เจียงป่าวชิงเลิกคิ้ว
คนรับใช้คนนี้เฉลียวฉลาดอยู่ไม่น้อย เขารู้ว่าถ้าหากรอให้สาวใช้มาชี้ตัวเขาไป ถึงตอนที่เจ้านายของเขาขจัดความผิดของตัวเองได้แล้ว เพื่อเป็นการขีดเส้นที่ชัดเจน เจ้านายของเขาจะลงโทษเขาหนักอย่างแน่นอน! แต่ถ้าหากว่าเขาเป็นฝ่ายยอมรับผิดก่อนในตอนนี้ อีกทั้งยังแบกรับชื่อเสียงสกปรกแทนเจ้านาย เป็นเช่นนี้เจ้านายก็จะเห็นแก่ความจงรักภักดีของเขา ถึงตอนนั้นแม้จะต้องเล่นละครว่าถูกลงโทษอย่างหนัก ทว่าหลังจากที่เรื่องราวสิ้นสุดลง เจ้านายของเขาก็จะชดเชยให้เขาหนัก ๆ เช่นกัน
หลังจากที่คนรับใช้พิจารณาแล้ว เขาก็เลือกยืดอก แบกรับความผิดแทนเจ้านายของตนเอง
เหลียงจื้อถงดีใจมาก ในขณะที่ยกย่องความจงรักภักดีของคนรับใช้ภายในใจ เขาก็ไม่ลืมที่จะกระโดดออกมาแสดงจุดยืนโดยที่ยังปิดตาไว้ เท่านั้นไม่พอ ยังถีบคนรับใช้ที่เวลานี้คุกเข่าและแนบศีรษะอยู่บนพื้นด้วยท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ไอ้คนชั้นต่ำอย่างเจ้ากล้าทำเรื่องแบบนี้โดยไม่บอกข้าเรอะ ?! เจ้าอยากทำให้ข้าอับอายหรือไง ? เจ้านี่มันโง่เขลานัก! แม่นางชิงยู่เป็นสาวใช้ข้างกายของคุณชายช่าง ตีหมายังต้องดูเจ้าของเลย แล้วทำไมเจ้าถึงได้กล้าทำให้แม่นางชิงยู่อับอายเช่นนี้ ? ข้าจะเตะไอ้คนชั้นต่ำที่เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่อย่างเจ้าให้ตายไปซะ”
คนรับใช้ไม่กล้าหลบ เขายอมโดนเตะอยู่หลายครั้ง แขนก็กอดขาเหลียงจื้อถงและเริ่มร่ำไห้ “คุณชายขอรับ ข้าน้อยทำให้ท่านผิดหวัง ข้าน้อยคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับท่านถึงได้กระทำผิดเช่นนี้ ข้าน้อยเต็มใจรับการลงโทษขอรับ”
เหลียงจื้อถงเตะคนรับใช้อย่างแรงจนร่างเขากระเด็นไป แต่ก็ยังตามไปเตะเพิ่มอีกหลายครั้งหลายครา จากนั้นถึงจะหันไปพูดกับข้าหลวงซุน “ท่านข้าหลวงขอรับ ข้าสั่งสอนคนรับใช้ไม่ดีเองที่ปล่อยให้เขาทำเรื่องโง่ ๆ ลงไปแบบนี้ โชคดีที่แม่นางชิงยู่เป็นหญิงฉลาดปราดเปรียว เรื่องนี้จึงไม่ก่อให้เกิดผลร้ายใด ๆ ข้าจะพาไอ้คนชั้นต่ำกลับบ้านตอนนี้และสั่งสอนเขาให้ดี ๆ ขอรับ”
ข้าหลวงซุนยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด จู่ ๆ น้ำเสียงเย็นชาที่อยู่ด้านข้างก็ดังขึ้นมาเสียก่อน “คนที่มีความคิดสกปรก หากว่าเก็บไว้ข้างกายคุณชายเหลียง ต่อไปเกรงว่าจะสอนคุณชายเหลียงไปในทางที่ไม่ดีเอาได้”
เมื่อเหลียงจื้อถงได้ยินเสียงนี้ เขาก็สั่นไปทั้งร่าง ไม่รู้เหราะเหตุอันใด แต่เหลียงจื้อถงรู้สึกกลัวกงจี้เป็นอย่างยิ่งเลยจริง ๆ!
เหลียงโหย่วซินตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาเข้าไปถีบคนรับใช้อย่างแรง “เลวนัก! เป็นเพราะไอ้คนชั้นต่ำอย่างเจ้าที่สอนถงเอ๋อร์ไปในทางที่ไม่ดี วันนี้ข้าต้องสะสางสิ่งสกปรกในบ้านให้ได้เลยคอยดู พวกเจ้าตรงนั้นมาลากไอ้คนชั้นต่ำนี่ออกไปโบยร้อยหวายและไล่ออกจากตระกูลเหลียงซะ”
ภายใต้สถานการณ์พลิกผัน คนรับใช้ตกตะลึงไปแล้ว จนกระทั่งมีคนเข้ามาลากเขา เขาถึงจะสามารถดึงสติกลับมาได้ พลันตกใจมือไม้ปัดป่ายไปทั้งตัว และเข้าไปกอดขาเหลียงจื้อถงแน่น “คุณชาย… คุณชายช่วยข้าน้อยด้วย ข้าน้อยทำตามคำสั่งของท่านนะขอรับ คุณชายช่วยข้าน้อยด้วย!”
เสื้อผ้าฤดูร้อนออกจะบาง ถ้าโดนโบยร้อยหวายเข้าไป มีโอกาสน้อยนักที่เขายังจะมีชีวิตรอด เขารู้ดีว่าถ้าไม่รีบร้องขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นนายในเวลานี้ เขาต้องตายแน่แล้ว
กงจี้ยิ้มเย็นยะเยือก
เหลียงจื้อถงเห็นกงจี้ยิ้มเช่นนั้น เขาก็ตกใจเหงื่อไหลทั่วแผ่นหลัง รีบเตะแขนของคนรับใช้ทันที “เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล! เพื่อขจัดความผิด ตอนนี้เจ้ากลับสาดน้ำสกปรกใส่เจ้านายของเจ้าเอง ไอ้คนชั้นต่ำอย่างเจ้าไม่สมควรเก็บไว้อีกต่อไปจริง ๆ ด้วย รีบลากมันออกไป ลากออกไปทุบให้ตาย!”
เหลียงจื้อถงโหดเหี้ยมกว่าพ่อของเขา พ่อของเขานั้นสั่งเพียงแค่โบยร้อยหวาย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทุบให้ตายเสียแล้ว
คนรับใช้ของเหลียงจื้อถงยังอยากแก้ต่างอีกสักหน่อย แต่คนรับใช้ของเหลียงโหย่วซินกลับตัดสินใจอย่างรวดเร็วและยัดผ้าขนหนูใส่ในปากคนรับใช้ของเหลียงจื้อถง จากนั้นคนรับใช้อีกสองคนก็กดตัวคนรับใช้ของเหลียงจื้อถงไว้ทั้งสองข้าง แล้วควบคุมตัวเขาออกไป
ภายในลานบ้านกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ซุนจงอี้เองก็บังเกิดความหงุดหงิดแล้วเช่นกัน เรื่องเสียหายเช่นนี้น่าจะผลักคนใช้คนนั้นออกไปรับโทษตั้งแต่แรกเสียก็จบ
…
ในที่สุดหมอก็มาถึง เดิมทีเขากำลังบำรุงร่างกายให้กับเมียน้อยของท่านซุนอยู่ที่จวนทางด้านหลัง ทว่าเมื่อทางนี้ไปบอกว่าคุณชายเหลียงได้รับบาดเจ็บ เดิมทีเขาอยากจะรีบมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่เมียน้อยของข้าหลวงซุนกลับอาศัยว่ามีสิ่งล้ำค่าอยู่ในท้องของตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ยอมให้หมอไปก่อน จะต้องบำรุงร่างกายนางให้เสร็จก่อนถึงจะไปได้
โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ตอนนี้ จึงไม่มีอารมณ์ไปซักถามเรื่องที่หมอมาช้า
หมอเหงื่อตก เขารีบตรวจดวงตาให้เหลียงจื้อถงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็สรุปว่าเพราะลูกตาของเหลียงจื้อถงถูกกระแทกอย่างรุนแรงจึงมีเลือดคั่งในลูกตาทำให้มองไม่เห็นชั่วคราว แต่หลังจากที่หายบวมแล้วก็จะมองเห็นแสงสว่างได้อีกครั้ง
เมื่อผลสรุปออกมาเช่นนี้ สีหน้าของเหลียงโหย่วซินกับเหลียงจื้อถงก็ดีขึ้นไม่น้อย
กงจี้หัวเราะเยาะ “หึ ๆ ชิงยู่ เรากลับกันเถอะ”
เจียงป่าวชิงขานรับอย่างว่านอนสอนง่าย
ซุนจงอี้ตกใจทันที “ประเดี๋ยวก่อนหลานช่าง คืนนี้ข้าได้จัดเตรียม…”
กงจี้ไม่ให้หน้าท่านซุน เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดอย่างหงุดหงิดใจ “ท่านซุน ท่านดูสิว่าตอนนี้ข้ายังจะมีอารมณ์ไปร่วมงานเลี้ยงอยู่อีกหรือเปล่า ?”
ท่านซุนตกใจกับคำถามที่ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อยของกงจี้ เขาหน้าตึงขึ้นทันทีแต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย
เหลียงโหย่วซินกับเหลียงจื้อถงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ พวกเขามองกงจี้ที่ปล่อยให้องครักษ์ของเขาเข็นออกไปอย่างสง่างาม และด้านหลังตามด้วยสาวใช้
ผ่านไปสักครู่ เหลียงจื้อถงถึงจะพูดขึ้นอย่างโกรธแค้นว่า “ท่านซุน คุณชายช่างที่เป็นสิ่งกวนใจอะไรนั่นเย่อหยิ่งเกินไป เขาไม่ให้หน้าท่านแม้แต่น้อย…”
“หุบปากซะ! วันนี้เจ้ายังเจ็บตัวไม่พออีกรึ ?” เหลียงโหย่วซินถีบลูกชายด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น “รีบไสหัวกลับบ้านไปซะไป๊!”
วันนี้เหลียงจื้อถงถูกมีดสั้นแทงที่แขนขวา อีกทั้งดวงตาข้างซ้ายก็ถูกตีจนเกือบบอดอยู่รอมร่อ แม้แต่เด็กรับใช้ของตัวเองก็ยังถูกลากออกไปทุบให้ตายด้วยเช่นกัน หากจะพูดตามหลักการ คนที่น่าเวทนาที่สุดก็คงจะเป็นเขาแล้ว และนี่พ่อของเขายังก่นด่าเขาอีก… เหลียงจื้อถงหลับตาลงแล้วกลับไปพร้อมกับความน้อยใจ
ท่านซุนพูดด้วยสีหน้านึกไม่ถึง “ท่านเหลียง วันนี้ลูกชายของท่านเกือบก่อเรื่องใหญ่ให้ข้าแล้วไหมเล่า ถ้าหากว่าการค้านั้นไม่สำเร็จหรือมีบางอย่างผิดพลาด ข้าจะบอกให้ว่าแม้จะริบทรัพย์ทั้งหมดของตระกูลท่าน มันก็ยังไม่พอชดใช้ด้วยซ้ำ!”
เหลียงโหย่วซินตัวสั่นเทา เขารีบก้มหน้าแล้วพูดตอบรับ “ใช่ขอรับ ต่อไปข้าน้อยจะสั่งสอนลูกไม่รักดีให้เข้มงวดกว่านี้”
ได้ยินเช่นนี้ข้าหลวงซุนถึงจะหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วมองไปทางที่พวกกงจี้จากไป ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
……
ภายในรถม้า เจียงป่าวชิงนั่งเป็นอัมพาตอย่างหมดสภาพอยู่ข้างใน นางเอ่ยขึ้น “วางแผนชิงดีชิงเด่นกันนี่มันช่างเหนื่อยจริง ๆ”
กงจี้เหลือบมองเจียงป่าวชิง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่นัก “ทำไมรึ ? ข้าเห็นเจ้าก็ชำนาญดีนี่”
เจียงป่าวชิงมีความกังวล จู่ ๆ นางก็นั่งยืดหลังตรงแล้วถามกงจี้อย่างลังเล “คุณชายกง ข้าก่อเรื่องวุ่นวายให้เจ้าหรือเปล่า ?”
กงจี้ตกตะลึงไปทันที สาวน้อยตัวเล็กตรงหน้าแสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางกำลังเป็นห่วงเขา
ชั่วอึดใจนั้น เหมือนมีบางอย่างไหลผ่านในหัวใจของกงจี้อย่างช้า ๆ
เจียงป่าวชิงแปลกใจว่าทำไมจู่ ๆ กงจี้ถึงเงียบเป็นเป่าสากแบบนั้น แต่แล้วก็เห็นสายตากงจี้มองนางอย่างเยาะหยันเสียก่อน “คนอย่างเจ้านี่น่ะหรือจะสามารถก่อเรื่องวุ่นวายให้ข้าได้ ? …ข้าเพียงแค่รำคาญคนที่กินเงินตอบแทนของพวกกษัตริย์ก็เท่านั้น แต่ละคนมีจิตใจต่างกัน เลียแข้งเลียขายิ่งกว่าอะไร”
ในเมื่อไม่ได้เป็นนางที่ก่อเรื่องวุ่นวาย เช่นนั้นก็จัดการได้ง่ายหน่อย
เจียงป่าวชิงไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดตรงไหนเลย แต่ถ้าหากว่าการกระทำของนางสร้างปัญหาให้กับกงจี้ ก็คงจะไม่ค่อยดี
อย่างไรก็ตาม เวลานี้เจียงป่าวชิงรู้สึกโล่งใจเบา ๆ
“เจ้าไม่ต้องห่วง” กงจี้พูดขึ้นมาช้า ๆ “คนพวกนั้นจะไม่จบลงด้วยดีหรอก”
เจียงป่าวชิงเงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบ ๆ โดยทั่วไปแล้วคำพูดลักษณะนี้เป็นการสาปแช่งทางวาจาของคน ทว่าเมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของกงจี้ เจียงป่าวชิงกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การสาปแช่ง แต่เขากำลังบอกให้รู้ถึงอนาคตล่วงหน้าของคนพวกนั้น อนาคตที่อยู่ไม่ไกลนัก
ตอนนี้เจียงป่าวชิงกลับรู้สึกว่าเมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงหน้าซอยเล็ก ๆ มันก็เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน เดิมทีพวกเขาไม่ควรเข้าไปในซอยนี้ แต่ไป๋จีกลับบังคับรถม้าเข้าไปในซอยนี้เสียอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงมีความทรงจำล้ำเลิศ ถึงแม้จะเคยมาที่นี่ในตอนเช้าเพียงครั้งเดียว แต่นางก็ได้จดจำเส้นทางในใจอย่างเงียบ ๆ แล้ว ณ ตอนนี้เมื่อนางเห็นว่าจู่ ๆ ไป๋จีก็เลี้ยวเข้ามาในซอยอย่างกะทันหัน นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามกงจี้เสียงเบา “คุณชายกง นี่ไป๋จีเขาไปทางผิดหรือเปล่า ?”
.