บทที่ 231 ไม่มีสิ่งใดเหลือ + บทที่ 232 ณ ราชสำนัก

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 231 ไม่มีสิ่งใดเหลือ

แม้จะผ่านไปเป็นเวลานาน แต่หลิงหลัวและจวนตระกูลเซียวก็ยังคงไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเหตุใดทงเป่าไจจึงจงใจเล่นงานพวกตน ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่หัวหน้าของทงเป่าไจก็ยังคงไร้ร่องรอย ไม่มีข่าวคราวอันใดเกี่ยวกับพวกเขาแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยุติเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสันติและสอบถามถึงเหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนั้น ซึ่งนั่นทำให้หลิงหลัวหงุดหงิดยิ่งนัก

หลิงหลัวตบฝ่ามือลงบนโต๊ะทำงานของตนด้วยกำลังมหาศาลจนเกิดเป็นหลุมลึกขึ้นบนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หมิงฟางรู้สึกเป็นห่วง

“พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ นายน้อย” แม้จะไม่มีหนทางในการเข้าไปเผชิญหน้าตรงๆ กับทงเป่าไจ ทว่าหมิงฟางก็ไม่อยากให้หลิงหลัวอารมณ์เสียอยู่เช่นนี้

“หมิงฟาง ให้คนสืบว่าก่อนที่ทงเป่าไจจะมาเล่นงานพวกเราทั้งสามตระกูลนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ตระกูลหลิงและตระกูลเซียวเกี่ยวดองกันอยู่ ทั้งสองตระกูลถูกเล่นงานในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจะต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะต้องมีความเกี่ยวพันอย่างยิ่งยวดกับตระกูลเฉียวด้วย

บัดนี้ เมื่อทั้งสามตระกูลถูกเล่นงานพร้อมๆ กัน นั่นหมายความว่าจะต้องมีสักเหตุการณ์ที่เชื่อมทั้งสามเข้าไว้ด้วยกัน

หลิงหลัวเป็นคนที่ชาญฉลาดมาก เขาสามารถคิดเรื่องนี้ออกได้ภายในเวลาอันสั้น

“ขอรับ นายน้อย” หลังจากหมิงฟางกลับออกไป หลิงหลัวก็ขมวดคิ้ว เหตุการณ์ใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือการกลับมาของท่านแม่ทัพซึ่งหายตัวไปอย่างยาวนาน และหัวหน้าตระกูลเฉียวก็เดินทางไปพบเขาทันทีที่เขากลับมา

เมื่อกล่าวถึงแซ่เฉียว หลิงหลัวก็คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ และคนผู้นั้นคือเฉียวเทียนช่าง

ดวงตาของหลิงหลัวเบิกกว้าง เขามีความคิดอย่างหนึ่งซึ่งแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่กล้านึกถึงเท่าใดนักปรากฏขึ้นในหัว

แต่ในไม่ช้าเขาก็เรียกลูกน้องของตนมาเพื่อให้ไปสืบหาว่าใครคือแม่ทัพผู้นั้นอยู่ดี

หากเฉียวเทียนช่างเป็นแม่ทัพผู้นั้นจริงๆ เช่นนั้นแล้วเขาจะมีความเกี่ยวข้องกับทงเป่าไจได้หรือไม่

ความคิดนี้ลอยวนเวียนอยู่ภายในใจของหลิงหลัวเป็นเวลานาน

เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้วขึ้นและมองหลินจือโยว “พวกเขาก็เลยกำลังสืบเรื่องนี้อยู่งั้นหรือ”

“ธุรกิจของหลิงหลัวยังสามารถประคับประคองต่อไปได้ในอีกสักระยะหนึ่งขอรับ แต่พวกเขาจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่หากยังยืดเยื้อเช่นนี้ต่อไป และคงจะแปลกถ้าหากเขาไม่ส่งใครมาสืบเรื่องนี้เลย” หลินจือโยวกล่าวถากถาง

เขาเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้นี่เองว่าพี่สะใภ้ของตนนั้นแท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์กับทงเป่าไจ เขารู้สึกว่านายท่านของเขานั้นยังได้เปรียบอยู่มากโข

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าข้าเองก็ควรจะเริ่มลงมือได้แล้วสินะ” เฉียวเทียนช่างพูดอย่างไม่แยแส

พวกมันอยากจะสืบเรื่องนี้งั้นหรือ ก็เอาสิ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากการโจมตีของเขา พวกมันจะยังมีเวลาพอให้สืบเรื่องนี้อยู่หรือเปล่า

ในตอนแรกหลินจือโยวตื่นเต้นจนตัวสั่น แต่ความตื่นเต้นนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เจ้านายของเขาช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก

หลังจากหมิงฟางกลับมา คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเป็นปม เมื่อเขาเห็นหลิงหลัว เขาก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกและยังคงมีท่าทีลังเลใจอยู่

“เกิดอะไรขึ้น” เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของหมิงฟาง หลิงหลัวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น

“ก่อนพวกเราจะถูกเล่นงาน ตระกูลเฉียวไปที่หมู่บ้านไป๋ซานเพื่อลักพาตัวคุณหนูหนิงขอรับ แต่พวกเขาโดนลอบสังหารตอนขากลับ ผู้ว่าจ้างที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารมาจากจวนตระกูลเซียวขอรับ” หลังจากหมิงฟางเล่าจบ เขาก็ก้มหน้าลง สัมผัสถึงแรงโทสะซึ่งแผ่ออกมาจากหลิงหลัวได้อย่างชัดเจน

หลิงหลัวนิ่วหน้า “เจ้ากำลังบอกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเซียวจื่อเซวียนหรือ”

“ขอรับ หลังจากทราบว่าคุณหนูหนิงถูกตระกูลเฉียวพามาที่เมืองหลวง นางจึงอยากใช้โอกาสนั้นสังหารนางเสีย แต่ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับคุณหนูหนิงนอกเสียจากการที่นางแท้งบุตรไปเพราะเหตุการณ์นั้นขอรับ” หมิงฟางนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้จึงกล่าวต่อ “แล้วก็มีอีกเรื่องขอรับ ตอนที่คุณหนูหนิงแต่งงาน เจ้าสำนักอวี้หลินซานกับภรรยาของเขา รวมถึงคุณหนูมู่กับนายน้อยมู่ก็มาร่วมพิธีแต่งงานของนางด้วยเช่นกัน แต่พวกเขากลับไปทันทีหลังจากเสร็จพิธีขอรับ”

หลิงหลัวเซถอยหลังไปสองสามก้าว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เรื่องพรรค์นี้จะเป็นไปได้เช่นใดกัน

ความคิดของหลิงหลัวพันกันยุ่งเหยิง จนเขาคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง

“เฉียวเทียนช่างคือท่านแม่ทัพใหญ่หรือเปล่า” หลิงหลัวถามเสียงดัง

“ใช่ขอรับ เหตุผลที่เขากลับมารับตำแหน่งที่เมืองหลวงนั้นก็เป็นเพราะเขาทราบเรื่องที่คุณหนูหนิงแท้งบุตรขอรับ” หมิงฟางบอกทุกสิ่งที่เขาสืบค้นมาได้ให้หลิงหลัวฟัง

เมื่อหลิงหลัวได้ยินว่าหนิงเมิ่งเหยาแท้ง ดวงตาของเขาก็ฉายความเป็นห่วงขึ้นมาวูบหนึ่ง

รายชื่อคนที่หมิงฟางกล่าวขึ้นมาเมื่อสักครู่นั้นคือเหล่าหัวหน้าของทงเป่าไจ พวกเขามาร่วมงานแต่งบ่าวสาวด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาต้องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างแน่นอน ข้าควรทำเช่นไรต่อไปดี

บทที่ 232 ณ ราชสำนัก

เห็นได้ชัดเจนว่าเฉียวเทียนช่างและคนอื่นๆ มาเพื่อแก้แค้น ด้วยความช่วยเหลือจากทงเป่าไจ ทั้งสามตระกูลนั้นไร้ซึ่งพลังใดๆ ในการรักษาธุรกิจของตนเอาไว้

แต่คนจากทงเป่าไจเกี่ยวข้องอย่างไรกับเฉียวเทียนช่างล่ะ หรือพวกเขามีความเชื่อมโยงกับหนิงเมิ่งเหยางั้นหรือ หากเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นแล้วนางไปรู้จักคนพวกนั้นได้อย่างไร และเหตุใดเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้

คำถามหลายคำถามตามกันมาติดๆ และหมิงฟางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านขอรับ อนุเซียว…”

เมื่อได้ยินชื่อของเซียวจื่อเซวียน ดวงตาของหลิงหลัวก็ฉายประกายแห่งความรังเกียจขึ้นมาชั่วขณะ เพื่อการจะขึ้นเป็นซื่อจื่อของตระกูล เขาจึงไม่สามารถใช้ชีวิตให้ตรงกับสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาคาดหวังไว้ได้ บัดนี้ เพราะความอิจฉาริษยาของเซียวจื่อเซวียน สิ่งที่นางทำนั้นล้วนลากพวกเขาให้ต้องตกลงสู่นรกอันยากที่จะหาทางออกนี้ได้

“ข้าจะไปพบท่านพ่อก่อน แล้วบอกให้เขาเตรียมใจ” เขารู้สึกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาต้องเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างแน่นอน

เขาไม่คิดว่าเฉียวเทียนช่างจะกดดันพวกเขาในด้านนี้เพียงด้านเดียว หากเป็นเช่นนั้น เฉียวเทียนช่างก็คงไม่ถึงกับต้องกลับมารับตำแหน่งของตนอีกครั้งแน่ ในเมื่อตอนนี้เขากลับมาแล้ว จึงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นภายในราชสำนักแน่

สิ่งที่หลิงหลัวรู้นั้น เซียวอี้หลินเองก็ส่งคนไปสืบได้ความมาเช่นกัน หลังจากรู้เหตุร้ายที่เกิดขึ้น ดวงตาของเซียวอี้หลินก็ปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว

เฉียวเทียนช่างและภรรยาของเขามีเงื่อนงำความสัมพันธ์ร่วมกันกับทงเป่าไจ ในที่สุดเซียวอี้หลินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนี้ทงเป่าไจจึงมาเล่นงานพวกเขา ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าคืออะไร แต่ก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่หลายเรื่อง

หากทงเป่าไจกดดันพวกเขาโดยตรง เขาก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องพรรค์นั้นนัก ทว่าเมื่อมันกลายเป็นการละเล่นของแมวกับหนูเช่นนี้ ยิ่งมีแต่ทำให้เขารู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก  เขารู้สึกราวกับว่าตนกำลังมองข้ามบางสิ่งไป

หลังจากหนิงเมิ่งเหยาได้ข่าวจากอวี้เฟิง คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ตอนที่เฉียวเทียนช่างเดินเข้ามาจากด้านนอก เขาสังเกตเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยากำลังขมวดคิ้วอยู่ แต่เขาก็ดูไม่ออกว่านางกำลังคิดเรื่องใด จึงเดินเข้าไปหาแล้วโอบเอวนางเอาไว้ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้นางขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก

หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจ “ก็เพราะพวกพี่เขยน่ะสิพวกเขาทำให้จวนตระกูลเซียวกับจวนตระกูลหลิงรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรากับเขาแล้ว” แล้วตอนนี้ตระกูลพวกนั้นก็คงเดาสาเหตุที่ทงเป่าไจเล่นงานพวกตนออกจนได้

แน่นอนว่านางเตรียมพร้อมสำหรับเวลาที่ความแตกเอาไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วเช่นนี้

“ไม่เป็นไร ได้เวลาพอดี” เฉียวเทียนช่างเผยรอยยิ้มเย็นเยือก เขาอยากเห็นนักว่าวันพรุ่งนี้พวกมันจะทำเช่นไร

หนิงเมิ่งเหยาเงยหน้ามองเขา “เจ้าจะลงมือแล้วหรือ”

“ใช่ มันถึงเวลาแล้ว”

“เช่นนั้นข้าจะบอกให้พี่เขยข้าและคนอื่นๆ เร่งมือ” หนิงเมิ่งเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมาเช่นนั้น ความเจ็บปวดที่ตระกูลพวกนั้นกำลังประสบอยู่มันเทียบไม่ได้กับที่พวกเขารู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียว

เฉียวเทียนช่างยิ้มและพยักหน้า

เช้าวันต่อมา ในขณะที่หนิงเมิ่งเหยากำลังหลับสนิท เฉียวเทียนช่างก็แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบประจำตัวซึ่งเตรียมไว้สำหรับการไปราชสำนักเป็นที่เรียบร้อย

ก่อนออกจากบ้าน เขาสั่งให้ชิงเสวี่ยและคนที่เหลือเตรียมโจ๊กสมุนไพรให้กับหนิงเมิ่งเหยา และปล่อยนางพักผ่อนให้เต็มที่จนกว่าจะตื่นขึ้นมาเอง

หลังจากนั้น เขาก็ก้าวยาวๆ ตรงขึ้นหลังม้า ก่อนควบมันออกไป มุ่งหน้าสู่วังหลวง

มันเป็นเวลาเช้าตรู่ในตอนที่เซียวชวี่เฟิงเห็นเฉียวเทียนช่างผู้ซึ่งไม่มาปรากฏตัวในราชสำนักอีกเลยนับตั้งแต่วันที่เขากลับมา แต่เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ เขาก็โผล่มาเช่นนี้ เซียวชวี่เฟิงก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขาคงกำลังวางแผนที่จะลงมือแล้ว

“ทุกท่านมาเข้าเฝ้าโดยพร้องเพรียงกันวันนี้เพื่อถวายรายงานแด่ฮ่องเต้ และจะไม่มีผู้ใดออกจากราชสำนักได้จนกว่าพิธีการนี้เสร็จสิ้น”

หลังจากคนอื่นๆ รายงานความเคลื่อนไหวและความคืบหน้าของตนเสร็จ พลันเฉียวเทียนช่างก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้น “ฝ่าบาท กระหม่อมมีข่าวหลายเรื่องที่พระองค์ควรจักได้ตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ

เซียวชวี่เฟิงยังคงนิ่งเงียบ เขาส่งสัญญาณให้กับขันที ขันทีผู้นั้นเดินมาหาเฉียวเทียนช่างก่อนหยิบบันทึกและสมุดในมือของเขาไป

ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดวันนี้ท่านแม่ทัพจึงอยู่ที่นี่ และเหตุใดจึงปรากฏตัวในลักษณะนี้

ขณะที่ทุกคนต่างยังคงรู้สึกสับสนอยู่นั้น เซียวชวี่เฟิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนั้นมีสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

การรู้เรื่องกับการได้เห็นหลักฐานเองกับตานั้นแตกต่างกันคนละเรื่อง

“ดีมาก ดีจริงๆ ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่ข้ายอมให้หลายตระกูลตระเตรียมกองทัพของตนเอง หรือเมื่อใดกันที่ข้ายอมให้มีการยักยอกเงินจากประชาชนเป็นจำนวนหลายล้านตำลึงเงิน” เซียวชวี่เฟิงจ้องเขม็งไปยังประมุขตระกูลหลิงและตระกูลเซียวด้วยความโกรธ

เมื่อถูกฮ่องเต้จ้องมา สีหน้าของชายทั้งสองก็เปลี่ยนไปในทันที โดยเฉพาะหลิงอ๋อง เขาตระหนกตกใจสุดขีด จริงอยู่ที่เขาทำเช่นนั้น แต่มันถูกทำอย่างลับๆ เฉียวเทียนช่างรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร