ขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังสนทนากับลั่วอวิ๋นอยู่นั้น เสี่ยวเฮยตัวน้อยก็บินกลับมาเกาะลงบนไหล่ของนาง
หลังจากได้ยินสิ่งที่อาชาสีดำขนาดเท่าลูกแมวเล่าให้ฟังที่ข้างหู ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
ในเมื่อพวกเขาต้องการจะมาไม้นี้ นางก็ไม่รังเกียจที่จะลงเล่นกับพวกเขาสักตั้ง!
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ลิ่วเยว่ก็เดินกลับเข้ามาภายในงานพร้อมด้วยหลี่เปียวที่ติดตามมา
ลิ่วเยว่ค่อย ๆ เดินตรงมายังจุดที่ฉินอวี้โม่นั่งอยู่
“ฉินอวี้โม่ ข้าต้องการท้าประลองกับเจ้า”
“ท้าประลองกับข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าแน่ใจแล้วนะ? ”
สิ่งที่ลิ่วเยว่คุยกับหลี่เปียวในสวนนั้น อดีตสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูคนงามได้รับรู้ทุกอย่างมาจากเสี่ยวเฮยจนหมดแล้ว ทว่านางก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว …ตอนนี้นางอยากเล่นตามบทบาทที่พวกเขาวางเอาไว้ไปก่อนเพื่อดูเชิงของฝ่ายตรงข้าม
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเองก็มีฝีมือสูงส่งและยังมีอสูรเทวะในครอบครอง ข้าจึงต้องการท้าประลองกับเจ้ามากกว่าผู้ใดในที่แห่งนี้”
ลิ่วเยว่จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดุดัน แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อเลยก็ตาม แต่หลี่เปียวได้บอกเรื่องนี้กับเขาเมื่อสักครู่ และเนื่องจากหลี่เปียวเคยมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่มาก่อน เขาจึงเชื่อว่าชายผู้นั้นคงจะไม่โกหกเขาแน่นอน
“เจ้าเป็นถึงบุรุษอกสามศอก ทั้งยังมีฐานะเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์แห่งขุมกำลังใหญ่ เหตุใดจึงเลือกท้าทายสตรีบอบบางอย่างข้า ไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยหรือ? ”
ฉินอวี้โม่ทำหน้าตายุ่งเหยิงใส่อีกฝ่าย แม้จะล่วงรู้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่นางต้องแสร้งทำเป็นโอดครวญให้เขาเชื่อว่านางไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ …ตอนนี้สาวงามนักฆ่าตัดสินใจแล้วว่าจะเล่นตามบทละครของอีกฝ่ายไปให้ถึงที่สุด
“ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า ยิ่งกว่านั้นการท้าประลองของข้ามิใช่การประลองกันตัวต่อตัว แต่เป็นการแข่งขันกันทำผลงานในเทศกาลอสูรล้อมเมืองวันพรุ่งนี้”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่มีท่าทางลังเลและพยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาคล้ายกังวลที่จะต่อรองและไม่ยินดียอมรับคำท้านี้ ลิ่วเยว่ก็ยกยิ้มมุมปากในทันที ในเวลานี้เขายิ่งเชื่อในคำบอกเล่าจากปากของหลี่เปียวมากยิ่งขึ้น เขาคิดอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่ต้องไม่กล้ารับคำท้าของเขาหากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ด้วยเหตุนี้เขาจึงยกเรื่องอสูรล้อมเมืองขึ้นมาเป็นหัวข้อการประลองแทน
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อย ๆ พยักหน้าช้า ๆ
“เอ่อ… หากแพ้ข้าก็มีแต่ต้องอับอาย… แต่ถ้าชนะก็เหมือนว่าข้าไม่ได้สิ่งใดอยู่ดี พวกท่านว่าอย่างนั้นไหมล่ะ? ”
“หึ ๆ แม่นางฉินอวี้โม่ ข้ามีข้อเสนอ แต่ไม่รู้ว่าแม่นางจะกล้ารับรึเปล่า”
เมื่อเห็นว่าเหยื่อในแผนการของพวกเขาเริ่มคล้อยตามขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หลี่เปียวก็ก้าวออกมาแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลตามที่ได้ซักซ้อมกับลิ่วเยว่มาก่อนหน้านี้
“โอ้! เชิญหัวหน้าหลี่เปียวพูดมาได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้หลี่เปียวกล่าวข้อเสนอ ดวงตางดงามยังคงมีแววกังวลปรากฏ ทว่าในใจของนางกำลังยกยิ้มเย็นชา *‘เปิดตัว ตัวละครเพิ่มแล้วสินะ’*หลี่เปียวผู้นี้คือคนที่นางยอมปล่อยให้รอดชีวิตออกไปจากป่าแสงจันทร์เมื่อคราวก่อน แต่ดูเหมือนเขาไม่คิดที่จะหลาบจำแม้แต่น้อย
ในแววตาเหี้ยมเกรียมที่หลี่เปียวใช้มองฉินอวี้โม่เวลานี้นั้นเต็มแน่นไปด้วยความเกลียดชังอย่างยากที่จะบรรยาย
ที่สมาคมทหารรับจ้าง ครั้งแรกเขาถูกฉินอวี้โม่ทำให้อับอายต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งตอนนั้นเขายังถูกผู้ฝึกกายาเล่นงานจนต้องวิ่งหนีอย่างน่าอนาถ สตรีผู้นี้ทำให้หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่รู้สึกเสียหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
ครั้งต่อมา ภายในป่าแสงจันทร์ ฉินอวี้โม่ร่วมมือกับกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมาชิงผลหลิวหลีที่เขาเกือบจะได้มาครองอยู่แล้วไป เรื่องครั้งนั้นทำให้กลุ่มทหารรับจ้างของเขาเสียหายอย่างหนัก นอกจากภารกิจจะล้มเหลวแล้ว เขาและลูกน้องต่างก็ได้รับบาดเจ็บจนบางคนต้องใช้เวลารักษายาวนานซึ่งก็ทำให้โอกาสที่พวกเขาจะเลื่อนขึ้นเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่งภายในเวลาอันสั้นจึงถือว่าเหลือน้อยเต็มที
แม้ว่าในป่าแสงจันทร์ครั้งนั้น หลี่เปียวจะรู้สึกหวาดกลัวฉินอวี้โม่มากก็จริง แต่ทันทีที่ออกจากป่ามาได้ ไฟแห่งความแค้นชิงชังก็ลุกโชนขึ้นในใจเขาและยังคงสุมอยู่ในอกจนถึงวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องชำระแค้นนี้กับนางให้ได้
ถึงแม้เขาอยากจะแก้แค้นฉินอวี้โม่มากเพียงใด ทว่ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของพวกเขาก็ไม่แข็งแกร่งมากพอจะคุกคามนางในตอนนี้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงการคุกคามผู้ใด เพียงแค่รักษาร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บก็ยากเย็นไม่น้อยแล้ว
และในวันนี้เขาก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ฉินอวี้โม่กับสหายของนางกล่าววาจาดูหมิ่นลิ่วเยว่ผู้เป็นตัวแทนจากอารามอย่างรุนแรง ในตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าสวรรค์มีตาส่งโชคมาให้เขา เมื่อเจ้าเมืองกล่าวเปิดงานจบเขาก็แอบเห็นบุรุษจากอารามเดินออกด้านนอก เขาคิดแผนได้ในเวลานั้นและรีบเข้าไปยื่นข้อเสนอให้คนผู้นั้นทันที
เนื่องจากลิ่วเยว่ถือเป็นยอดฝีมือที่มาจากอาราม ฉะนั้นแล้วความแข็งแกร่งของเขาก็ต้องอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ หากว่าชักชวนคนผู้นั้นมาเป็นพวกได้ หลี่เปียวก็ไม่ต้องเกรงกลัวฉินอวี้โม่และสหายของนางอีก และต่อให้สตรีผู้นั้นเรียกอสูรมายาระดับเทวะทั้งสองออกมา เขาก็ยังคิดว่าอสูรเทวะของลิ่วเยว่ก็คงไม่มีวันพ่ายแพ้อสูรของนางแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลี่เปียวก็ตัดสินใจจะใช้ลิ่วเยว่เพื่อเล่นงานฉินอวี้โม่ ในเมื่ออีกฝ่ายมาทำลายภารกิจของเขาจนต้องพบเจอความเสียหาย เขาก็จะให้นางได้สูญเสียบางสิ่งไปเช่นกัน และจะทำให้นางเสียหายหนักกว่าเขาอีกด้วย
“ในที่นี้ทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่าฝีมือของแม่นางฉินอวี้โม่ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านลิ่วเยว่เท่าไหร่นัก แต่เพื่อไม่ให้แม่นางรู้สึกเสียเปรียบ พวกเรากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจยินดีจะเอาลูกอสูรมายาที่เราเลี้ยงดูเป็นอย่างดีมาเป็นรางวัล ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ ลูกอสูรมายาตัวนี้ก็จะเป็นของคนผู้นั้นทันที”
หลี่เปียวพูดจบก็กวักมือให้คนนำเอากรงเข้ามากรงหนึ่ง ฉินอวี้โม่มองเห็นว่าภายในกรงนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกระรอกตัวหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่
“เจ้านี่ก็คือลูกของเพียงพอน (เฟอเรท) ความแข็งแกร่งของมันนับว่าไม่ธรรมดา ข้าคิดว่าทุกคนก็คงจะเคยได้ยินมาบ้าง”
หลี่เปียวกล่าวอธิบายกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะต้องเอาอสูรมายาสุดรักสุดห่วงออกมาเป็นของรางวัล ทว่าหลี่เปียวกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากมายนัก เพราะเขามั่นใจว่าอย่างไรลิ่วเยว่ก็ต้องเป็นผู้ชนะ หากต้องเสียลูกเพียงพอนไป เช่นนั้นมิสู้ส่งมันให้เป็นของกำนัลแก่คนจากอารามไปเลยเขายังจะได้ประโยชน์มากกว่า
“หัวหน้าหลี่เปียวช่างใจกว้างยิ่งนัก”
ฉินอวี้โม่รู้ความคิดและแผนการของอีกฝ่ายดี ทว่านางก็ไม่คิดที่จะไปทำลายแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ อุตส่าห์วางโครงเรื่องและซุ่มซักซ้อมกันมาแล้วนี่… ก็ต้องยอมให้เล่นจนจบจึงจะเหมาะสม
“ในเมื่อหัวหน้าหลี่เปียวยอมลงทุนถึงเพียงนี้ เห็นทีว่าถ้าข้าไม่รับคำท้าก็คงจะเหมือนไม่ให้เกียรติพวกท่านแล้ว”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นรู้สึกหมดหนทาง นางกล่าวต่อ “วันนี้คุณชายลิ่วเยว่อุตส่าห์ออกปากท้าประลองกับข้า ข้าจึงรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้แข่งขันกับคุณชาย ข้าเองก็จะไม่เอาเปรียบท่าน หากว่าคุณชายลิ่วเยว่ชนะข้าจะมอบอสูรมายาของข้าให้เขา —”
“ยอดเยี่ยมมาก แม่นางฉิน”
ยังไม่ทันที่ฉินอวี้โม่จะพูดจบ ลิ่วเยว่ก็ใจร้อนกล่าวขัดขึ้นมาก่อน
“เช่นกัน ถ้าข้าแพ้ ข้าก็จะส่งอสูรเทวะของข้าให้แม่นางฉินอวี้โม่ทันที”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของคนหน้าไม่อาย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างไม่อาจห้าม