เหลียงจื้อถงเองก็ไม่อยากปล่อยให้เรื่องเป็นเช่นนี้ ตาข้างซ้ายของเขามีน้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ตาข้างขวาของเขาก็เหมือนกระดิ่งทองแดงอย่างไรอย่างนั้น “ไม่นะท่านพ่อ! ท่านจะปล่อยไปได้ยังไง ? หญิงชั้นต่ำนั่นมัน…”
ฉึบ!
มีดคมเล่มหนึ่งผ่านหนังศีรษะของเหลียงจื้อถงไปอย่างรวดเร็วซึ่งมันตัดผมของเหลียงจื้อถงขาดเป็นจำนวนมาก …หนังศีรษะของเหลียงจื้อถงแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ
นั่นคือมีดสั้น มันปักแน่นอยู่ในลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหลังเหลียงจื้อถง ความลึกของมีดที่ปักอยู่ที่ต้นไม้นั้นทำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและพละกำลังของผู้ที่เขวี้ยงมันมาได้เป็นอย่างดี
เหลียงจื้อถงเคยถูกมีดสั้นเล่นงานมาแล้ว เขาจึงรู้ดีว่าใครเป็นคนทำ ฟันของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ แต่เขาก็ยังพยายามพูดขอความช่วยเหลือจากเหลียงโหย่วซินแม้จะติดอ่าง “ทะ… ท่านพ่อ… ท่าน…”
เหลียงโหย่วซินยังคงรู้สึกเจ็บที่ขมับ เขาพูดขึ้นพลางฝืนยิ้ม “คุณชายช่าง ดาบเล่มนี้ไม่มีตา ไม่ทราบว่าถงเอ๋อร์ไปยั่วยุคุณชายตรงไหนอีกหรือ…”
กงจี้สะบัดข้อมือที่ขาวจนเหมือนจะโปร่งแสงอย่างเอ้อระเหย ราวกับสิ่งที่เขาเขวี้ยงไปเมื่อสักครู่ไม่ใช่มีดสั้นแต่เป็นท่อนไม้นุ่มนิ่มอย่างไรอย่างนั้น “ก็ไอ้หมูนี่มันด่าสาวใช้ของข้า ครั้งนี้แค่เตือน แต่ครั้งหน้า เหอะ! ระวังตัวเอาไว้เลย หึ ๆ ๆ”
กงจี้ปิดท้ายด้วยการหัวเราะอย่างเย็นชาจนเหลียงจื้อถงเนื้อตัวสั่นเทาตามเสียงหัวเราะที่ผสมไปด้วยการข่มขู่ที่เข้มข้น!
จู่ ๆ เขาก็พบว่าคุณชายช่างคนนี้ไม่ได้กำลังขู่ขวัญเขา แต่สามารถฆ่าเขาได้จริง ๆ
เหลียงโหย่วซินตกตะลึงตาค้าง แค่คำว่า ‘หญิงชั้นต่ำ’ คำเดียว คุณชายแซ่ช่างถึงกับกล้าลงมือทำร้ายคนได้ขนาดนี้ ช่างใช้อำนาจบาตรใหญ่เสียเหลือเกิน
เหลียงโหย่วซินมองท่านซุนอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นท่านซุนก็กระแอมไอออกมาเล็กน้อย “หลานเหลียง เจ้าต้องระวังคำพูดของตัวเองให้มาก”
เหลียงโหย่วซินกัดฟันแน่น แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
การกระทำของกงจี้ทำให้เขาตกใจจริง ๆ
ทว่าในขณะนี้ น้ำเสียงใสของเจียงป่าวชิงก็ดังขึ้น “ท่านชาย พูดไปพูดมาแล้วข้าน้อยเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้เจ้าค่ะ”
กงจี้มองเจียงป่าวชิง สาวน้อยกะพริบตาให้เขาเบา ๆ ซึ่งนั่นทำให้อารมณ์ที่ค่อนข้างโหดร้ายของเขาเมื่อสักครู่ เหมือนถูกลูบจนเรียบอย่างไรอย่างนั้น สันหลังของเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “เรื่องอะไร เจ้าว่ามาสิ”
เหลียงโหย่วซินตีหน้าขรึม เขาขอตัวลากับข้าหลวงซุน “ข้าน้อยต้องพาลูกไม่รักดีคนนี้ไปดูอาการก่อน หากว่าล่าช้ากว่านี้เกรงว่ามันอาจจะเป็นปัญหาตลอดชีพเอาได้ ขอไม่อยู่ฟังว่าแม่นางผู้นี้จะพูดอะไรต่อ!”
เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะ “ฮิ ๆ ท่าน… หรือว่าท่านรู้ว่าข้าจะพูดอะไร ถึงได้คิดจะหนีไปก่อนเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ ?”
“เจ้า!” เหลียงโหย่วซินโมโหจนหน้าเขียว แต่เนื่องจากอำนาจของกงจี้เมื่อสักครู่ เขาจึงต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความโกรธเอาไว้
ซุนจงอี้จำต้องก้าวออกมาไกล่เกลี่ยอีกครั้ง “ท่านเหลียงอย่าได้ร้อนใจไป เมื่อสักครู่ก่อนที่จะมา ข้าให้คนไปเชิญหมอมากฝีมือมาแล้ว และคิดว่าประเดี๋ยวเดียวก็คงจะถึงแล้ว ท่านรออยู่ที่นี่ก็ได้”
เหลียงโหย่วซินขอบคุณท่านซุนด้วยเสียงแข็งกระด้าง
เจียงป่าวชิงยิ้มก่อนจะพูดต่อ “ก็ในตอนบ่ายมีเรื่องแปลกประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนที่ข้าตากอากาศอยู่ในห้อง มีสาวใช้ตัวน้อยที่เพิ่งเลี้ยงผมให้ยาวคนหนึ่งมาบอกต่อข้อความแก่ข้าว่าท่านชายช่างเรียกหาข้า และให้ข้าไปรอที่ภูเขาจำลอง พอถามดูอีกครั้งสาวใช้คนนั้นก็บอกว่าท่านชายนั่งอยู่บนม้านั่งหินและสั่งให้นางมาบอกต่อข้อความ ข้าได้ฟังก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ ท่านชายสูงศักดิ์ถึงขนาดนั้น จะไปนั่งอยู่บนของไม่สะอาดที่ใคร ๆ ก็นั่งได้อย่างเช่นม้านั่งหินได้ยังไงจริงไหมเจ้าคะ ข้าจึงคิดว่าอาจมีคนแอบอ้างชื่อของท่านชายช่างเพื่อหลอกให้ข้าไปที่นั่น”
พูดมาถึงตรงนี้ เจียงป่าวชิงก็หยุดพูดเล็กน้อยและจงใจมองไปที่เหลียงจื้อถง
เหลียงจื้อถงประหม่าจนหายใจไม่สม่ำเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าเจียงป่าวชิงมองทะลุแผนการของเขาและไม่ยอมไปหาตามที่สาวใช้ตัวน้อยคนนั้นบอก ตัวเขาก็ยิ่งแข็งทื่อ “เจ้ามองข้าทำไม ? ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!”
จู่ ๆ เหลียงจื้อถงก็พูดประโยคนี้ออกมาอย่างลนลาน ซึ่งก็เทียบเท่ากับเป็นการสารภาพผิดต่อหน้าผู้คน แสดงว่าเขานั่นแหละที่ทำ
กงจี้หรี่ตาลงอย่างอันตราย
เหลียงโหย่วซินแทบจะรู้สึกสิ้นหวังกับลูกชายตัวอ้วนที่มีมันสมองน้อยนิดแบบนี้ของเขาจริง ๆ เขาจึงตะคอกออกมา “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า หุบปากไปซะ!”
เหลียงจื้อถงปิดตาข้างซ้ายและปิดปากอย่างไม่เต็มใจ
เจียงป่าวชิงหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดต่อ “แน่นอนว่าข้าไม่กล้าไป ทำเพียงกลับไปที่ห้องและปิดประตูกับหน้าต่างให้มิดชิด แต่ตอนหลังคุณชายท่านนี้กลับโผล่มา ข้าน้อยจึงคิดว่าเขาเป็นโจร ตอนนี้พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ท่านซุนคงจะยุ่งกับงานราชการจึงอาจจะตกหล่นเรื่องความปลอดภัยภายในจวน ถึงได้ให้คนอื่นเข้ามาปะปนแบบนี้ อีกทั้งคนคนนั้นยังกล้าแอบอ้างชื่อท่านชายของข้าเพื่อคิดจะหลอกให้ข้าไปที่นั่น ดีที่ข้าตื่นตัวอยู่เสมอจึงไม่มีผลกระทบร้ายแรงอะไร แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ข้าคงนึกเสียใจในภายหลังไม่ทัน ลองคิดดูนะเจ้าคะ ครั้งนี้แอบอ้างชื่อท่านชายเพื่อหลอกข้า แล้วถ้าครั้งหน้าแอบอ้างชื่อคนอื่นเพื่อคิดวางแผนทำร้ายท่านซุนล่ะ ? ข้าน้อยคิดว่าสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ต้องได้รับการป้องกัน และต้องคว้าตัวคนที่ทำชั่วออกมาให้ได้เจ้าค่ะ”
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ไม่ได้โง่ และพวกเขาส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินเรื่องงานอดิเรกพิเศษของเหลียงจื้อถงกันมาแล้วทั้งนั้น ถ้าหากว่าเหลียงจื้อถงเป็นคนทำเรื่องนี้ พวกเขาก็จะไม่รู้สึกแปลกใจเลย
แอบอ้างว่าเป็นคุณชายของคนอื่นเพื่อหลอกสาวใช้ผู้งดงามของเขาไปที่ภูเขาจำลอง ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนต่างเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ยังต้องพูดออกมาอีกหรือ ?
ซุนจงอี้ได้ฟังดังนั้น ก็เหมือนมีอะไรมากระทบอยู่ในใจของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะก่นด่าเหลียงจื้อถง แล้วยังอดไม่ได้ที่จะโทษเหลียงโหย่วซินที่สั่งสอนลูกไม่เข้มงวด
เหลียงจื้อถงกล้าที่จะทำทุกอย่างจริง ๆ การคิดทำเรื่องมั่วโลกีย์เช่นนี้ในจวนของเขา นี่เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าเขาไม่ใช่หรือ ?
สาวใช้คนนี้ก็อีกคน เห็นได้ชัดว่านางเป็นที่โปรดปรานของหลานช่าง เขาเพิ่งชักใยให้หลานช่างลงนามในสัญญาการค้าสามล้านตำลึงสำเร็จ แต่เหลียงจื้อถงกลับใช้โอกาสตอนที่เขาลงนามในสัญญา คิดจะยึดครองสาวใช้ของเขา นี่ไม่ใช่แค่กำลังตบหน้าหลานช่างอย่างเดียว ยังเป็นการตบหน้าเจ้าของบ้านอย่างเขาด้วยเช่นกัน
ซุนจงอี้อยากถีบเหลียงจื้อถงลงไปในทะเลสาบเพื่อให้เขาได้กระจ่างสักทีจริง ๆ!
“เหลียง จื้อ ถง” กงจี้พูดชื่อของเหลียงจื้อถงด้วยเสียงแข็ง
เหลียงจื้อถงสั่นไปทั้งตัว “ไม่ใช่ ไม่ใช่ข้าจริง ๆ นะ ข้า… ข้าแค่เดินผ่านไปที่ห้องของหญิงชั้นต่ำพอดี เอ่อ… ข้าแค่ผ่านไปที่ห้องของแม่นางชิงยู่ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ”
เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากอะไร สาวใช้ตัวน้อยคนนั้นที่มาแจ้งข้อความข้าเพิ่งเลี้ยงผมให้ยาว อายุนางยังน้อย และกำลังช่วยงานอยู่ในสวน ท่านซุนเพียงแค่ให้คนไปเรียกสาวใช้ตัวน้อยคนนั้นมาที่นี่ และให้นางชี้ตัวคนทำผิดในเหตุการณ์ก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้น เหลียงจื้อถงก็ขาอ่อนทันที
ไม่มีใครรู้จักลูกชายดีไปกว่าพ่อ เมื่อเหลียงโหย่วซินเห็นท่าทางของลูกชาย เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่านี่มันไม่ต่างอะไรจากการชี้ตัวคนทำผิดด้วยซ้ำ
เห็นเหลียงจื้อถงโง่เหมือนหมูเช่นนี้ แต่ช่วงเวลาสำคัญเขายังมีไหวพริบเหลืออยู่บ้าง ตอนนี้เขากำลังพยายามขบคิดอย่างหนักว่าหลังจากที่สาวใช้คนนั้นชี้ตัวคนผิดได้แล้ว เขาควรทำให้ตนเองหลุดพ้นจากความผิดอย่างไรดี
คิดถึงตรงนี้ จิตวิญญาณของเหลียงจื้อถงก็ฮึกเหิมทันที
ตอนที่ไปหลอกคนไม่ใช่เขาที่เป็นคนไป สาวใช้ตัวน้อยคนนั้นน่าจะจำได้เพียงคนรับใช้ของเขา ถึงตอนนั้นค่อยผลักความผิดทั้งหมดให้กับคนรับใช้ ส่วนเขาอย่างมากก็แค่ถูกโทษว่าสั่งสอนคนของตัวเองไม่เข้มงวดก็เท่านั้น
เหลียงจื้อถงรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที
ทว่าเจียงป่าวชิงหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ นางรู้ว่าด้วยรูปร่างที่จำได้ง่ายของเหลียงจื้อถง ตอนที่แสร้งแสดงเป็นกงจี้ เขาคงจะให้คนที่มีรูปร่างไม่โดดเด่นมาแสดงอย่างแน่นอน ถึงตอนชี้ตัว อย่างมากเขาก็แค่ผลักเด็กรับใช้ออกมาเป็นแพะรับบาปแทน
และเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ตอนนี้เด็กรับใช้ของเหลียงจื้อถงตัวสั่นราวกับตีฆ้อง เขาตกใจจนเสียสติไปแล้ว
ในวันธรรมดา เขาตามเจ้านายของเขาไปใช้อำนาจในทางที่ผิด และออกความเห็นที่ไร้จิตสำนึกไม่น้อย แต่กลับไม่คิดว่าวันนี้เขาจะเป็นฝ่ายโดนเตะขึ้นไปบนแผ่นเหล็กร้อน ๆ เสียเอง
เด็กรับใช้เองก็ไม่ได้โง่ เขาเดินออกมาจากด้านหลังคุณชายของเขาด้วยอาการสั่นไปทั้งร่าง และเกือบล้มลงไปบนพื้นอยู่รอมร่อ เขาคุกเข่าลงบนพื้นแล้วน้อมคำนับอย่างต่อเนื่อง
“ข้าสารภาพ ข้าจะสารภาพทั้งหมดขอรับ นี่เป็นความคิดของข้าน้อยเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวกับคุณชายของข้าน้อยเลย ข้าน้อยเห็นว่าคุณชายได้รับบาดเจ็บและเกิดความรู้สึกไม่ยอมในใจ จึงอยากทำให้แม่นางชิงยู่อับอายก็เท่านั้น ขอให้แม่นางชิงยู่ให้อภัยคนต่ำต้อยอย่างข้าน้อยด้วยขอรับ” พูดจบ เขาก็กระแทกศีรษะลงไปบนพื้นหินอย่างแรง ไม่นานนัก เลือดแดงสดก็ซึมออกมาจากบนหน้าผากของเขาดูแล้วน่าเวทนา
.