ภาคที่ 2 ตอนที่ 25 คล้ายครั้งนั้น

มรรคาสู่สวรรค์

ตอนที่ 25 คล้ายครั้งนั้น

 

สำหรับการฝึกกระบี่ของชิงซานแล้ว สภาวะมิประจักษ์ถือเป็นด่านที่สำคัญที่สุด หากบรรลุสู่สภาวะมิประจักษ์ได้ ก็จะมีอายุขัยที่มากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า มีพลังแห่งเต๋าที่สามารถปกปิดกลิ่นอายของตนเอง และที่สำคัญกว่านั้นคือสามารถเก็บซ่อนกระบี่บินเอาไว้ในโอสถกระบี่ได้ เวลาที่ต้องการใช้ก็สามารถนำมันออกมาพร้อมกับจิตจำแนกแห่งกระบี่ รวดเร็วปานสายฟ้า สังหารคนอย่างไร้ร่องรอย

เนื่องเพราะอาจารย์เมิ่งและอาจารย์หลี่ว์ในอดีตมิอาจเข้าสู่สภาวะขั้นมิประจักษ์ได้เสียที มองไม่เห็นอนาคตในการบำเพ็ญเพียร พวกเขาจึงถูกส่งไปเป็นอาจารย์เซียนคอยสอนลูกศิษย์นอกสำนักอยู่ที่ศาลาหนานซง จนกระทั่งสามารถนำเจ้าล่าเยวี่ย หลิ่วสือซุ่ยและจิ๋งจิ่วเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักได้ พวกเขาจึงถูกเรียกตัวกลับไปยังยอดเขา ได้รับยาวิเศษ และบำเพ็ญเพียรเพื่อมุ่งบรรลุเข้าสู่สภาวะที่สูงขึ้นไป

ด้านหลังจิ๋งจิ่วยังสะพายกระบี่ ก็หมายความว่าเขายังไม่บรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์

เดิมด้วยอายุของเขาแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมาก แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเมื่อสามปีก่อน เขาได้แสดงความสามารถออกมาจนหลายคนตกตะลึง ทุกคนย่อมต้องคิดว่าหลังผ่านไปสามปี เขาควรจะบรรลุสู่สภาวะที่สูงขึ้นไปถึงจะถูก แน่นอนว่าความคาดหวังนี้ย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้สึกริษยาหรืออิจฉา

“ผู้มีปัญญาจำนวนมากนั้นบำเพ็ญเพียรจนรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วในตอนแรกสุด แต่เมื่อพลังแห่งเต๋าเริ่มลึกซึ้งเข้าใจได้ยาก ความก้าวหน้านั้นก็จะค่อยๆ ช้าลง จนกระทั่งอาจจะหยุดอยู่กับที่มิคืบหน้าไปไหน”

เซวียหย่งเกอมองดูบนหน้าผา ยิ้มเยาะพลางกล่าว “ในสามปีไม่มีความก้าวหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าว่าแล้วว่าเขาต้องเป็นคนแบบนี้”

ผ่านไปสามปี เซวียหย่งเกอได้บรรลุสภาวะขั้นตั้งมั่นจนบริบูรณ์ หลายวันก่อนได้รับความช่วยเหลือจากปรมาจารย์อาแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย จึงบรรลุเข้าสู่ขั้นสมความนึกคิดได้ เขารู้ว่าตนเองจะต้องถูกยอดเขาเหลี่ยงว่างเลือกและได้รับการถ่ายทอดเพลงกระบี่ที่แท้จริงอย่างแน่นอน เช่นนั้นหลังจากนั้นตัวเองจะต้องไล่ตามหรือก้าวข้ามจิ๋งจิ่วได้เป็นแน่

นี่ล้วนแต่เป็นความคิดของลูกศิษย์ธรรมดา แต่อีกหลายๆ คนกลับมิได้คิดเช่นนี้

ลูกศิษย์ที่อายุเท่านี้ส่วนใหญ่จะมีสภาวะต่ำกว่าขั้นสมความนึกคิด การที่พวกเขาคาดหวังจะให้จิ๋งจิ่วบรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์นั้น นอกจากความริษยาแล้วก็หาได้มีคำอธิบายอื่นไม่

ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเมื่อสามปีก่อน ภาพที่จิ๋งจิ่วเอาชนะกู้ชิงยังคงติดตาทุกคนอยู่ — วิถีกระบี่ย่อมต้องมีสภาวะเป็นรากฐาน แต่มิได้หมายความว่าต้องพึ่งพิงสภาวะไปเสียทั้งหมด จากศาลาหนานซงเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก จิ๋งจิ่วได้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนหลายอย่าง ไม่มีผู้ใดกล้าทำการวิเคราะห์ออกมาส่งเดช

สิ่งที่คนเหล่านั้นรู้สึกสงสัยยิ่งกว่าก็คือเหตุใดเขาจึงปรากฏตัว เพราะก่อนที่เขาจะออกไปท่องเที่ยวในโลกปุถุชน เขามิเคยออกจากยอดเขาเสินม่อมาก่อน

หลินอู๋จือมองเขาอย่างประหลาดใจพลางถามว่า “เจ้าไม่นั่งเหม่ออยู่ที่ยอดเขา แต่มาดูเรื่องสนุกด้วยเหมือนกันหรือ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเองก็จะรับศิษย์เหมือนกัน”

เพิ่งสืบทอดกระบี่ได้สามปีก็จะรับศิษย์? หลินอู๋จือคิดว่าคำพูดประโยคนี้ของเขามันช่างน่าขันยิ่งนัก แต่ในขณะที่คิดจะหัวร่อออกมา เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าเวลานี้จิ๋งจิ่วเป็นอาจารย์รุ่นที่สองของยอดเขาเสินม่อแล้ว เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะรับลูกศิษย์ เพียงแต่…ทำไมตัวเขายังรู้สึกว่ามันน่าขันล่ะ?

“ขั้นสมความนึกคิดก็รับลูกศิษย์ได้หรือ?” เขากล่าวถามอย่างไม่แน่ใจ

จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างมั่นใจ “หากกฎสำนักมิได้เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นก็ได้”

……

……

งานชุนนุมเฉิงเจี้ยนเริ่มขึ้น

เหล่าลูกศิษย์ที่ฝึกฝนอย่างยากลำบากอยู่ที่ริมธารสี่เจี้ยนมาสามปี ทยอยเดินขึ้นไปยังก้อนหินที่อยู่กลางลำธารตามลำดับในสมุดรายชื่อ จากนั้นแสดงวิถีกระบี่ที่ตนเองได้เฝ้าฝึกฝนมา

งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในปีนี้ยังคงเหมือนที่ผ่านมา มันเป็นทั้งเวทีสำหรับเลือกและถูกเลือก หลายๆ เรื่องได้ถูกตกลงกันอย่างลับๆ เป็นที่เรียบร้อยก่อนที่งานชุมนุมจะเริ่มขึ้น คนจากแต่ละยอดเขาถือสมุดเล่มเล็กเอาไว้พลางพูดคุยกระซิบกระซาบ เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนใช้สายตาที่เฝ้ารอคอยมองไปบนหน้าผา โดยหวังจะได้ยินชื่อของตนเอง

ยอดเขาเหลี่ยงว่างและยอดเขาเทียนกวงยังคงเป็นสถานที่ที่เหล่าลูกศิษย์อยากจะไปมากที่สุด

สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือในมุมที่เงียบสงบห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่งบนหน้าผาได้กลายเป็นจุดรวมของสายตาอันเร่าร้อนหลายคู่

เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้น

พวกเขาเพิ่งกลับมายังชิงซาน ย่อมไม่มีเวลาไปทำความรู้จักกับเหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่ริมธารเหล่านั้นล่วงหน้า แล้วก็ไม่รู้ว่าความกระตือรือร้นของศิษย์หนุ่มสาวเหล่านี้มาจากไหนกัน

สิ่งที่ทำให้ศิษย์เหล่านั้นรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างก็คือตรงมุมที่ห่างไกลผู้คนนั้นมิได้มีเสียงดังขึ้นเลย สุดท้ายพวกเขาก็ไม่มีโอกาสกลายเป็นศิษย์สืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ แต่ในความผิดหวังนั้นยังมีความโล่งใจอยู่ เพราะหากคนที่พูดขึ้นมาคือจิ๋งจิ่วจะทำอย่างไร? หรือตนเองต้องกลายเป็นศิษย์ของเขา?

บนผิวน้ำมีเงาร่างหนึ่งสะท้อนออกมา

สองข้างของหุบเขาที่เงียบสงบไปเป็นเวลาสามปีพลันมีเสียงร้องของเหล่าวานรดังขึ้นมาอีกครั้ง

เหล่าศิษย์ชิงซานรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจ

มีเพียงจิ๋งจิ่วที่รู้ว่าวานรเหล่านี้มาเพื่อให้กำลังใจเพื่อนบ้านของพวกมัน

คนที่ลงมายังกลางลำธารคือกู้ชิง

ผ่านไปสามปี เขากลายเป็นชายหนุ่มอย่างแท้จริง สีหน้าสงบนิ่ง ท่าทีดูมั่นใจ มีความสุขุมที่ดูไม่เข้ากับอายุ

เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงกลางลำธาร บริเวณหน้าผาพลันเงียบขึ้นมาทันที จากนั้นก็มีเสียงพูดคุยเบาๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน หลายคนยังมิลืมเลือน

กู้ชิงพ่ายแพ้ภายใต้กระบี่ของจิ๋งจิ่ว หลังจากนั้นก็ถูกขับออกจากยอดเขาเหลี่ยงว่างเพราะแอบเรียนเพลงกระบี่

ใครก็คิดไม่ถึงว่าในสามปีนี้เขาจะไม่อยู่ที่ริมธาร แล้วก็ไม่ได้คิดกลับไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง หากแต่ไปยังยอดเขาเสินม่อ

หลังจากนั้นเขาก็แทบจะไม่ปรากฏตัว ราวกับว่าหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในช่วงเวลาสามปีบนยอดเขาเสินม่อ กู้ชิงทำอะไรบ้าง

ผู้คนเพียงแต่มั่นใจว่าเขากับยอดเขาเหลี่ยงว่าง พูดให้ถูกก็คือเขากับกู้หานผู้เป็นพี่ชายของเขาคนนั้นผิดใจกันอย่างรุนแรง

สำหรับศิษย์หลายๆ คนแล้ว การตัดสินใจของกู้ชิงนั้นช่างโง่เขลายิ่งนัก

ตระกูลกู้พอจะมีอิทธิพลในชิงซานอยู่บ้าง ยิ่งยอดเขาเหลี่ยงว่างนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้เจ้าจะเป็นลูกนอกสมรสที่ถูกรังแก ต่อให้ต้องฝึกอยู่ที่ริมธารสี่เจี้ยนอีกสามปี ไฉนจึงต้องแตกหักเช่นนี้?

แต่ทุกคนรู้ว่ากู้ชิงจะต้องผ่านการสืบทอดกระบี่อย่างแน่นอน เมื่อสามปีก่อนเขาบรรลุสภาวะขั้นสมความนึกคิด แม้นในเวลาสามปีนี้จะไม่มีความก้าวหน้าเลยแม้เพียงนิดเดียว อีกทั้งยังถูกห้ามใช้เคล็ดกระบี่สุริยัน แต่ความสามารถของเขาจะต้องอยู่เหนือศิษย์ขั้นล้างกระบี่ที่อยู่ริมธารเหล่านี้อย่างแน่นอน

ผู้คนถึงขนาดคาดเดาได้แล้วว่าเขาน่าจะเลือกยอดเขาเสินม่อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากทำเช่นนั้นแล้ว ยอดเขาเหลี่ยงว่างและกู้หานผู้เป็นพี่ชายของเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงที่กู้ชิงถูกขับออกจากยอดเขาเหลี่ยงว่าง แล้วก็ทราบด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างจิ๋งจิ่วและกู้หานนั้นย่ำแย่อย่างมาก

สายตาหลายคู่มองไปยังบริเวณหน้าผาที่เหล่าศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างยืนอยู่

กู้หานยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง สีหน้าเฉยเมย มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร

สายตาเซวียหย่งเกอเองก็มองไปทางนั้นเช่นกัน

เมื่อมีสายตาหลายคู่ช่วยปกปิด ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าในชั่วพริบตาหนึ่ง เขาและกู้หานได้สบตากัน

เซวียหย่งเกอเข้าใจเจตนาของกู้หาน จึงสูดหายใจลึก แล้วก้าวเดินไปยังก้อนหินที่อยู่ในลำธาร

……

……

เซวียหย่งเกอไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะกู้ชิงได้

เขาอยู่ในสภาวะสมความนึกคิด แต่อีกฝ่ายบรรลุสภาวะสมความนึกคิดไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว

แต่เขาเชื่อว่าตนเองสามารถรุกรับกับอีกฝ่ายได้ และทำให้เหล่าอาจารย์ที่อยู่บนหน้าผาได้เห็นความก้าวหน้าของตนเอง ขณะเดียวกันก็เป็นการพิสูจน์ว่าสภาวะการบำเพ็ญเพียรของกู้ชิงนั้นหยุดนิ่งไม่ไปไหน

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีแผนการแอบซ่อนไว้อยู่ หากกู้ชิงประมาทศัตรู ไม่แน่เขาอาจจะเอาชนะได้จริงๆ ก็เป็นได้ อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าเขาจะกลายเป็นจุดสนใจในงานชุมนุมวันนี้หรอกหรือ?

เซวียหย่งเกอเรียกกระบี่บินออกมา สายตาจับจ้องไปยังกู้ชิงที่อยู่ตรงข้าม พลางกล่าวว่า “เชิญ”

พอสิ้นเสียง กระบี่บินก็แหวกอากาศออกไปกลายเป็นเงาลางๆ สายหนึ่ง พุ่งตรงเข้าไปหากู้ชิง

เขาเตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าควรจะรับมืออย่างไรหากกู้ชิงขี่กระบี่บินหลบหรือว่าปล่อยกระบี่โจมตีกลับ

แต่ภาพเหตุการณ์ที่เขาคิดเหล่านั้นกลับไม่เกิดขึ้น

เสียงที่ดังชัดเจนเสียงหนึ่งดังสะท้อนไปทั่วลำธาร

กระบี่ของเซวียหย่งเกอร่วงตกลงไปในน้ำอย่างแรงคล้ายก้อนหิน ผิวน้ำแตกกระเซ็นขึ้นมา

กู้ชิงยกกระบี่ในมือขึ้นมาดู ก่อนมั่นใจว่าตัวกระบี่มิได้เสียหาย จึงค่อยวางใจ

บนหน้าผาเงียบกริบ

สายธารหลั่งไหล ชะล้างตัวกระบี่ของเซวียหย่งเกอไม่หยุด

ไม่รู้เพราะเหตุใด หลายคนจึงรู้สึกเหมือนเคยเห็นภาพนี้ที่ไหนมาก่อน

หลินอู๋จือเองก็รู้สึกค่อนข้างคุ้นตา

คนที่อ่อนไหวต่อภาพเหตุการณ์นี้มากที่สุดคือเหล่าลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง

สีหน้ากู้หานดูแย่ยิ่งนัก

…………………………………………………………….