ตอนที่ 143 หมอรักษาพลังลมปราณแซ่ชวี

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

อวิ๋นเจี่ยวรับรู้ถึงจุดประสงค์ที่เจ้าสำนักสวีเรียกตนเองมา ตอนนี้ระบบการศึกษาของแต่ละสำนักของเสวียนเหมิน ไม่ว่าจะคาถา ข่ายพลัง หรือยันต์ล้วนถูกสำนักชิงหยางเหมาไป ส่วนวิชาพื้นฐานนั้น แต่ละสำนักมีวิธีการของตนเอง นอกจากนี้คืออาวุธ ซึ่งแต่ละสำนักมีการถ่ายทอดต่อมาไม่มากก็น้อย สิ่งเดียวที่ขาดแคลนที่สุดภายในเสวียนเหมินคือหมอรักษาพลังลมปราณ

หมอรักษาพลังลมปราณมีข้อกำหนดที่ค่อนข้างสูง อย่างแรกต้องมีพื้นฐานทางการรักษาถึงจะสามารถศึกษาหมอรักษาพลังลมปราณได้ ส่วนวิชาทางการรักษาไม่อาจฝึกได้ในระยะเวลาอันสั้น ลูกศิษย์ธรรมดาไม่อาจเข้าศึกษาได้ ไม่ต้องพูดถึงการฝึกหมอรักษาพลังลมปราณ

ที่จริงแล้วตอนที่อวิ๋นเจี่ยวเปิดห้องเรียนพิเศษนั้น นางก็เคยคิดอยากเปิดห้องสอนวิชาหมอรักษาพลังลมปราณ แต่ต่อมานางก็ละทิ้งความคิดนี้ไป เพราะว่าหมอรักษาพลังลมปราณแตกต่างจากข่ายพลังและคาถาโดยสิ้นเชิง หนึ่งเป็นเพราะวิชาทางด้านการรักษาเข้าใจได้ยาก แต่สิ่งสำคัญคือวิชาทางการแพทย์ที่นางเรียนมานั้นแตกต่างจากที่นี่อย่างยิ่ง สำหรับนางแล้ว โครงสร้างร่างกายมนุษย์กับระบบเส้นชีพจรเป็นสองระบบที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง

แน่นอนว่าตอนที่อาจารย์ปู่ถ่ายทอดวิชาหมอรักษาพลังลมปราณนั้น นางหลอมรวมทั้งสองระบบเข้าด้วยกันตามความเคยชิน แต่ก็แยกออกซึ่งกันและกัน

ดังนั้นวิชาการแพทย์ของนางมาจากโลกเดิม หากให้นางสอน ก็คงต้องสอนทั้งหมดที่นางเรียนตอนมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับวิชาความรู้พื้นฐานที่นางเคยเรียนมา ซึ่งหมายความว่า หากอยากเรียนรู้วิชาทางการแพทย์ของนาง เท่ากับว่าต้องศึกษาความรู้ทั้งหมดตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงปริญญาเอก

ระหว่างนี้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ยังไม่พูดถึง สิ่งสำคัญคือวิชาทางการแพทย์เป็นวิชาที่จริงจังอีกทั้งเดินทางอยู่ใกล้กับความเป็นความตาย หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจย้อนกลับได้ ดังนั้นถึงแม้นางจะเปิดห้องเรียนพิเศษห้องแล้วห้องเล่า แต่ก็ไม่เคยเปิดห้องเรียนวิชาหมอรักษาพลังลมปราณเลย เพราะว่าการศึกษาวิชาทางการแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่าย

นางจะถ่ายทอดวิชาหมอรักษาพลังลมปราณให้กับผู้ที่มีพื้นฐานการทางรักษาจริงๆ เท่านั้น เหมือนกับเหล่าหมอรักษาพลังลมปราณที่ไปเมืองตะวันตกด้วยกัน

นางเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าสำนักสวีที่อยากจะฝึกฝนหมอรักษาพลังลมปราณขึ้นมาก อีกทั้งยังมีความสนใจต่อคนที่มีวิชารักษาพลังลมปราณที่เก่งกาจคนนั้น เพราะเมื่อเทียบกับวิชาทางการรักษาที่ซับซ้อนของนาง หมอรักษาพลังลมปราณที่นี่มีสิทธิในการสอนมากกว่าและเหมาะกับที่จะใช้ในโลกนี้มากกว่า

นางคิดกระทั่งกลับไปหารือกับอาจารย์ปู่ นำเอาตำราที่เขาถ่ายทอดให้คนเหล่านั้นส่งต่อไปให้อีกฝ่าย รวมไปถึงเหล่าหมอรักษาพลังลมปราณที่ไปเมืองตะวันตกด้วย

“เรียนเจ้าสำนัก เทียนซือชวีมาแล้ว” จิ้นซ่างเพิ่งอธิบายจบ ก็มีลูกศิษย์เข้ามารายงาน

เจ้าสำนักสวีสีหน้าดีใจ รีบตอบ “รีบเชิญเขาเข้ามา”

ทันใดนั้นคนทั้งหมดในตำหนักล้วนมองไปยังหน้าประตู แม้แต่ไป๋อวี้และอวิ๋นเจี่ยวก็มองตามไป

น่าแปลกใจที่บริเวณประตูมีร่างของคนสองคนปรากฏขึ้น ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ทั้งสองคนดูอายุไม่มาก ชายหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบ เขาสวมชุดนักพรตสีขาวพร้อมลายปักสีทอง รูปร่างปานกลางค่อนไปทางผอม หน้าตาธรรมดา สีผิวคล้ำเล็กน้อย ทำให้เมื่ออีกฝ่ายสวมใส่ชุดสีขาวแล้วดูโดดเด่น เขาเชิดคอขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งยโส

ข้างตัวของเขามีเด็กหญิงคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าเขาลงไปอีก ท่าทางราวกับสิบสาม สิบสี่ นางจับไปยังแขนเสื้อของชายหนุ่มแน่นราวกับกำลังตื่นตระหนก ดวงตากลมจ้องมองไปยังรอบด้านด้วยความสนใจ

ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามาในตำหนัก เด็กหญิงเดินตามอยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นเหล่าเจ้าสำนักและท่านอาวุโสในตำหนักต่างมองไปยังทั้งสองคนด้วยสายตาร้อนรน กลับเป็นอวิ๋นเจี่ยวที่ผงะไป เมื่อกี้นางเหมือนเห็นเงาซ้อนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม แต่เมื่อมองดูอย่างละเอียดกลับไม่เห็น อาจเป็นเพราะแสงด้านนอกแรงเกินไปทำให้ดูผิด?

ชายหนุ่มเดินเข้ามา ก่อนจะกวาดตามองทุกคนอย่างเรียบเฉย ในดวงตาไม่มีแม้แต่ความเกรงขาม เขาเพียงกำหมัดขึ้นพร้อมพยักหน้า “ทักทายท่านสหายเสวียนเหมินทั้งหลาย!”

“…”

ไม่เพียงเจ้าสำนักสวี แม้แต่เจ้าสำนักคนอื่นล้วนผงะไป วันนี้เป็นวันทดสอบขึ้นทะเบียน ตามหลักแล้ว อีกฝ่ายเป็นผู้มาทดสอบก็ต้องเรียกพวกเขาเป็นอาจารย์ ถึงแม้จะไม่รู้ แต่ก็ควรจะเรียกว่าท่านอาวุโส แต่เขากลับพูดว่าสหาย ราวกับเป็นรุ่นเดียวกันกับพวกเขา รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย

แต่เมื่อคิดกลับกัน เขาเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ อีกทั้งยังมีวิชาเก่งกาจ หากมีความเย่อหยิ่งเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเป็นอาจารย์อวิ๋น…เอ่อ เหมือนจะไม่มีปัญหา

ดังนั้นเจ้าสำนักสวียิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมพูดว่า “สหายท่านนี้คือหมอรักษาพลังลมปราณในเมืองเถียงฟาง สหาย…ชวีฉิวหมิง?”

“ใช่แล้ว! ข้าคือชวีฉิวหมิง” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะมองพวกเขาอีกครั้ง “ข้ามาขึ้นทะเบียน ไม่ทราบว่าทุกท่านเรียกข้ามาที่นี่เพราะเหตุใด”

“สหายชวีอย่ารีบร้อน” เจ้าสำนักสวียิ้มกว้างยิ่งขึ้น “พวกข้าเรียกท่านมาไม่มีเจตนาร้ายอันใด คิดว่าลูกศิษย์ทางด้านล่างได้บอกท่านแล้วว่าพวกข้าคือใคร”

“ข้ารู้ พวกท่านคือเจ้าสำนักและท่านอาวุโสของสำนักเทียนซือ” ชวีฉิวหมิงขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ เบิกตาโตพร้อมกับกวาดตามองพวกเขา จากนั้นหัวเราะเสียงเย็นในลำคอ “พวกท่านไม่อยากให้ข้าขึ้นทะเบียน?” สายตาของเขามีความระแวง

“ไม่ใช่แน่นอน!” เจ้าสำนักสวีตกตะลึงในความคิดของเขาเล็กน้อย ก่อนจะอธิบาย “สหายชวีมีวิชาเก่งกาจ ทางสำนักเทียนซือก็เคยได้ยินมาบ้าง ท่านสามารถช่วยชีวิตคนนับร้อยในเมืองเถียนฟางในคืนเดียว วิชาการรักษาเช่นนี้ แม้จะเป็นในเสวียนเหมินก็มีจำนวนน้อย ขึ้นทะเบียนไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นก็ดี!” นาทีนี้บนใบหน้าของชวีฉิวหมิงถึงปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ ราวกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ตนเองช่วยชีวิตคนนับร้อย

เจ้าสำนักสวียิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีความสามารถจริง ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “การทดสอบขึ้นทะเบียนของทางสำนักเทียนซือส่วนใหญ่เป็นการตัดสินระดับของเทียนซือระดับเหรียญทองแดง เทียนซือระดับดอกไม้ขึ้นไปมีน้อยมาก ตามความสามารถของสหายชวี หากได้ระดับเพียงเท่านี้คงน่าเสียดาย ดังนั้นจากที่พวกข้าหารือกัน หากเจ้าสามารถผ่านการทดสอบหมอรักษาพลังลมปราณได้ พวกข้าอยากเชิญสหายชวีเข้าร่วมเป็นท่านอาวุโสเจ็ดดอกไม้ในสำนักเทียนซือ!”

“ท่านอาวุโส!” สหายชวีตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อ ก่อนที่เขาจะมาสำนักเทียนซือนั้น เขาได้ยินมาว่าภายในสำนักเทียนซือมีท่านอาวุโสเพียงสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญของแต่ละสำนัก แม้แต่เจ้าสำนักของแต่ละสำนักยังต้องให้ความเคารพ สามารถพูดได้ว่าท่านอาวุโสของสำนักเทียนซือนั้นเป็นตัวแทนคนชั้นบนสุดของเสวียนเหมินก็ว่าได้

เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ต่อมาก็สงบลง ตามความสามารถของเขา ท่านอาวุโสถือเป็นอะไร ต่อไปเขาต้องได้อยู่ตำแหน่งสูงกว่านี้

“เสวียนเหมินกำลังอยู่ในช่วงต้องการคน โดยเฉพาะคนอย่างสหายชวีที่มีความสามารถด้านหมอรักษาพลังลมปราณ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายสนใจ เจ้าสำนักสวียิ้มอย่างพึงพอใจมากขึ้น หากอีกฝ่ายกลายเป็นคนของตนเอง ต่อไปเปิดห้องเรียนก็ง่ายขึ้นอย่างมาก