ภาคที่ 3 บทที่ 68 ใช้โจรสลัดสู้โจรสลัด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 68 ใช้โจรสลัดสู้โจรสลัด

ที่บนดาดฟ้าเรือ คนหลุ่มใหญ่กำลังนั่งคุกเข่าให้ซูเฉิน คือพวกโจรสลัดที่ยอมแพ้นั่นเอง

“มีทั้งหมด 162 คน ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ 1 คน ด่านกลั่นโลหิต 18 คน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 41 คน ที่ตายไปมีผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ 1 คน ด่านกลั่นโลหิต 5 คน และด่านก่อเกิดลมปราณอีก 12 คน” กังเหยียนรายงานรายชื่อให้ซูเฉินฟัง

ซูเฉินเหลือบมองโจรสลัดที่คุกเข่าอยู่ใกล้เขาที่สุด

คือผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณถือดาบนามว่าเจียวอิ่นกวง มีสายเลือดอสูรเคียวหิน แข็งแกร่งไม่น้อย

ซูเฉินร็แล้วว่าโจรสลัดที่พวกเขากำราบในวันนี้มีชื่อว่ากองกำลังสามสายธาร เป็นโจรสลัดระดับกลางในแถบบึงหลิงหยวน มีชื่อเสียงอยู่บ้าง หากแต่วันนี้กลับถูกกวาดล้างสิ้น

“เจ้าคิดจะจัดการคนพวกนี้อย่างไร ? จะสังหารหรือจะส่งตัวให้กับทางการ ?” ถังหมิงถามขึ้น

ถังหมิงเย่อหยิ่งเสมอต้นเสมอปลาย หากแต่ยามกลับออกมาจากซากโบราณลุ่มน้ำทอง ซูเฉินก็กลายเป็นคนที่อย่างน้อย ๆ เขาก็ให้ความนับถือ แต่หากฟังเหตุผลเขา เขาก็จะเอ่ยว่าเคารพเพียงวิธีการจัดการปัญหาของอีกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องพละกำลัง…… ฮ่า ๆ ตอนนี้ทุกคนอยู่ด่านกลั่นโลหิต จะใช้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังมากดข่มผู้อื่นไม่ได้อีกต่อไป

ที่เขาถามซูเฉินเพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะรับมืออย่างไร

ซูเฉินตอบ “ส่งให้ทางการหรือ ? ข้าก็คนของทางการ ยังต้องส่งให้ใครอีก ? ส่วนเรื่องสังหาร……”

เขาจงใจเอ่ยยืดคำ พวกโจรสลัดเบื้องล่างพากันเกร็งร่าง บ้างกระทั่งร้องไห้ด้วยความกลัว เอ่ยร้องขอความเมตตา

“คนมากนัก ฝีมือก็มากเช่นกัน สังหารไปก็เสียดายเปล่า อีกทั้งเราก็ประกาศแล้วว่าหากยอมเราจะไม่สังหารคน กลืนน้ำลายตนเองไม่เหมาะกระมัง”

ทุกคนจึงถอนหายใจโล่งอก

มีเพียงเจียงหานเฟิงที่ยกยิ้ม “ตอนท่านสังหารตัวหัวหน้าไม่ยักบอกว่าจะรักษาคำพูด”

อู๋เสี่ยวเตะอีกฝ่ายเป็นเชิงเตือนว่าไม่ใช่เวลาสหายหยอกล้อกัน แต่ซูเฉินไม่ใส่ใจ “เรื่องเช่นนี้ก็เคยมีตัวอย่างมาก่อน เจ้าไม่คิดงั้นหรือกังเหยียน ?”

กังเหยียนเกาหัวยิ้มอายเล็กน้อย “ขอรับ ส่งพวกเขามาให้ข้า ข้าฝึกพวกเขาให้กลายเป็นคนของนายท่าน พวกเจ้าเองก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ ?”

ลูกน้องในปัจจุบันของซูเฉินคืออดีตโจรป่า เมื่อเพิ่มโจรสลัดเข้าไปด้วยก็ไม่นับว่าแปลกนัก

โจรป่าคนหนึ่งเอ่ยเสียงดัง “เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก หากติดตามนายท่านเราย่อมไร้เภทภัยใดกล้ำกลาย พวกข้าเคยเป็นโจรป่าในอำเภอสี่ที่ราบ แต่ถูกนายท่านจับตัวไว้เพราะคิดจะปล้นเขา สุดท้ายกลายเป็นข้ารับใช้ นายท่านยังมอบวิชาลึกลับให้อีกด้วย เจ้าเห็นร่างแปลงปลามังกรเมื่อก่อนหน้าหรือไม่ ? เป็นวิชาที่นายท่านมอบให้พวกข้านั่นล่ะ”

“ใช่แล้ว หากเจ้าเชื่อฟัง ทำตนมีประโยชน์ ก็นับว่ายังรักษาชีวิตต่อไปได้”

“แต่หากใครคิดเป็นนกสองหัว ทรยศนายตน ข้าสาบานว่ามันผู้นั้นจะต้องพบกับชะตากรรมที่เจ็บปวดกว่าความตายนับพันเท่า”

“ฮ่า ๆ จริง ๆ แล้วนายท่านชอบให้มีคนหักหลังอยู่นะ เขาบอกว่าตัวทดลองไม่พอตลอดเลย”

“ใช่แล้ว แต่เป็นตัวทดลองก็ไม่แย่นะ หากโชคดีก็จะเป็นเหมือนรองหัวหน้าเฉิง แข็งแกร่งขึ้นแบบพุ่งทะยาน”

“ฮ่า ๆ เจ้าพูดถูก !”

พวกโจรป่าเริ่มหัวเราะคิกคักในหมู่ตน

ซูเฉินมักเข้มงวดกวดขันอยู่ตลอด ย่อมไม่มีใครเชื่อซูเฉินไม่ได้เป็นคนสั่งให้พวกโจรหัวเราะคิกคักเช่นนี้

แต่พวกโจรสลัดไม่รู้ ได้ยินแล้วในใจจึงมีหวัง พากันร้องตะโกน “พวกเราพร้อมตายเพื่อนายท่าน!”

ซูเฉินเอ่ยเสียงคร้าน “หากพวกเจ้าเชื่อฟังงั้นก็ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องตายเพื่อข้าหรอก หากไม่กลัวตายจริงก็คงไม่ยอมแพ้ตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในกำมือข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าจะยอมขายชีวิตให้หรือไม่ เจ้าอาจจะยังไม่รู้บางอย่าง แต่สุดท้ายก็จะได้รู้เอง ก็เหมือนที่เจ้าพวกนั้นว่า ข้าชอบเวลามีคนทำผิดนัก กังเหยียนฝึกพวกมันมาดีเกินไป ตอนนี้พวกมันไม่ทำผิดพลาดอีก ข้าจึงขาดตัวทดลอง แต่หากพวกเจ้าใจกล้าพอก็ลองท้าทายข้าดูได้”

โจรสลัดทั้งหลายต่างใจสั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่านายท่านผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ นั่งรอให้ลูกน้องตนเองทำผิดเช่นนี้ อีกทั้งอดีตโจรป่ายังถูกฝึกจนกลายเป็นทหารคุ้มภัยคฤหาสน์ไปแล้ว เดิมทีควรจะเหลวแหลกไม่เป็นระบบ แต่ตอนนี้กลับมีประโยชน์ยิ่ง นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ

ซูเฉินไม่อยากให้พวกโจรสลัดรู้ว่าเขาเอ่ยความหมายถึงสิ่งใด “เอาล่ะ รวมคนไว้แล้วพาลงไปด้านล่าง ข้าปรุงยาเสร็จแล้วก็นำตัวไปฝึกฝนได้”

“ขอรับ” คนผู้หนึ่งก้าวขึ้นมาด้านหน้า ก่อนจะนำคนทั้งหลายเข้าด้านในเรือไป

หลังคนถูกนำไปหมดแล้ว ซูเฉินก็หันไปกล่าวกับถังหมิงและคนอื่น ๆ “ข้าไม่คิดจะเอาคนพวกนี้กลับไปกับข้า”

“ท่านว่าท่านอยากให้พวกเขาก้มหัวให้ไม่ใช่หรือ ?” เจียงหานเฟิงสับสน

ซูเฉินส่ายหน้า “ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าอยากฝึกพวกเขาให้กลายเป็นทหารอารักขาคฤหาสน์อีก เจียงหานเฟิง ถังหมิง ข้ามีความคิดหนึ่ง แต่ต้องให้พวกเจ้าช่วยจึงจะสำเร็จ”

“อะไรหรือ ?”

“ข้าจะสร้างกองกำลังสามสายธารขึ้นมาใหม่”

“อะไรนะ ?” ทุกคนตกใจ

“สร้างกองกำลังสามสายธารใหม่หรือ ?”

“ถูกต้อง ! สร้างกองกำลังสามสายธารขึ้นใหม่” ซูเฉินตอบเสียงมั่นใจ “ปัญหาโจรสลัดหลิงหยวนไม่ใช่รบกันครั้งเดียวแล้วจะแก้ได้ กองกำลังสามสายธารเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ของโจรสลัดหลิงหยวนเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่ส่วนสำคัญ สำคัญกว่าคือพวกเขาไม่ได้เป็นของตระกูลสายเลือดชั้นสูงแห่งเมืองธารน้ำใส หากเราคิดโจมตีพันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงของเมืองธารน้ำใส กวาดล้างโจรสลัดหลิงหยวนไปทั้งหมด เราจะสู้ ๆ หยุด ๆ ไม่ได้ แต่ต้องสู้ต่อเนื่องไปเรื่อย”

“การสู้ต่อเนื่อง……” ถังหมิงเริ่มเข้าใจความหมาย “เจ้าคิดจะ……”

“ใช้โจรสลัดสู้โจรสลัด !” ซูเฉินตอบ

เขาจะสร้างกองทัพโจรสลัดในบึงหลิงหยวนที่เป็นของเขาเองขึ้นมา สร้างความปั่นป่วนภายใน ใช้โจรสลัดสู้โจรสลัด รวมทั้งเล็งโจมตีขบวนเรือสินค้าของพวกสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้อีกด้วย

หลายปีที่ผ่านมานี้ สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงใช้อำนาจคุมการเดินทางทางน้ำ ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติไว้เพียงผู้เดียว ทำให้ได้ผลประโยชน์จำนวนมาก

หากแต่ตอนนี้ซูเฉินยื่นมือเข้าแทรกเรื่องทรัพยากร จากนั้นซัดการขนส่งทรัพยากรเหล่านั้นเสียเต็มแรง

หากใช้วิธีนี้ เขาจะสามารถลดทอนอำนาจอีกฝ่ายลงได้ ทั้งยังทำให้อีกฝ่ายมีเรื่องให้ต้องรับมือไม่ว่างเว้น

วันนี้ เรื่องเบาะแว้งระหว่างสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงและชาวบ้านในป่าแม่น้ำตะวันตกยังคงดำเนินต่อไป เมื่อมีปัญหาเรื่องการขนส่งทางน้ำเสริมอีกอย่าง พวกเขายิ่งต้องใส่ใจหลายอย่าง ทำให้ชายหนุ่มมีเวลามากขึ้น

ซึ่งซูเฉินต้องการเวลาเป็นอย่างมาก

ทุก ๆ วันที่ผ่านพ้นไป ซูเฉินก็จะแข็งแกร่งขึ้นทีละนิด อีกฝ่ายอ่อนแอลงทีละหน่อย

คิดรับมือกับสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงนับเป็นงานหนักที่กินเวลานั้น แต่ซูเฉินก็ไม่คิดรีบร้อน

และนอกจากสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงแล้ว ยังมีศัตรูที่อันตรายกว่าหลบอยู่ในเงามืด ยังไม่ปรากฏตัวอยู่อีก

ดังนั้นก่อนจะต้อรับมือกับพวกนั้น ซูเฉินจะเสียเวลาและทรัพยากรไปกับพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงมากไม่ได้

ให้พวกเขาตีกันเองก็แล้วกัน

ถังหมิงเข้าใจความคิดอีกฝ่าย “หากเป็นเช่นนั้นก็กินเวลานานมาก เจ้ายังต้องกลับไปดูแลสถานการณ์ที่เมืองธารน้ำใสอีก”

“ใช่แล้ว เรื่องที่นี่ข้าจึงต้องพึ่งพวกเจ้าอย่างไรเล่า”