม่มีหมอรักษาพลังลมปราณ หากจะขอความช่วยเหลือจากสำนักอื่นก็ไกลเกินไป คนเหล่านั้นคงรอไม่ไหว ในเวลาที่พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรนั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น บอกว่าสามารถรักษาพวกเข้าได้ เจ้าสำนักจิ้นไม่มีวิธี จึงให้เขาลองดู ไม่คิดว่าจะได้ผล พลังวิญญาณบนตัวของคนเหล่านั้นหายไปจนหมดเกลี้ยง อีกทั้งอีกฝ่ายยังใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งคืนเท่านั้น

จิ้นซ่างและลูกศิษย์ของเขาล้วนตกตะลึง พลังวิญญาณจะแทรกซึมเข้าร่างกาย พร้อมกับกลืนกินพลังชีวิต ไม่อาจกำจัดได้ง่าย หมอรักษาพลังลมปราณที่เก่งกาจก็ต้องใช้เวลา แต่อีกฝ่ายกลับใช้เพียงแค่หนึ่งคืน

ไม่เพียงเท่านี้ ได้ยินว่าต่อจากนั้นเมืองเถียงฟางยังเกิดเหตุวิญญาณก่อความโกลาหลอีกหลายครั้ง บางคนได้รับบาดเจ็บ ได้ยินว่ามีคนหนึ่งหมดลมหายใจไปแล้วเวลานั้น แต่กลับถูกเขาช่วยกลับมาได้ วิชาที่เก่งกาจทำเขากลายเป็นหมอเทวดาในท้องถิ่นนั้น

“คนผู้นี้แซ่ชวี นามฉิวหมิง ข้าได้ยินว่าเขาฝึกฝนวิชาด้วยตนเอง เนื่องจากไม่มีสำนัก จึงไม่ได้มาขึ้นทะเบียนที่สำนักเทียนซือ” จิ้นซ่างพูด

เจ้าสำนักสวีก็พูดต่อ “ตอนนี้เสวียนเหมินเผชิญกับเรื่องมากมาย ยมโลกก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดเรื่อง โชคดีที่มีสหายอวิ๋นและสหายจากชิงหยาง ถ่ายทอดวิชาให้ ตอนนี้ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ เพียงแต่ผู้ฝึกฝนด้านหมอรักษาพลังลมปราณยังมีจำนวนน้อย หากคนผู้นี้สามารถเข้าร่วมสำนักเทียนซือ รับหน้าที่ท่านอาวุโสหมอรักษาพลังลมปราณ ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ เสวียนเหมินของพวกเราต้องรุ่งโรจน์เป็นแน่”

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวัง ทุกคนที่ได้ยินต่างตื่นเต้น สถานการณ์ปัจจุบันของเสวียนเหมิน หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน อย่าว่าแต่เหล่าลูกศิษย์ แม้แต่พวกเขายังไม่กล้าแม้แต่จะคิด ลัทธิเต๋าระดับสูงสุด คาถาชั้นเลิศ อีกทั้งยังมีข่ายพลังระดับสวรรค์ และยันต์วิเศษ อยากศึกษาได้ศึกษา อยากฝึกฝนได้ฝึกฝน ไม่ว่าอยากศึกษาด้านไหน เพียงแค่มาก็จะได้ศึกษา ไม่เข้าใจเก็บกัก ไม่มีถ่ายทอดอย่างลับๆ

เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปี แต่ละสำนักล้วนเหมือนครอบครัวเดียวกัน คาถาที่แต่ก่อนนั้นแต่ละสำนักล้วนเห็นว่าเป็นสมบัติ ตอนนี้เพียงแค่ถามขึ้นในยันต์ส่งสาร ก็จะมีคนคัดลอกส่งมาให้ทันที ขอแค่มีใจอยากศึกษา ไม่กลัวไม่มีที่

ส่วนต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้ ล้วนเกิดมาจากคนตรงหน้า หากจะพูดถึงลัทธิเต๋าระดับสูงสุด คาถาชั้นเลิศ สำนักไหนจะสู้ชิงหยางได้ เนื่องจากสหายอวิ๋นเป็นต้นแบบ พวกเขาถึงตระหนักได้ว่า คาถาที่สำนักตัวเองเก็บกักไว้เป็นเรื่องตลกแค่ไหน

พวกเขาในฐานะลูกศิษย์เสวียนเหมิน วันๆ บอกว่าจะปราบมารกำจัดปีศาจ ทำเพื่อมนุษย์ทั่วหล้า แต่วิธีการที่พวกเขาใช้ช่วยผู้คนทั่วหล้า กลับกำแน่นอยู่ในมือไม่ยอมปล่อย

แม้แต่เหล่าเจ้าสำนักเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่แต่ละสำนักเริ่มถ่ายทอดวิชาภายในออกไป ตอนแรกเป็นเพียงแค่ยืมศึกษาระหว่างสำนัก จากนั่นส่งไปส่งมาทั้งเสวียนเหมินไม่มีคาถาอะไรที่รู้เฉพาะสำนักแล้ว

นอกจากนี้ ลูกศิษย์ของแต่ละสำนักยังแอบตั้งกลุ่มเพื่อยืมอ่าน เพื่ออำนวยความสะดวกในหาตำราคาถา

ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินว่ามีหมอรักษาพลังลมปราณเก่งกาจอีกคนปรากฏขึ้น ปฏิกิริยาแรกของสำนักเทียนซือและเจ้าสำนักแต่ละสำนักคือ อัฉริยะ รับมาเป็นอาจารย์แบบที่ให้เงินเดือนและจ่ายค่าเล่าเรียนด้วย