“ฮ่า ๆ ทุกท่านโปรดฟังสักครู่ ข้าคิดว่าตอนนี้อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันดีที่เรามาร่วมงานเลี้ยงกัน มันจะดีกว่าหรือไม่หากยอมถอยกันคนละก้าวเพื่อให้งานเลี้ยงดำเนินต่อไปได้”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอึดอัด บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวไกล่เกลี่ย
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเมืองเยว่กวาง เขาไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับทางสตรีงดงามผู้นั้น ทว่าเขาก็ยังคงยำเกรงต่อขุมกำลังที่คอยสนับสนุนลิ่วเยว่อยู่ ถ้าหากวันนี้เขาทำประโยชน์ให้คนจากอารามหรือช่วยเขาแก้หน้าได้เล็กน้อย ในอนาคตสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเขาก็อาจจะได้ประโยชน์กลับมาบ้างก็ได้
“เอาล่ะ เชิญทุกท่านนั่งลงเถิด วันนี้ข้าชวนทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงเพื่อกระชับมิตรและสานสัมพันธ์มิใช่เพื่อเหตุผลอื่นใด ฉะนั้นก่อนที่ทุกท่านจะคิดทำสิ่งใดลงไปโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบอีกสักนิด”
ลั่วชิงซานที่เป็นเจ้าภาพหลักกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ดังไม่เบาเพื่อทำลายความอึดอัดภายในพื้นที่แห่งนี้
แม้ว่าถ้อยคำที่เขาใช้จะฟังคล้ายมีเจตนาลดทอนข้อขัดแย้ง ทว่ามันก็ดูเหมือนกับเป็นการเอ่ยเตือนลิ่วเยว่ไปในคราวเดียวกัน… ‘วันนี้เขาตั้งใจเชิญทุกคนมาร่วมมื้ออาหารไม่ใช่ทะเลาะวิวาท ฉะนั้นแล้วแม้ว่าจะเป็นคนจากอารามก็ควรจะให้เกียรติเขาในฐานะเจ้าภาพสักหน่อย’
“เหอะ เห็นแก่หน้าเจ้าเมืองวันนี้ข้าจะไม่ถือสาเอาความพวกเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วชิงซาน ลิ่วเยว่ก็เปล่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะหันหลังและเดินกลับไปนั่งยังตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมไว้เช่นเดิม
เมื่อเห็นว่าลิ่วเยว่ยอมถอยกลับไปนั่งที่ ฉินอวี้โม่ องครักษ์ซ้ายขวาของนาง สาวใช้น้อย รวมถึงสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็มองเขาด้วยสายตาดูถูก
แน่นอนว่าลิ่วเยว่มองเห็นสายตาพวกนั้นดี ทว่าตอนนี้เขาต้องอดกลั้นเอาไว้ ภายในหัวของบุรุษจากขุมกำลังมากอำนาจหมุนเร็วจี๋ เขาพยายามคิดหาหนทางตอบโต้คนพวกนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อลบล้างความอายในครั้งนี้*… ‘คอยดูเถอะพวกชั้นต่ำ ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องสำนึก ! ’*
“ขอบคุณมาก”
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มหวานหยดให้กับลั่วอวิ๋นและชื่อเซียวก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณ
“พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ จะเกรงใจกันไปทำไม? ”
ลั่วอวิ๋นหันไปมองชื่อเซียวและพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับบาง ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม คำพูดของลั่วอวิ๋นที่บอกว่า ‘ทุกคนเป็นสหายกัน’นั้นทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งอยากบอกไม่ถูก ในชีวิตก่อนที่เธอเป็นนักฆ่า มันยากมากที่เธอจะมีคนที่ยอมเป็นเพื่อนจริง ๆ สักคน พอมาอยู่ในโลกนี้ เธอจึงไม่เคยคิดเลยว่า แค่ผ่านมาไม่กี่วันจะได้เพื่อนที่ดีมาแล้วถึงสองคน
*‘เป็นสหายกัน’*ประโยคนี้ก้องอยู่ในหัวของฉินอวี้โม่ และทำให้อดีตสาวนักฆ่าอดยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาอย่างมีความสุขไม่ได้
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูมีความสุขของฉินอวี้โม่ ลั่วอวิ๋นกับชื่อเซียวก็หันมองหน้ากัน สองบุรุษยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
“อันที่จริง ที่ข้าเชิญชวนทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนี้ก็เพราะมีบางอย่างอยากจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ”
เมื่อเห็นแขกในงานนั่งลงประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว ลั่วชิงซานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะกล่าวเข้าประเด็นตามที่ตั้งใจไว้
“อย่างที่เราทุกคนทราบกัน เมืองเยว่กวางของเราจะถูกอสูรมายาบุกล้อมโจมตีในทุก ๆ ห้าปี และในทุกครั้งที่เมืองถูกโจมตี สำนักเจ้าเมืองก็จะตั้งรางวัลเอาไว้สำหรับผู้ที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในวันอสูรล้อมเมือง”
“ครั้งก่อน รางวัลที่สำนักเจ้าเมืองได้จัดไว้ให้ก็คือกระบี่อเวจีมรกต กระบี่เล่มนั้นคืออาวุธระดับวิญญาณที่ทรงพลังมาก ข้าคิดว่าทุกท่านก็คงจะได้ยินกันมาบ้างแล้ว ในครั้งนี้ทางเราก็ได้จัดเตรียมรางวัลเอาไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งข้าขอแสดงความยินดีกับทุกท่านไว้ล่วงหน้าเพราะรางวัลสำหรับครั้งนี้มีความพิเศษและยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าครั้งก่อนมาก”
กระบี่อเวจีมรกตคืออาวุธระดับวิญญาณที่ตีโดยปรมาจารย์ช่างหลอมอาวุธผู้มีฝีมือสูงส่ง มันทั้งทรงพลังและคมกริบ
ในดินแดนนี้ อาวุธจะถูกแบ่งออกเป็นหกระดับ ได้แก่ ระดับทองแดง, ระดับเงิน, ระดับทอง, ระดับวิญญาณ, ระดับสมบัติ, ระดับวิจิตร และระดับศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่อาวุธระดับวิญญาณก็ถือเป็นอาวุธที่หลอมขึ้นมาได้ยากเย็นอย่างยิ่งแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงอาวุธในระดับสูงขึ้นไปที่ถือว่าหาได้ยากยิ่งกว่ายาก
ดังนั้นกระบี่ระดับวิญญาณจึงถือเป็นรางวัลที่ล้ำค่ามากแล้ว การที่ทางสำนักเจ้าเมืองจัดเตรียมรางวัลระดับนั้นไว้ให้ในเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งก่อนก็เพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจของเหล่านักล่าอสูร แน่นอนว่าไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมปรารถนาจะครอบครองอาวุธล้ำค่า ดังนั้นทุกคนจึงพยายามอย่างหนักเพื่อคว้าชัยชนะ คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าพวกเขาถูกสำนักเจ้าเมืองใช้ความมั่งคั่งมาสร้างแรงจูงใจ
เมื่อได้ยินว่ารางวัลของปีนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าครั้งก่อน ผู้มาร่วมงานเลี้ยงทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง ตอนนี้บรรยากาศภายในพื้นที่แห่งนี้เริ่มเร่าร้อนขึ้นแล้ว
“ท่านเจ้าเมือง ท่านพอจะให้เราได้ชมรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้สักหน่อยจะได้รึไม่? ”
มีบางคนที่อดใจไม่ไหวจนต้องถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลั่วชิงซานพยักหน้าพร้อมกับยิ้มสนุกสนานและกล่าว “แน่นอน ไม่มีปัญหา”
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็คว้าเอากระบี่อ่อนเล่มหนึ่งที่มีความบางไม่ต่างจากกระดาษออกมาจากแหวนมิติ
“นี่คือรางวัลของปีนี้ กระบี่ปีกจักจั่น”