บทที่ 69 เกาะใจหยก
เกาะใจหยกนั้นตั้งอยู่ในเขตบึงหลิงหยวน ทางน้ำคดเคี้ยวเป็นพิเศษ อีกทั้งยังไกลจากตัวเมืองนัก ไม่แปลกที่มีพวกโจรสลัดมามาใช้พื้นที่แถบนี้มานาน
โจรสลัดจะมากันมาทำการค้าที่นี่หลังจากชิงเอาเรือและของมาได้ ขายของที่ไม่ต้องการ ซื้อของที่จำเป็น บางครั้งก็มาขายข้อมูล ทำให้เกิด ‘มือมืด’ ที่เชี่ยวชาญการค้าข้อมูล การซ่อมแซมวัตถุ หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับสมบัติตระกูลที่สูญหาย
หลังการเดินทางกินเวลา 2 วัน กองกำลังสามสายธารก็มาถึงเกาะใจหยก
เมื่อมาถึง ซูเฉินจึงเอ่ยขึ้น “ทุกคนจะออกไปทำอะไรก็ได้ แต่ต้องกลับมาภายในหนึ่งวัน จ้าวซิน เฮ่าหลี และอู๋เสี่ยว พวกเจ้าสามคนคอยตามสอดส่อง อย่าให้พวกมันโอหังก่อเรื่องขึ้น ถังหมิง จวินเจีย กังเหยียนและเจียวอิ่นกวง พวกเราจะออกไปหาข้อมูลสักหน่อย เว่ยหยางและหม่าเซวียน พวกเจ้าอยู่คุ้มกันที่นี่”
“ซวยจริง !” เว่ยหยางและหม่าเซวียนร้องเสียงขุ่นเมื่อพบว่าพวกตนได้รับหน้าที่คุ้มกันเรือ
แต่จะปล่อยให้ไร้คนก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรับหน้าที่ไปแต่โดยดี
ซูเฉินขึ้นฝั่งไปกับถังหมิง จวินเจีย และกังเหยียน
เขาสวมหน้ากากปีศาจไว้เพื่อปกปิดใบหน้าจริง
เจียวอิ่นกวงเดินตามซูเฉินมา เอ่ยเสียงเบาขึ้น “เกาะใจหยกมีมือมืดเลื่องชื่อลือนามอยู่ 3 คน เถาอู่เหยีย หลงเกาเซิ่ง และกุ๋ยโส่วจาง เถาอู่เหยียเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมและร้านเหล้า ร้านเหล้าของเขาเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนข้อมูล หลงเกาเซิ่งทำการค้าเกี่ยวกับของโบราณ รับผิดชอบหลักเรื่องรับของโบราณในตลาดมืด กุ๋ยโส่วจางเปิดบ่อนและโรงรับจำนำ รับของทุกอย่าง ใช่แล้ว เขามีเส้นสายกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงด้วย”
ในเมื่อตัดสินใจยอมแพ้แล้ว เขาก็ต้องยอมให้ถึงที่สุด แทนที่จะรอให้อีกฝ่ายถาม เขาจึงเอ่ยทุกอย่างที่รู้ออกไปเสียเลย
“กุ๋ยโส่วจางมีตระกูลสายเลือดชั้นสูงเมืองธารน้ำใสสนับสนุนหรือ ? เช่นนั้น เถาอู่เหยียกับหลงเกาเซิ่งเล่า ?” ซูเฉินถาม
“ข้าว่าเถาอู่เหยียไม่มีใครหนุนหลัง แต่เขาก็มีเส้นสายหลายที่ รู้จักคนมากมาย ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงพยายามสานไมตรีกับเขา ส่วนหลงเกาเซิ่งเป็นคนในกองกำลังสายธารมืด”
โจรสลัดหลิงหยวนนั้นมีอยู่ 3 กองกำลังหลัก กองกำลังขุนเขาหยก กองกำลังวิทูรกระจ่าง และกองกำลังสายธารมืด โดยกองกำลังสายธารมืดแข็งแกร่งที่สุด ลือกันว่ามีคนด่านทะลวงลมปราณอย่างน้อย 7-8 คน และอาจมีคนด่านสู่พิสดารคอยสนับสนุน ดังนั้นพวกเขาจึงหยิ่งผยองมากในบึงหลิงหยวน กล้าโจมตีกระทั่งกองเรือของทางการ
กองกำลังขุนเขาหยกและกองกำลังวิทูรกระจ่างมีอำนาจพอสมควร แม้จะไม่มีใครลือกันว่าพวกเขาได้การสนับสนุนจากคนด่านสู่พิสดาร แต่พวกเขาก็มีคนด่านทะลวงลมปราณอยู่มากเช่นกัน
อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงแห่งเมืองธารน้ำใส
สาเหตุที่พันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงแห่งธารน้ำใสสามารถมีอำนาจเหนือทางน้ำได้เช่นนี้ก็เพราะว่าทำการสานไมตรีกับกองกำลังโจรสลัดเหล่านี้นั่นเอง
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่โจรสลัดทุกกลุ่มที่เชื่อฟังพวกเขา กองกำลังสายธารมืดปฏิเสธจะถูกชักจูงโดยตระกูลสายเลือดชั้นสูง มีบ้างที่ปะทะกัน แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเมืองธารน้ำใสทำการคุ้มกันเรือสินค้าพวกตนอย่างดี สองฝ่ายจึงแพ้ชนะเสมอกัน
ได้ยินเจียวอิ่นกวงแล้ว ซูเฉินก็คิดครู่หนึ่ง “ไปเยี่ยมเถาอู่เหยียกันเถอะ”
หากฟังตามเจียวอิ่นกวงว่ามา เถาอู่เหยียนับเป็นฝ่ายกลางของเกาะใจหยก พวกเขาเพิ่งลงจากเรือ ไปหาฝ่ายตรงกลางน่าจะเหมาะสมที่สุด
หลังจากมาถึงที่ ‘ร้านเหล้าสกุลเถา’ แล้ว พวกเขาก็พบว่าลูกค้าในร้านคือโจรสลัดกลุ่มต่าง ๆ แต่ละคนกรอกเหล้าเข้าปากราวกับคนคลั่ง
และที่โต๊ะใหญ่ในร้าน ชายแก่หน้าตาไม่โดดเด่นคนหนึ่งกำลังรินเหล้าให้คนร่างบึกบึนคนหนึ่ง
“นั่นคือเถาอู่เหยีย” เจียวอิ่นกวงเอ่ยพลางชี้ชายแก่ที่กำลังรินเหล้า
“ขั้นสุดด่านทะลวงลมปราณ ไม่แปลกที่สามารถปกป้องผลประโยชน์ตนเองให้มั่นคงได้” ซูเฉินว่า
ผู้อาวุโสเถาที่กำลังรินเหล้าให้คนด่านหลอมกายา แท้จริงแล้วคือผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ
ใบหูของชายชราขยับเล็กน้อย จากนั้นมองมาทางซูเฉิน
แม้ชายหนุ่มจะเอ่ยเสียงเบามาก แต่ก็ยังไม่อาจรอดพ้นหูชายชราไปได้ บนใบหน้าเหี่ยวย่นพลันมีรอยยิ้มปรากฏ “พ่อหนุ่มตาแหลมไม่น้อย แต่เอ่ยอาจาเร็วไปหน่อย”
ชายชราไม่ได้เอ่ยดังนัก เสียงเขาควรจะถูกเสียงคนอื่น ๆ กลบไป ทว่าซูเฉินกลับได้ยินมันชัดเจน แต่คนด้านข้างเขากลับไม่ได้ยิน ชายชราคนนี้คุมกระแสเสียงได้ถึงขั้นสุดเลยทีเดียว
ทั้งสองชะงักไปเล็กน้อย
ซูเฉินชะงักกับความสามารถในการคุมเสียงของชายชรา ส่วนเถาอู่เหยียชะงักไปเพราะความหลักแหลมของซูเฉิน
การประเมินพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของผู้อื่นต้องมีสายตาที่เฉียบคมนัก พื้นฐานการบ่มเพาะพลังที่แตกต่างเผยกลิ่นอายออกมาแตกต่างกัน ทะลวงถึงด่านก่อเกิดลมปราณจำควบคุมพลังต้นกำเนิดได้ ดังนั้นจึงจะมีการไหลเวียนของพลังอยู่รอบกาย ทะลวงถึงด่านกลั่นโลหิต ปราณโลหิตจะเริ่มขยาย พลังจากสายเลือดเริ่มแผ่กระจาย เผยให้เห็นเป็นทางกายภาพ
แต่สิ่งเหล่านี้สามารถปิดบังได้เช่นกัน
เถาอู่เหยียอยู่บนเกาะใจหยกมานาน ทุกคนรู้ดีว่าชายชราผู้นี้มีพลังล้ำลึกเกินหยั่ง แต่ไม่เคยมีใครประเมินพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเขาได้ตรงเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งยังใช้เพียงการคาดเดาและการมองวิเคราะห์เท่านั้นด้วย
นับเป็นครั้งแรกที่เถาอู่เหยียพบหน้าคนบนเกาะที่สามารถรู้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเขาได้จากการมองเพียงแวบเดียว
เขาไม่รู้ว่าซูเฉินมีเนตรมองพลังต้นกำเนิด ความลับใดของพลังต้นกำเนิดย่อมถูกเปิดเผยด้วยนัยน์ตาคู่นี้
เขาหัวเราะออกมา “เจ้าหนุ่ม ไหน ๆ มาแล้วก็นั่งเสียสิ ?”
พูดจบก็หยิกจอกเหล้าออกมาแล้วรินเหล้าจนเต็ม
ซูเฉินไม่มากพิธี เดินเข้าไปนั่งตรง ๆ แล้วหยิบเหล้าขึ้นจิบ จากนั้นขมวดคิ้วแล้ววางจอกลง
“อะไรกัน ? กลัวว่าจะมีพิษในเหล้า ไม่กล้าดื่มหรือ ?” เถาอู่เหยียเอ่ยถาม
ซูเฉินส่ายหน้า “หากมีพิษข้าก็ดื่มมันลงไปแล้ว เพียงแต่เหล้านี้ด้อยเกินไป ข้าดื่มไม่ลง หากมีพิษยังดับกระหายข้าได้มากกว่า”
เถาอู่เหยียชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแผ่ยิ้มกว้าง “น่าสนใจ นานแล้วที่ข้าไม่ได้เจอสหายน้อยน่าสนใจเช่นเจ้า เจ้ากล่าวมาเช่นนี้ หากข้าไม่นำเหล้าดีออกมาก็คงผิดนัก เอ้า ลองนี่เสีย”
เขาเปิดเหล้าอีกขวดแล้วรินให้ซูเฉิน
ซูเฉินจิบเข้าไปพลางพยักหน้า “เหล้าดีจริง ๆ”
แต่เขาก็ยังวางจอกลงดังเดิม
“หากเป็นเหล้าดี เจ้าไม่ดื่มอีกสักหน่อยหรือ ?”
“เหล้าดี แต่แรงไปสักหน่อย ต้องใช้เวลาค่อย ๆ จิบ”
เถาอู่เหยียได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างจนตาหยี “เป็นคนหนุ่มที่น่าสนใจจริง ไม่แปลกที่หลิวจี้ตกเป็นเหยื่อให้เจ้า”
“หลิวจี้ ?” ซูเฉินดูสับสน “หลิวจี้คือใคร ?”
เจียวอิ่นกวงก้มกระซิบ “เป็นหัวหน้าเก่า”
“อ้อ !” ซูเฉินพลันนึกออก
เถาอู่เหยียเปิดร้านเหล้าบนเกาะใจหยกมาหลายปี ย่อมต้องรู้จักโจรสลัดที่นี่
เจียวอิ่นกวงคือรองหัวหน้ากองกำลังสามสายธาร ได้เขามาติดตามซูเฉินเช่นนี้ ชัดเจนว่าเขาได้เลือกข้างแล้ว และเมื่อควบรวมกับเรือของกองกำลังสามสายธารที่เพิ่งกลับมา ก็สามารถเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้แน่นอนแล้ว
ซูเฉินเคาะโต๊ะเสียงเบา “ดาบใครได้ลิ้มรสโลหิตย่อมไม่อยู่ยงคงกระพัน หลิวจี้พายแพ้ไป แต่ไม่ใช่กองกำลังสามสายธาร ข้าหวังว่าท่านเถาอู่เหยียจะไม่คิดลบกับเรานัก”
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น” เถาอู่เหยียเอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง “เจ้าคงมาด้วยธุระ งั้นแล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าในฐานะผู้นำคนใหม่ว่าอย่างไรเล่า ?”