ในเวลานี้บรรยากาศภายในพื้นที่จัดเลี้ยงอาหารค่ำแห่งจวนเจ้าเมืองเยว่กวางกำลังร้อนระอุ ลิ่วเยว่จ้องมองลั่วอวิ๋นด้วยความโกรธแค้น สายตาของบุรุษจากอารามโหดร้ายหมายชีวิต ทว่าทางฝ่ายลั่วอวิ๋นก็หาได้เกรงกลัวไม่ บุตรชายเจ้าเมืองหน้าด่านแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นใช้สายตาแข็งกร้าวจ้องกลับไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน
“เจ้าเป็นใครถึงกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของอาราม ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วรึ?! ”
เมื่อเห็นสีหน้าและสายตาที่จ้องมองกลับมาของลิ่วอวิ๋นก็ทำให้ลิ่วเยว่ยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก
วันนี้ลั่วอวิ๋นเองก็สวมใส่ชุดสีน้ำเงินเช่นกัน แม้มันจะใกล้เคียงกับชุดของลิ่วเยว่อยู่บ้าง ทว่าเมื่อบุรุษทั้งสองยืนใกล้กันแล้วมันกลับต่างกันอย่างมิอาจเทียบ แต่เดิมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มของลิ่วอวิ๋นก็ดูสง่างามมากแล้ว เมื่อสวมใส่อยู่บนกายของเขาก็ยิ่งขับให้ดูสูงส่งน่านับถือ และทำให้อาภรณ์ของลิ่วเยว่ดูจืดจางไปถนัดตา
“ฮ่า ๆ เกิดมาข้าก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายที่เกี้ยวพานสตรีไม่สำเร็จก็โกรธจนคิดจะลงมือฆ่า คนในอารามมีใบหน้าหนาเป็นกำแพงเช่นเจ้ากันหมดเลยหรือ? ”
ลั่วอวิ๋นเย้ยหยันลิ่วเยว่ด้วยเสียงเย็นชา เขาไม่ชอบลิ่วเยว่ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะความไร้ยางอายจนเกินเหตุของอีกฝ่าย ลั่วอวิ๋นก็ไม่อยากจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของคนผู้นี้
“ข้าก็ได้ยินคนเขาว่ากันมาแบบนั้นเช่นกัน คนจากอารามมีแต่พวกไร้ยางอาย”
ชื่อเซียวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวส่งเสริมลั่วอวิ๋นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เจ้าเป็นใคร? เจ้าเองก็คิดจะยุ่งเรื่องของข้าด้วยอย่างนั้นรึ?! ”
เมื่อเห็นชื่อเซียวลุกยืนขึ้น ลิ่วเยว่ก็ตกใจไม่น้อย เขาไม่คิดว่าจะมีคนขวัญกล้าคิดต่อต้านและท้าทายเขามากมายเพียงนี้ มิใช่แค่สองคน แม้แต่คนสติไม่สมบูรณ์เพียงคนเดียวก็ไม่ควรจะกล้าหยามเกียรติของคนจากอาราม
วันนี้ชื่อเซียวมาในชุดอาภรณ์ยาวสีแดงปักลวดลายประณีตบรรจง ที่เอวสอบคาดไว้ด้วยเข็มขัดที่เข้ากับลายปักบนเนื้อผ้า ดูงดงามโดดเด่น เมื่อรวมกับรอยยิ้มมีเสน่ห์บนใบหน้าคมก็ทำให้ลิ่วเยว่รู้สึกอิจฉา
“ฮ่าฮ่า ข้าก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของเจ้านักหรอก แต่สตรีที่เจ้ากำลังล่วงเกินอยู่คือสหายของข้า แน่นอนว่าข้าไม่สามารถทนดูอยู่เฉย ๆ ได้”
ชื่อเซียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นเยียบ เขาพูดพลางเดินเข้าไปหยุดข้างกายฉินอวี้โม่ แล้วกล่าวอีกครั้งด้วยเสียงนุ่มนวล
“ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ข้าช่วยเจ้าไม่ทัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มไม่ถือสา ทันทีที่ลิ่วเยว่ลงมือชื่อเซียวก็รีบลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะลั่วอวิ๋นสกัดฝ่ามือนั้นไว้ก่อนแล้ว เขาจึงไม่ได้เคลื่อนไหว
“สหายเจ้า? ”
ลิ่วเยว่มองฉินอวี้โม่และกล่าวเย้ยหยัน “เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงได้อวดดีไม่ไว้หน้าข้า ที่แท้ก็มีองครักษ์พิทักษ์สาวงามอยู่มากมายนี่เอง”
เมื่อเห็นสีหน้าและแววตารวมถึงได้ฟังถ้อยคำกระแนะกระแหนเหมือนสตรีของลิ่วเยว่ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เป็นเพราะนางเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีจึงนางไม่อยากถือสาหาความคนเช่นนี้
“ถูกต้องพวกเขาคือสหายข้า สหายข้ามิใช่มีเพียงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์สูงส่ง แต่ยังต้องสุภาพ รู้กาลเทศะ รู้จักมารยาท ต่างจากเจ้าที่ต่อให้อยากเป็นองครักษ์พิทักษ์ผู้ใดก็คงไม่มีใครต้องการ”
วาจาของฉินอวี้โม่นั้น แต่ละคำถูกเอ่ยออกมาด้วยความตั้งใจจะเสียดสีอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ กล้ามาต่อปากต่อคำกับนางมันเท่ากับรนหาที่ตาย
“ฮ่า ๆ แม่นางฉินกล่าวถูกแล้ว แค่เห็นหน้าข้าก็อยากจะอาเจียนแล้ว ใครมันจะอยากเป็นสหายกับคนอย่างเจ้า”
“ใช่ ใช่ ถือตัวว่ามาจากอารามคิดจะทำอะไรก็ได้ นี่ถ้าข้าบอกว่าหน้าของคนผู้นี้หนากว่ากำแพง ข้าจะถูกสับเป็นชิ้น ๆ รึเปล่านะ? ”
“กำแพงเรอะ? ข้าว่าแค่กำแพงคงไม่พอให้เทียบซะแล้วล่ะมั้ง! ”
“ *ชู่!*พวกเจ้าพูดอะไรไม่เกรงกลัวเลย… ข้าว่าที่หน้ากว่ากำแพงก็หินผนังถ้ำละมั้ง หรือนับภูเขาทั้งลูกเลยดีนะ? ”
เหล่าสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเองต่างก็สุดจะทนกับลิ่วเยว่แล้วเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ออกปากเอ่ยเห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอดไม่ได้ วาจาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามลิ่วเยว่
แต่เดิมพวกเขาก็ชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่กันมากอยู่แล้ว ในตอนนี้เมื่อได้เห็นว่ามีผู้ไม่ปรารถนาดีมาก่อกวนนาง เหล่าบุรุษนิสัยซื่อตรงคิดเห็นอย่างไรก็แสดงออกและพูดไปเช่นนั้นอย่างทหารแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนจึงทนไม่ได้และกล่าวขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวสถานะของอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมอย่างตั้งใจของสมาชิกกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน ใบหน้าของลิ่วเยว่ก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินไปชั่วขณะ ตอนนี้เขาคล้ายเป็นตัวตลกของงานเลี้ยงไปแล้ว ทว่าเมื่อมองเห็นว่าข้างกายฉินอวี้โม่มีทั้งชื่อเซียวกับลั่วอวิ๋นยืนเคียงข้างอยู่ บุรุษไร้ยางอายก็เริ่มอ้ำอึ้งไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกไป
แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่การมาเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งนี้เขามาตัวคนเดียวไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย และจากการประเมินด้วยสายตาความแข็งแกร่งของลิ่วอวิ๋นและชื่อเซียวก็ไม่ได้แย่ แม้ว่าจะมีอสูรมายาระดับเทวะอยู่ แต่หากต้องสู้กันจริง ๆ เกรงว่าตัวเขาเองจะมีปัญหาไม่น้อย
“ฮ่า ๆ ทุกท่านโปรดฟังสักครู่ ข้าคิดว่าตอนนี้อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันดีที่เรามาร่วมงานเลี้ยงกัน มันจะดีกว่าหรือไม่หากยอมถอยกันคนละก้าวเพื่อให้งานเลี้ยงดำเนินต่อไปได้”