ภาคที่ 2 ตอนที่ 24 สืบทอดกระบี่อีกครั้งหลังผ่านไปสามปี

มรรคาสู่สวรรค์

ตอนที่ 24 สืบทอดกระบี่อีกครั้งหลังผ่านไปสามปี

 

กระบี่หลักแห่งยอดเขาเทียนกวงคือกระบี่ประจำสำนักของชิงซาน

กระบี่เล่มนี้หายสาบสูญไปนานแล้ว สิ่งที่เรียกว่ากระบี่แบกสวรรค์นั้นเป็นเพียงฝักกระบี่อันหนึ่ง

นี่คือความลับที่สำคัญที่สุดของสำนักชิงซานอย่างมิต้องสงสัย นอกจากเจ้าแห่งยอดเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้อีก

จนถึงขณะนี้เจ้าล่าเยวี่ยก็ยังมิล่วงรู้เรื่องนี้ เนื่องเพราะนางจากไปอย่างกะทันหัน แล้วก็อาจจะด้วยความตั้งใจ นางจึงยังไม่ล่วงรู้ ความลับของชิงซานอีกจำนวนมาก

เหล่าศิษย์ของชิงซานย่อมไม่มีทางทราบเรื่องนี้

สิ่งที่เหล่าลูกศิษย์นอกสำนักของศาลาหนานซง ศาลาเป่ยเฮ่อเป็นกังวลมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ว่าเมื่อไรจึงจะบรรลุสภาวะรักษาจิตได้บริบูรณ์และกลายเป็นศิษย์ในสำนัก

สิ่งที่เหล่าลูกศิษย์ขั้นล้างกระบี่ที่อยู่ริมธารเป็นกังวลมากที่สุดก็คือในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนที่กำลังจะมาถึง ตนเองจะถูกอาจารย์แห่งยอดเขาไหนเลือกไป

สิ่งที่เหล่าศิษย์สืบทอดกระบี่ีที่อยู่ในแต่ละยอดเขาเป็นกังวลมากที่สุดย่อมต้องเป็นงานประลองซื่อเจี้ยน[1]ที่จัดขึ้นหลายปีครั้งหนึ่ง ตนเองจะสามารถคว้าอันดับในงานได้เป็นอย่างไร จะมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยหรือไม่

เหล่าศิษย์ในสำนักที่เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนมีสี่สิบกว่าคน ศิษย์จากศาลาหนานซงสิบกว่าคนที่อยู่ในนั้นได้รับความสนใจมากที่สุด

เจ้าล่าเยวี่ยมาจากศาลาหนานซง หลิ่วสือซุ่ยเองก็มาจากศาลาหนานซงเช่นกัน

ในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี ศาลาหนานซงมีเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดปรากฏขึ้นมาสองคน เพียงแต่คำวิจารณ์ที่ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานมีต่อสองคนนี้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เวลาที่เหล่าศิษย์ของชิงซานเอ่ยถึงหลิ่วสือซุ่ยนั้นมิได้มีความชื่นชมเหมือนดังแต่ก่อนอีก หากแต่เต็มไปด้วยความน่าละอายและความผิดหวัง บางคราวก็จะมีความเห็นอกเห็นใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือความโกรธเคือง

ทว่าเวลาที่เอ่ยถึงชื่อเจ้าล่าเยวี่ย พวกเขาจะมีความตื่นเต้นมากกว่าแต่ก่อน ความรู้สึกชื่นชมเองก็มีมากขึ้นกว่าเดิม

ในที่สุดเยาซงซานและหลิวอิงเหลียงก็นำเอาข่าวที่เจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อออกไปท่องเที่ยวเป็นเวลาสองปีกลับมาแจ้ง

จนกระทั่งในเวลานี้ ทุกคนในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานถึงได้รู้ว่าในช่วงเวลาสองปีนี้ เจ้าล่าเยวี่ยไปยังที่ใดและทำอะไรบ้าง

กำจัดปีศาจขจัดความชั่ว!

ไม่ว่าจะเป็นสารเลวที่สำนักไหนเลี้ยงดูขึ้นมา หรือจะเป็นผู้มีบุญคุณของพระสนม ขอเพียงกระทำความชั่วก็จะต้องถูกสังหารในกระบี่เดียว!

เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ มีหรือที่ศิษย์ชิงซานจะไม่เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจและมีเกียรติ

สิ่งที่ทำให้ศิษย์ชิงซานมีความสุขมากที่สุดก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงซื่อไห่

หลายปีมานี้สำนักกระบี่ซีไห่แอบอ้างเทพกระบี่กระทำการหยิ่งผยอง ทำให้เหล่าศิษย์ชิงซานมิพอใจอย่างมาก

เจ้าล่าเยวี่ยสังหารคนในตำหนักของงานเลี้ยงซื่อไห่ เหล่าศิษย์ชิงซานมองว่าเป็นการตบหน้าสำนักซีไห่ฉาดใหญ่ จึงรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก

ข่าวคราวการนัดประลองของจิ๋งจิ่วและสำนักจงโจวในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง แต่แม้นจะเป็นศิษย์ร่วมสำนักของชิงซาน ก็มิได้มองว่าเขาจะสามารถเอาชนะได้

เพราะคู่ต่อสู้ของเขาคือถงเหยียนแห่งสำนักจงโจว ผู้ที่ทั่วทั้งโลกยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งวิถีหมากล้อม

ศิษย์บางคนที่มิรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไรเกิดความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ ภายในใจครุ่นคิดหากถึงเวลานั้นเขาพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย นั่นไม่เท่ากับว่าชิงซานเป็นรองจงโจวหรอกหรือ?

หลังเที่ยงวันหนึ่ง เหล่าศิษย์ล้างกระบี่ได้เสร็จสิ้นการเรียนในครึ่งวันแรกและมาพักผ่อนยังริมน้ำ ถือโอกาสที่แดดกำลังดี พูดคุยเล่นกัน

งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนใกล้มาเยือน ประเด็นที่เหล่าศิษย์พากันพูดคุยย่อมต้องเป็นเรื่องที่เจ้าล่าเยวี่ยจะกลับมาเมื่อไรและครั้งนี้นางจะรับลูกศิษย์หรือไม่

จู่ๆ บนท้องฟ้าสีครามพลันมีเมฆสีขาวลอยมาก้อนหนึ่ง บรรยากาศฟ้าดินรอบๆ แปรเปลี่ยนเล็กน้อย บนยอดเขามีเงาสลับพาดผ่าน ข่ายพลังชิงซานเปิดช่องๆ หนึ่ง

กระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งตรงมาจากขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเส้นตรงสีแดงแถบหนึ่ง

ริมลำธารพลันเงียบลงทันที จากนั้นจึงมีเสียงโห่ร้องดังขึ้น

คนอื่นๆ อย่างเหมยหลี่ หลินอู๋จือและกู้ชิงได้ยินเสียงที่ดังมาจากศาลาสี่เจี้ยน จึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างปิติยินดี “ศิษย์พี่ล่าเยวี่ยกลับมาแล้ว!”

“อาจารย์อาล่าเยวี่ย!” มีศิษย์แก้ไขให้

“กระบี่มิคำนึงยิ่งแดงขึ้นกว่าเก่า ดูคล้ายเลือดเลย”

“กลัวอะไร? กระบี่แห่งชิงซานออกไปจะต้องอาบเลือด อาจารย์อาล่าเยวี่ยกำจัดมารขจัดความชั่ว กระบี่เซียนย่อมต้องแดงขึ้นกว่าเก่าอยู่แล้ว”

……

……

ลำแสงกระบี่สีแดงมาถึงปลายยอดเขา ภายในป่าบริเวณหน้าผามีเสียงร้องของวานรดังขึ้นมา จากนั้นจึงมีเสียงเสียดสีของต้นไม้ดังขึ้น คาดว่าน่าจะมาจากการที่เหล่าวานรกำลังรีบมาหาพวกเขา

เหล่าวานรดูกระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะได้มาหาเจ้านาย ดูแล้วคงคิดถึงเป็นอย่างมาก

จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าหนวกหู ในใจครุ่นคิดเหตุใดวานรเหล่านี้นับวันจะยิ่งคล้ายวานรที่ยอดเขาซื่อเยวี่ยเข้าไปทุกที

เจ้าล่าเยวี่ยเข้าไปในถ้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

เรื่องแรกที่จิ๋งจิ่วทำก็คือย้ายเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นออกมาแล้วนอนลงไป

ในสองปีนี้ไม่มีเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนี้ กระทั่งเวลานอนของเขาก็น้อยลงไปมาก

นอกจากเก้าอี้ไม้ไผ่แล้วเขายังลืมเอาจานกระเบื้องไปด้วย ในเวลานี้เขาก็นำมันออกมาด้วยเช่นกัน

เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากถ้ำพลางเช็ดผมที่ยังเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเห็นจิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ในมือคีบทรายเอาไว้ สายตามองดูจานกระเบื้องใบนั้นอย่างเหม่อลอย

ไม่ได้เห็นภาพนี้มานานแล้วจริงๆ

ในดวงตาของนางมีสายตายิ้มๆ ปรากฏแวบขึ้นมา

เม็ดทรายที่อยู่บนจานกระเบื้องกองจนใกล้จะเต็มพื้นที่เกือบครึ่งแล้ว

นางจำได้แม่นยำ ตอนที่ยังอยู่ริมผาข้างธารสี่เจี้ยน เม็ดทรายน่าจะมีอยู่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น

เมื่อคำนวณจากเวลาแล้ว เรื่องที่จิ๋งจิ่วทำนี้น่าจะยิ่งยากขึ้นไปทุกขณะ

และเป็นเพราะจานกระเบื้องกับทรายเหล่านี้ นางถึงได้มั่นใจว่าการเล่นหมากล้อมนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่สุดบนโลกนี้สำหรับจิ๋งจิ่ว

ต่อให้เป็นถงเหยียนก็หาใช่คู่ต่อสู้ของเขาไม่

ในขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ บริเวณหน้าผาพลันมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นมา

กู้ชิงรุดมายังยอดเขาด้วยฝีเท้าที่เร็วที่สุด ยังมิทันจะได้คารวะก็เอ่ยปากถามจิ๋งจิ่วว่า “เหมยฮุ่ย?”

จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม

กู้ชิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวถามอีกครั้งว่า “ถงเหยียน?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “หากเขาไปล่ะก็นะ”

กู้ชิงยืนอยู่ริมผาพลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นกล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “ต้องชนะ”

คงเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากจิ๋งจิ่ว ตอนนี้คำพูดของเขาเองก็น้อยลงเรื่อยๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด วานรที่อยู่ในยอดเขาเหล่านั้นกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

จิ๋งจิ่วเหลียวมองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว “ดูสิ ใจของเขาสงบนิ่งจริงๆ แข็งแกร่งกว่าเจ้าและสือซุ่ยเสียอีก”

กู้ชิงได้ยินเขาชมว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าเจ้าล่าเยวี่ย จึงรู้สึกทำตัวมิค่อยถูก ครั้นคิดถึงว่าในคำพูดของเขาเอ่ยถึงหลิ่วสือซุ่ย จึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้เขาใช้ชีวิตลำบากมาก ข้าเคยไปเยี่ยมเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่ยอมเจอข้าอีก ข้าคิดว่าจิตใจของเขาคงจะมีปัญหาจริงๆ เจ้าน่าจะไปเยี่ยมเขาหน่อยนะ”

จิ๋งจิ่วมิได้ตอบ

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้ามั่นใจนะว่าเขาไม่เป็นไร?”

จิ๋งจิ่ววางทรายที่คีบอยู่ในนิ้วลง พลางกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่มั่นใจว่านี่เป็นการตัดสินใจของตัวเขาเอง”

……

……

วันที่สี่หลังจากทั้งสองคนกลับมายังชิงซาน งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเริ่มต้นขึ้น

ปลายสุดของริมธารสี่เจี้ยนตกแต่งเอาไว้เหมือนกับเมื่อสามปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน น่าจะเป็นเพราะว่าแต่ละสำนักต่างกำลังเตรียมพร้อมสำหรับงานชุมนุมเหมยฮุ่ย อาคันตุกะที่มาชมงานชุมนุมครานี้จึงน้อยลงไปมาก วัดกั่วเฉิงไม่มีใครมา ต้าเจ๋อเองก็ไม่มีใครมา สาวน้อยจากสำนักเสวียนหลิงก็มิได้มา

ที่น่าแปลกก็คือสำนักเฟิงเตาที่มิได้มีความสัมพันธ์พิเศษอะไรกับสำนักชิงซานกลับส่งตัวแทนมาอีกครั้งหลังจากที่เคยมาเยือนเมื่อครั้งที่แล้ว

การปรากฏตัวของจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน

เมื่อสามปีก่อนพวกเขาก็เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน เพียงแต่ตอนนั้นอยู่ที่ริมธาร แต่วันนี้อยู่บนหน้าผา

เวลานั้นพวกเขาเป็นศิษย์ที่เตรียมตัวสืบทอดกระบี่ แต่เวลานี้พวกเขาเตรียมตัวที่จะเลือกศิษย์เพื่อสืบทอดกระบี่

เมื่อพูดถึงความเร็วในการเปลี่ยนแปลงสถานะแล้ว หากมองไปในเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมาของชิงซาน สถานการณ์แบบนี้นั้นเกิดขึ้นน้อยมาก

นี่ย่อมต้องมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน

เมื่อมองดูเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว ศิษย์ชิงซานจำนวนมาก รวมไปถึงอาจารย์ผู้เป็นศิษย์รุ่นที่สองต่างก็ยากที่จะไม่เกิดความรู้สึกอิจฉา หรือกระทั่งริษยา แต่พวกเขารู้ดีว่าตัวเองมิได้มีความกล้าเหมือนอย่างเจ้าล่าเยวี่ยเมื่อสามปีก่อน แล้วก็ยิ่งไม่มีความสามารถที่จะขึ้นไปยังยอดเขาเสินม่อด้วย ดังนั้นความริษยาและความรู้สึกไม่สบอารมณ์เหล่านี้จึงไปตกอยู่ที่ตัวจิ๋งจิ่ว

นอกจากคนส่วนน้อยบางคนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าในคืนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

จิ๋งจิ่วซึ่งมิได้พูดคุยกับใครย่อมไม่มีโอกาสได้อธิบาย อีกทั้งเขาก็ยินดีที่เป็นแบบนี้

เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจเจตนาของเขา นางย่อมไม่ไปพูดอะไรเช่นเดียวกัน อีกทั้งนางและจิ๋งจิ่วก็แทบจะไม่พบปะผู้คนเหมือนกัน

จู่ๆ ริมลำธารพลันมีศิษย์คนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “รีบดูเร็ว ด้านหลังเขายังสะพายกระบี่เหล็กเล่มนั้นอยู่ใช่ไหม?”

“ก็กระบี่ที่อาจารย์อาม่อทิ้งเอาไว้เล่มนั้นแหละ ทั้งกว้างทั้งตรง ข้าไม่มีทางดูผิดแน่”

“อะไรกัน? หรือว่าเขายังไม่เข้าสู่สภาวะมิประจักษ์?”

…………………………………………………………………………..

[1]ซื่อเจี้ยน แปลว่า ทดสอบกระบี่