กงจี้หัวเราะเยาะ “หึ ๆ พอดีมีแมลงน่ารำคาญสองสามตัวตามอยู่ด้านหลัง เราเลยต้องระวังหน่อย”
เจียงป่าวชิงกะพริบตาปริบ ๆ “หืม ? คนของท่านซุนหรือ ?”
กงจี้ส่งเสียงหัวเราะโดยไม่ปฏิเสธ “พวกเขากล้าสะกดรอยตามข้า แน่นอนว่าจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
เจียงป่าวชิงปรบมืออย่างจริงใจจากด้านข้าง “ได้เลย ประโยคนี้คุณชายกงพูดได้อย่างร้ายกาจมากจริง ๆ”
กงจี้เหลือบมองนางเล็กน้อย
ทันใดนั้น จู่ ๆ เจียงป่าวชิงก็นึกอะไรบางอย่างได้ นางถามกงจี้อย่างสนใจ “คุณชายกง ถ้าหากว่าข้าสะกดรอยตามเจ้า ข้าต้องแลกมาด้วยอะไรรึ ?”
กงจี้หันหน้ากลับไปมองเจียงป่าวชิงอย่างสังเกต
“เจ้ากำลังทำอะไร ?” เจียงป่าวชิงถามทันที
กงจี้หัวเราะเหน็บแนม “ข้าว่าเจ้าเริ่มเพ้อฝันแล้ว อย่างเจ้าเนี่ยน่ะรึคิดจะสะกดรอยตามข้า ?”
ดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง!
แต่ทว่าเจียงป่าวชิงกลับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น “คุณชายกง เจ้าแค่เคยเสพการรักษาเข็มเงินของข้า แต่ยังไม่เคยเสพประสิทธิภาพอื่นของเข็มเงินนะ ยังไงก็ระวังไว้บ้างล่ะ”
กงจี้เงยหน้ามองนาง “ไหนเจ้าลองขยายความมาสิ”
“เจ้าสามารถให้ไป๋จีบอกความรู้สึกให้ฟังได้ ครั้งที่แล้วข้าปิดกั้นจุดฝังเข็มทั่วทั้งร่างของไป๋จี เจ้าลืมไปแล้วหรือไง ?” เจียงป่าวชิงพูดขยายความเพ้อฝันที่ยอดเยี่ยมอย่างสนอกสนใจ “ข้าสะกดรอยตามพวกเจ้าและลอบแทงพวกเจ้าให้สลบได้ จากนั้นก็… หึ ๆ ๆ” เจียงป่าวชิงหัวเราะด้วยสีหน้าลึกลับ
ไป๋จีได้ยินคำพูดนี้อย่างราง ๆ จากด้านนอกจึงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “แม่นางเจียง รบกวนเจ้าหยุดพูดเรื่องนั้นด้วย ข้าเพียงแค่คิดก็รู้สึกว่านี่คงเป็นความทรงจำอัปยศอดสูที่ข้าก้าวผ่านไปไม่ได้ในชีวิตแล้ว”
เจียงป่าวชิงตอบกลับอย่างเข้าใจ “ก็ได้ ๆ ข้าจะพยายาม”
ไป๋จี “ข้าขอขอบคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
กงจี้ “ไป๋จี เจ้าอย่ามัวแต่พูด บังคับรถม้าดี ๆ ไปเลยไป”
ไป๋จี “ขะ… ขอรับนายท่าน”
……
คนที่ข้าหลวงซุนมอบหมายให้ไปสะกดรอยตามกงจี้ยังไม่มีใครกลับมาเลยสักคน ตอนหลังเขาทนไม่ไหวจึงส่งกำลังทหารอื่นออกไปเพิ่มอีก ถึงจะพบว่าคนที่สะกดรอยตามไปก่อนหน้านั้นทั้งหมดถูกต่อยสลบและถูกโยนไว้อยู่ในซอยเล็ก ๆ
หลังจากปลุกสองสามคนที่สลบได้แล้ว กำลังทหารสองฝั่งก็กลับไปรายงานคนบนจวน
อันที่จริง พวกเขาจำได้เพียงแค่ว่าพวกเขาลอบสะกดรอยตามรถม้าของคุณชายช่างไป ทว่าเมื่อตามไปถึงซอยเล็ก ๆ ที่ใดที่หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีคนใส่หมวกไอ้โม่งปิดหน้าปิดตาหลายคนปรากฏตัวขึ้น พวกนั้นต่อยพวกเขาจนสลบอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก
เหลียงโหย่วซินเองก็ฟังรายงานอยู่ด้านข้าง ฟังมาถึงตรงนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “ท่านขอรับ คุณชายช่างคนนั้นไม่ให้หน้าท่านแม้แต่น้อยเลยจริง ๆ ก็เห็นกันอยู่ว่าท่านเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาถึงได้ส่งคนไป”
ข้าหลวงซุนยกมือขึ้นเพื่อห้ามเหลียงโหย่วซินไม่ให้พูด จากนั้นเขาก็พูดอย่างทอดถอนใจว่า “สมแล้วที่หลานช่างเป็นลูกหลานตระกูลช่างที่นาน ๆ ทีจะมีลูกหลานสักคน มีคนมากความสามารถมากมายที่สามารถต่อยองครักษ์กลุ่มนี้ให้สลบได้อย่างง่ายดาย นี่เขาคงจะกำลังเตือนข้าว่าอย่าคิดทำอะไรบุ่มบ่าม หรือลองดีไปสอดแนมเรื่องส่วนตัวของเขา”
องครักษ์ลังเลเล็กน้อย “ท่านขอรับ นั่น…”
ซุนจงอี้โบกมือไปมา “ครั้งนี้เขาแค่ให้คนต่อยพวกเจ้าสลบ ไม่ได้ต่อยจนตาย นี่เท่ากับว่าเขากำลังเตือน และเขารู้แล้วว่าข้าส่งคนไปสะกดรอยตามเขา อืม… ในเมื่อเขาให้หน้าข้า เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้ พวกเจ้าไปได้แล้ว”
องครักษ์ทำความเคารพก่อนจะขอตัวออกไป
ขุนนางอีกคนที่อยู่ในหมู่พรรคพวกของท่านซุนเกิดความฉงนสงสัยเล็กน้อย “ท่านขอรับ เรื่องนี้สำคัญมาก คุณชายผู้นั้นเป็นคนของตระกูลช่างจริง ๆ อย่างนั้นหรือขอรับ ?”
‘ตระกูลช่าง’ ที่พวกเขาพูดถึงกัน อันที่จริงมันเป็นตำนานที่หลายคนไม่รู้เกี่ยวกับราชวงศ์ต้าหลง
พวกเขาทำการค้าขายจนร่ำรวยมั่งคั่งมากขึ้น ตอนที่จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ต้าหลงยังคงมีอำนาจที่ถือว่าเล็กกระจิริด พวกเขาก็ได้ยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะยืนอยู่ฝั่งจักรพรรดิ และบริจาคทรัพย์สินในบ้านเกือบทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น การก่อกบฏถือเป็นงานที่ต้องใช้เงินมาก พวกเขายังเป็นฝ่ายดำเนินการค้ามากมายให้กับตระกูลจีและทำเงินได้มากมาย หากพูดอย่างไม่เกินจริง ก่อนที่จักรพรรดิก่อตั้งราชวงศ์ต้าหลงจะเสด็จขึ้นครองราชย์ เงินส่วนใหญ่ที่ใช้ไปต่างหาได้มาจากตระกูลช่างทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ คุณงามความดีที่ตระกูลช่างได้ทำไว้นั้นถือว่ายิ่งใหญ่มาก หลังจากที่สถาปนาราชวงศ์ต้าหลงแล้ว คนของตระกูลจีจึงกลุ้มใจว่าควรมอบตำแหน่งบรรดาศักดิ์แบบใดให้กับตระกูลช่างดี
ทว่า… ผู้นำของตระกูลช่างกลับถอนตัวออกมาแต่เนิ่น ๆ เขากล่าวในราชสำนักว่าไม่รับรางวัลทุกประเภท และกล่าวอย่างชัดเจนว่าราชวงศ์ก่อนหน้ามีความเหี้ยมโหด โง่เขลา และไร้ความสามารถถึงทำให้ประชาชนไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ และที่ตระกูลช่างของพวกเขาออกมายืน ไม่ใช่เพื่อความมั่งคั่งของตัวเอง แต่พวกเขาสู้เพื่อหนทางมีชีวิตอยู่ของประชาชนในโลก ณ ตอนนี้เปลี่ยนราชวงศ์แล้ว และจักรพรรดิได้ขึ้นครองราชย์แล้ว พวกเขาก็ควรถอนตัวเช่นกัน
จักรพรรดิรู้สึกตื้นตันใจมาก เขาสะบัดพู่กันและมอบเหรียญทองให้แก่ตระกูลช่างสำหรับการยกเว้นจากความตาย จากนั้นก็ส่งตระกูลช่างออกจากเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติเลยทีเดียว
ตั้งแต่นั้นมา ร่องรอยของตระกูลช่างก็เริ่มจางหายไปจากประวัติศาสตร์ แต่ถ้าหากมีใครศึกษาประวัติศาสตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วนก็จะพบว่า อันที่จริงแล้วร่องรอยการเดินทางของคนตระกูลช่างมักจะมีเหลือทิ้งไว้ให้เห็นบ่อย ๆ เบื้องหลังการค้าขนาดใหญ่จำนวนมากต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสิ้น
โดยเฉพาะในราชวงศ์นี้ คนของตระกูลช่างมีความสัมพันธ์อันดีกับคนที่มีอำนาจในเมืองหลวงมากมาย การที่คนของตระกูลช่างออกมาเดินบ่อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเช่นกัน
……
เมื่อซุนจงอี้ได้ยินลูกน้องถามมาเช่นนี้ เขาลูบเคราอย่างอิ่มอกอิ่มใจ “หลานช่างคนนั้นเป็นคนของตระกูลช่างจริง ๆ ข้าเคยเห็นเครื่องหมายคำสั่งของตระกูลช่างในมือเขาหลายครั้งแล้วและนั่นยืนยันว่ามันเป็นสิ่งที่ลูกหลานสายตรงของตระกูลช่างมีไว้ครอบครอง อีกอย่าง ข้าก็เคยได้ยินว่าตระกูลช่างมีคุณชายคนหนึ่งที่เดินไม่ได้ตั้งแต่ยังเล็ก รูปโฉมเขางดงาม มีนิสัยเย่อหยิ่ง และจากที่เราเพิ่งเห็นมากับตา มันเป็นความจริงอย่างแน่นอน”
ขุนนางคนนั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาพูดอย่างเลื่อมใส “อ่า… ท่านได้รับข่าวสารว่องไวดีจริง ๆ นะขอรับ”
ซุนจงอี้ยิ้มเล็กน้อย เขามองเหลียงโหย่วซินอย่างมีความหมาย “วันนี้ไม่มีโอกาสบอกเจ้าเกี่ยวกับภูมิหลังของคุณชายท่านนี้ เจ้ากลับไปบอกลูกชายของเจ้าด้วยว่าถ้าต่อไปเจอคุณชายช่างและแม่นางชิงยู่ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาอีก ก็ให้ลูกชายของเจ้าอยู่ให้ห่างจากพวกเขาเอาไว้ ห้ามก่อความวุ่นวาย ไม่อย่างนั้น…”
ซุนจงอี้ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาทำเพียงยิ้มและตบไหล่เหลียงโหย่วซินเบา ๆ
เหลียงโหย่วซินเหงื่อซึมไปทั่วแผ่นหลังทันที
……
สำหรับเจียงป่าวชิง สองสามวันถัดมานั้น นางค่อนข้างสบายอยู่พอสมควร เวลาที่กงจี้ออกไปกับไป๋จี เขาก็ไม่ได้พานางไปด้วยแล้ว นางเพียงแค่อยู่ในบ้าน รอฝังเข็มให้กงจี้อย่างตรงเวลาเท่านั้น
ประสิทธิผลการฟื้นฟูขาของกงจี้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การฝังเข็มแบบวันต่อวันของเจียงป่าวชิง ขาของกงจี้มีพัฒนาการจากการเคลื่อนไหวเป็นครั้งคราวไปเป็นสามารถยกขึ้นได้เองเล็กน้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าความคืบหน้าจะถือว่าล่าช้ามาก แต่สถานการณ์กลับน่ายินดี
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเช่นนี้ สีหน้าของกงจี้ในสองสามวันที่ผ่านมากลับไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย
ไม่รู้ทำไม เวลาเจียงป่าวชิงเห็นกงจี้เป็นเช่นนี้ นางถึงได้รู้สึกทรมานในใจนัก
วันนี้กงจี้ออกไปกับไป๋จีอีกแล้ว นางว่างจนรู้สึกเบื่อจึงแอบย่องไปที่ห้องครัว
คนทำอาหารในครัวเป็นหญิงชราไม่ค่อยชอบพูดจา แต่เมื่อนางลงมือทำงาน กลับแคล่วคล่องว่องไวมากจริง ๆ ตอนที่เจียงป่าวชิงไปถึง แม่ครัวกำลังผ่าฟืนอยู่ตรงนั้น เจียงป่าวชิงจึงยืนดูอยู่สักครู่แล้วก็ค่อย ๆ รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
ไม่รู้ว่าแม่ครัวคนนี้เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า หลังจากผ่าขวานลงไปสองสามครั้ง ฟืนที่ผ่าได้ก็จะมีขนาดเท่า ๆ กัน
เจียงป่าวชิงเคยผ่าฟืนที่บ้าน แน่นอนว่านางรู้ว่าอันที่จริงการผ่าฟืนให้เท่ากันมันเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นการที่ได้มายืนมองคนที่ทำให้มันเท่ากันได้ นางจึงมองเพลินจนเคลิบเคลิ้มลืมตัวไปเลย
แม่ครัวผ่าฟืนเสร็จถึงจะพบว่าเจียงป่าวชิงเหมือนยืนดูอยู่ที่นั่นนานแล้ว นางลนลานอยู่นิดหน่อย อีกทั้งยังพูดไม่เก่งหรือไม่ก็พูดติดอ่าง “มะ… แม่นาง มีธุระอะไรหรือ ?”
เจียงป่าวชิงโบกมือไปมา “ไม่มีเจ้าค่ะไม่มี ข้าแค่ออกมาเดินเล่นเจ้าค่ะ”
แม่ครัวยิ้มอย่างเกรงใจ จากนั้นนางก็กอดฟืนเข้าไปในห้องครัว
เจียงป่าวชิงตามเข้าไปและเห็นว่าแม่ครัววางฟืนไว้ด้านข้าง เมื่อนางล้างมือจนสะอาดแล้ว ก็เริ่มทำการเลือกผักที่อยู่ใกล้ ๆ
.