บทที่ 233 การพิพากษา
สำหรับประมุขตระกูลเซียว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ จากท่าทางขององค์ฮ่องเต้ ตระกูลที่ยักยอกเงินหลายล้านตำลึงเงินจะต้องมาจากจวนตระกูลเซียวของเขาแน่นอน
“ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะข้าถูกใส่ร้ายพะยะค่ะ” หลิงอ๋องคุกเข่าลงกับพื้นในทันทีและร้องขอความเมตตาโดยไม่สนว่าผู้อื่นจะมองเขาด้วยสายตาเช่นใด
ตราบใดที่เขาไม่ยอมรับ เซียวชวี่เฟิงจะทำอะไรเขาได้
เซียวชวี่เฟิงมองหลิงอ๋องด้วยความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุอยู่ในดวงตาของตน ทว่าใบหน้าของเขายังคงเย็นชาดุจน้ำแข็ง “ไม่ว่าเจ้าจะถูกใส่ร้ายหรือไม่ ดูสิ่งนี้เสีย ก่อนที่เจ้าจะกล่าวอะไรออกมาอีก” เขาว่าพลางโยนสมุดในมือลงพื้น เมื่อหลิงอ๋องเห็นมัน ความสงสัยก็บังเกิดขึ้นภายในใจ พวกเขาหาหลักฐานเรื่องนี้เจอแล้วหรือ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้
หลิงอ๋องสันนิษฐานว่าเซียวชวี่เฟิงคงกำลังขู่ให้เขากลัว ตามลักษณะนิสัยของเซียวชวี่เฟิงนั้น หากเขามีหลักฐานอยู่กับตัว เขาก็คงต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่เหตุใดจึงทำเฉยอยู่จนถึงตอนนี้ได้เล่า
ยิ่งคิดว่าเป็นเช่นนั้นมากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นมากขึ้น เขาตั้งสติอย่างรวดเร็วก่อนหยิบเอาสมุดซึ่งอยู่บนพื้นขึ้นมาดู ตอนแรกเขายังคงสามารถครองสติไว้ได้ในระหว่างที่กวาดสายตามองเนื้อหาในนั้น ทว่าฉับพลันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ท้ายเล่ม ดวงตาเขาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
เมื่อเห็นสีหน้าของหลิงอ๋อง เฉียวเทียนช่างก็อดไม่ได้ที่จะเยาะขึ้นมา “หากหลิงอ๋องยังคงยืนกรานว่าตนถูกใส่ร้าย ข้าจะบอกท่านเองว่าข้าพบคนจำนวนเท่าใด และข้าพบพวกเขาที่ไหนกัน”
หากหลิงอ๋องยังปฏิเสธต่อไปเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วตลอดหลายปีมานี้ชีวิตที่เขาใช้ไปก็คงเปล่าประโยชน์ยิ่ง
หลิงอ๋องทรุดลงบนพื้น สมุดร่วงลงจากมือขณะตกอยู่ในสภาพนิ่งอึ้งตะลึงงัน
เมื่อเซียวอ๋องเห็นหลักฐาน สีหน้าของเขานั้นพลันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง นี่มันเป็นเรื่องจริง และยิ่งกว่านั้น ผู้ที่กระทำเรื่องนี้คือเซียวหมิงเหริน บุตรชายของเขาเอง
เขามองสมุดในมือด้วยความโกรธซึ่งแผดเผาอยู่ภายในดวงตาทั้งสองข้าง ทั้งสีหน้ายังดูบิดเบี้ยวและน่าสะพรึงกลัว เจ้าหมอนั่นมันคิดว่าที่บ้านสงบสุขเกินไปจนต้องหาเรื่องมาให้พวกเขางั้นหรือ
และในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งไม่ติดที่เพราะข่าวที่เพิ่งได้รู้ทั้งสองเรื่องนั้น จู่ๆ เฉียวเทียนช่างก็เอ่ยขึ้น “ตระกูลเฉียวซ่องสุมกำลังพลสร้างกองทัพของตน และยังลักลอบค้าเกลือเป็นจำนวนกว่าเจ็ดสิบส่วนของการลักลอบค้าเกลือภายในเมืองของเรา ฝ่าบาท โปรดตัดสินโทษอันรุนแรงให้สมกับความผิดของพวกเขาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเฉียวเทียนช่างนั้นเย็นเยียบ ราวกับสายลมเยือกแข็งในฤดูเหมันต์ พวกเขาไม่อยากเชื่อแม้สักนิดว่าเฉียวเทียนช่างจะกล้าแตะต้องตระกูลเฉียวจริงๆ
ในเวลาเดียวกันขณะทุกคนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามนั้น พวกเขาก็กำลังสงสัยว่าระหว่างจวนตระกูลหลิง จวนตระกูลเซียว หรือจวนตระกูลเฉียวกันแน่ที่ไปกระตุกหนวดเสือของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้เข้า หากไม่มีใครทำเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงไปหาเรื่องคนพวกนั้นทันทีที่กลับมากันเล่า มันไม่ใช่สิ่งที่เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วหรือ
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่เซียวชวี่เฟิงรู้ดีว่าเฉียวเทียนช่างจะไม่ปล่อยให้เรื่องจบเช่นนี้แน่ ดังนั้นเขาจึงกล่าวขึ้น
“หลิงอ๋อง เห็นแก่คุณงามความดีที่เจ้าเคยกระทำไว้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ถึงแม้โทษของการคิดรุกรานเมืองหลวงจะได้รับการละเว้น ทว่ามันคงเป็นการยากที่จะไม่ลงโทษเจ้าได้ ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยการโบยหลังหนึ่งร้อยที และถอดยศขุนนางของเจ้าเสีย หากยังมีครั้งถัดไป เจ้าจะไม่ได้รับการละเว้นและจะถูกสั่งตัดหัวทันที เซียวหมิงเหรินแห่งจวนตระกูลเซียวนั้นยักยอกเงินที่ควรจะได้ใช้บรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจะต้องถูกประหารในทันที” เซียวชวี่เฟิงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาพลางมองหลิงอ๋องและเซียวอี้หลินที่อยู่เบื้องล่าง
หลังจากนั้น เขาก็ตรัสขึ้นอีกครั้ง “ตระกูลเฉียวสร้างกองทัพของตนเองและลักลอบค้าเกลือ ให้ประหารสามชั่วโคตร รุ่นหลังจากนั้นจักต้องถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินนี้”
บทลงโทษนี้นับว่าเป็นโทษเบานักหากเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลักลอบค้าเกลือซึ่งควรจะเป็นการประหารเก้าชั่วโคตร ทว่าโทษที่ได้รับในครานี้นั้นครอบคลุมเพียงสามชั่วโคตรเท่านั้น เพียงแค่นี้ก็นับว่าเป็นความเมตตาจากสวรรค์ยิ่ง
และบทลงโทษในการถอดหลิงอ๋องออกจากบรรดาศักดิ์ขุนนางเพราะการซ่องสุมกำลังพลของตนนั้นก็นับว่าเป็นโทษที่เบาเหลือเกิน
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เซียวอ๋องดูแก่ขึ้นภายในเสี้ยววินาที เซียวหมิงเหรินนั้นเป็นบุตรชายที่เกิดกับภรรยาคนแรกของตน และเป็นลูกที่ตนรักมากที่สุด โดยปกติแล้วนั้นเขาไม่ใช่คนที่ไว้ใจไม่ได้เช่นนี้ แต่ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็กระทำความผิดเช่นนั้นลงไป
“วันนี้พอแค่นี้ เลิกประชุมได้” เซียวชวี่เฟิงเอ่ยอย่างเคร่งเครียดพลางเดินออกไปด้วยท่าทีเย็นชา
เฉียวเทียนช่างลุกยืน แล้วเมื่อเขาเดินผ่านเซียวอี้หลิน มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายและกระหายเลือด “นี่คือความหมายของคำว่าสู้จนเฮือกสุดท้ายยังไงล่ะ” เขากล่าวก่อนกลับไป
การได้ยินคำพูดนั้นทำเอาสีหน้าของเซียวอ๋องเผยความเสียใจออกมาอย่างปิดไม่มิด ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงพิพากษาบทลงโทษอันเบาแสนเบาให้กับตระกูลหลิงและตระกูลเซียว เพราะเฉียวเทียนช่างกับภรรยาของเขาคงไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาได้ตายไวแน่นอน
เซียวอี้หลินเดาได้ถูกต้อง จริงดังนั้น เฉียวเทียนช่างไม่ต้องการให้เขาและคนอื่นๆ ได้ตายในเร็วๆ นี้ หากพวกมันตายเร็วเกินไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสัมผัสความหฤหรรษ์ในการล้างแค้นได้เช่นไร
บทที่ 234 เชิดชูความยุติธรรมไว้เหนือตระกูล
หลังกลับจากราชสำนัก เฉียวเทียนช่างก็ตรงไปยังห้องทรงพระอักษร เซียวชวี่เฟิงและเซียวฉีเทียนนั้นรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเฉียวเทียนช่างเข้ามา เซียวชวี่เฟิงก็รู้สึกปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองพลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพอใจกับบทลงโทษหรือยัง”
“แน่นอนว่าข้าต้องพอใจอยู่แล้ว ว่าแต่ชวี่เฟิง เจ้าอยากเห็นหรือไม่ว่าหลิงอ๋องนั้นเป็นคนละโมบเพียงใด” เฉียวเทียนช่างพยักหน้าแล้วมองเซียวชวี่เฟิงด้วยรอยยิ้มจางๆ กับใบหน้าอันเต็มไปด้วยแววเหมือนถากถาง
เซียวชวี่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“การจะจัดตั้งกองทัพอันมีทหารหลายแสนนายด้วยตนเองนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้ในเวลาสั้นๆ เป็นแน่ และเพื่อจับปลาตัวใหญ่เช่นนี้ ข้าจึงยังไม่ให้เจ้าเคลื่อนไหวอะไรอันจะเป็นการขัดขวางตระกูลของพวกมัน” เขาไม่เชื่อว่าหลิงอ๋องจะตั้งกองทัพหลายแสนนายนี้ขึ้นมาเองโดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องชีวิตของตน ถ้าหากนั่นเป็นความจริง เขาก็คงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงใช้ทางนี้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงน่าจะมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือเขามีจุดประสงค์ซ่อนเร้นบางประการซึ่งเขาไม่สมควรจะมี
“เจ้าคิดอะไรออกอีกหรือ”
“นี่เป็นเพียงแค่ร่องรอยเล็กๆ เท่านั้น ข้ายังไม่ได้สืบให้ละเอียด หากถึงเวลาข้าจะมาบอกเจ้าเอง และข้าเชื่อว่าสิ่งที่ข้าพบจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน” เฉียวเทียนช่างบอกเขาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
เซียวชวี่เฟิงพูดไม่ออกขณะมองเฉียวเทียนช่างผู้ซึ่งเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกอับจนคำพูด แต่ก็กล่าวออกไปว่า “การยั่วโมโหเจ้ากับภรรยานั้นช่างเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลานัก”
“เช่นนั้นบอกข้าสิ เหตุผลที่เจ้ามาที่นี่คือเรื่องใดกัน” เขาไม่เชื่อว่าเฉียวเทียนช่างจะมาหาเขาเพียงเพราะอยากจะมาคุยเรื่องนี้เฉยๆ
“ให้ข้าดูแลเรื่องการประหาร”
สีหน้าบนใบหน้าของเซียวชวี่เฟิงและเซียวฉีเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาทั้งสองมองเฉียวเทียนช่างอย่างงุนงง “เจ้าแน่ใจหรือ แน่ใจนะว่าไม่ได้ล้อพวกข้าเล่น”
“ข้าดูเหมือนล้อเล่นรึ เมื่อทั้งแผ่นดินรู้เรื่องทุกอย่างที่ตระกูลเฉียวเคยก่อไว้โดยมีข้าเป็นผู้ดูแลเรื่องการประหารเช่นนี้ ชาวบ้านจะต้องเล่าลือกันว่าข้านั้นเชิดชูความยุติธรรมไว้เหนือคำว่าตระกูลเป็นแน่” เฉียวเทียนช่างไม่แยแส
แล้วจะเป็นอย่างไรหากคนอื่นบอกว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นแทนเล่า เฉียวเทียนช่างนั้นจะเป็นคนใจดีก็ต่อเมื่ออยู่กับคนที่ปฏิบัติต่อเขาดีเท่านั้น และเขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติดีต่อคนที่ทำตรงกันข้าม
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะส่งเรื่องนี้ให้เจ้าเป็นผู้ดูแล” หลังจากคิดทบทวนราวสองตลบ ในที่สุดเซียวชวี่เฟิงจึงตัดสินใจยอมให้เฉียวเทียนช่างเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้
“ส่วนเรื่องเกี่ยวกับอีกสองตระกูล…”
“หลิงอ๋องคงตระหนักได้แล้วว่าสิ่งที่พวกมันได้รับวันนี้เป็นเพราะเซียวจื่อเซวียนเพียงผู้เดียว เจ้าคิดว่าเขาจะทำอย่างไร” เซียวจื่อเซวียนนั้นเป็นหญิงเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเป็นคนที่โง่เขลาเบาปัญหามาก หากหลิงอ๋องลงไม้ลงมือกับนาง นางคงต้องหนีกลับไปจวนตระกูลเซียวอย่างแน่นอน
และเพราะนาง ตอนนี้จวนตระกูลเซียวจึงต้องแบกรับความเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าเซียวอ๋องและภรรยาของเขาจะรักและเอ็นดูนางมากเพียงใด แต่ก็คงจะถึงวันแตกหักในไม่ช้า และพวกเขาก็แค่รอชมสิ่งที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น
เซียวชวี่เฟิงเบิกตามองเฉียวเทียนช่าง “เจ้าวางแผนเรื่องนี้ไว้ด้วยเหมือนกันหรือ”
“จวนตระกูลเซียวกุมความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเมืองเราอยู่ หากหลิงอ๋องมีจุดประสงค์ซุกซ่อนอยู่จริง เพื่อเอาชนะใจหลิงหลัวและคนอื่นๆ ในเวลานั้นเซียวจื่อเซวียนจะต้องทำให้แผนการนี้สนุกขึ้นแน่ หากนางทำเช่นนี้จริง เมื่อเวลานั้นมาถึงพวกเราก็จะสามารถเอามันมาใช้เป็นข้อได้เปรียบในการทำให้เรื่องทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของเราได้” เฉียวเทียนช่างพูดความคิดของตนให้เซียวชวี่เฟิงฟัง
เขาไม่ใช่คนขาดความรอบคอบอย่างที่ใครๆ คิด แต่เป็นคนที่ไตร่ตรองเรื่องต่างๆ ได้อย่างพิถีพิถันต่างหาก ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดในการลงโทษเมื่อครู่นั้น เซียวชวี่เฟิงได้บอกกับเขาเอาไว้เบื้องต้นแล้ว
เหตุผลที่เขาให้เซียวชวี่เฟิงลงโทษจวนตระกูลเซียวสถานเบา ก็ด้วยสาเหตุนี้ นี่จะทำให้เกิดเป็นชนวน และสุดท้ายผลลัพธ์ของมันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเซียวจื่อเซวียนจะมีความสามารถมากเพียงใด
เซียวชวี่เฟิงรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ ตอนนี้เขาดีใจอย่างหาใดเปรียบมิได้ที่ตนนั้นเป็นพี่น้องของเฉียวเทียนช่าง ทุกอย่างที่เขาทำลงไปนั้นล้วนแต่ทำเพื่อตน หากมิใช่เช่นนั้น การมีคนแบบเขาอยู่ข้างกายคงจะเป็นสิ่งที่อันตรายเกินกว่าจะรับไหว
“เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น” เซียวฉีเทียนอดถามไม่ได้
สำหรับความลับที่เซียวอี้หลินมีอยู่ในมือนั้น พวกเขาไม่พลาดที่จะวางแผนในการเอามันกลับคืนมา แต่ยังไม่เคยมีโอกาสให้ทำเช่นนั้นได้ง่ายๆ ด้วยเพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ฮ่องเต้ต้องไปก้มหัวให้กับจวนตระกูลเซียว หากพวกเขาสามารถเอามันกลับมาได้ ก็คงจะไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านั้นแล้ว
“ไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าหลิงอ๋องจะเกลียดเซียวจื่อเซวียนได้มากเพียงใด เราต้องรอดูกันว่าหลิงอ๋องจะใจดีเพียงใดกัน” ทว่าเฉียวเทียนช่างไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ สำหรับคนที่สามารถก่อตั้งกองทัพหลายแสนนายได้เช่นนี้ คงจะเป็นไปไม่ได้หากเขาไม่ได้มีจุดประสงค์อันเห็นแก่ตัวสักอย่างอยู่ในใจ
ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย และใช้เวลาทั้งหมดไปกับการรอคอย
เซียวฉีเทียนและพี่ชายต่างมองหน้ากัน และเห็นความตกใจในดวงตาของกันและกัน
“เทียนช่าง ตอนนี้ข้าดีใจอย่างหาใดเปรียบมิได้ที่พวกเราเป็นพี่น้องกัน” เซียวชวี่เฟิงไม่ปกปิดความรู้สึกของตนและกล่าวกับเฉียวเทียนช่าง