ตอนที่ 132 : ชื่อหยวนจื่อ
“นั่นก็ดีสำหรับผมเหมือนกัน” หวังเย่าพอใจขึ้นมาทันที เขาไม่คิดเลยว่ากิเลนไฟสวรรค์จะมีหัวคิดแบบนี้ ถ้าเป็นแบบที่อีกฝ่ายพูดจริง ๆ งั้นมันก็ช่วยเขาได้อย่างมาก
อันที่จริงแล้ว หากกิเลนไฟบอกว่าจะยกแร่ให้ครึ่งหนึ่งและบังคับให้หวังเย่าช่วย หวังเย่าก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้
“ในเมื่อท่านทำเพื่อลูกขนาดนี้ หากผมยังปฏิเสธอีก มันก็คงไม่ดีเท่าไหร่” หวังเย่ากล่าวอย่างไร้ยางอาย “อันที่จริงแล้ว ผมมียาลับที่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะเป็นภาระต่อร่างกาย แต่ก็ช่วยย่นระยะเวลาในการใช้ทักษะลับสำหรับวิวัฒนาการ ถ้าหากท่านสามารถขนแร่ไฟทั้งหมดออกมาจากเหมืองได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน งั้นผมก็จะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะวิวัฒนาการลูกของท่านทั้งสองคนให้สำเร็จภายในหนึ่งเดือนนี้ให้ได้ ท่านคิดว่าไง ? ”
“เดือนเดียวงั้นหรือ ? ” กิเลนไฟแสดงท่าทีลังเล “ข้าตกลง ข้าจะขนแร่ไฟครึ่งหนึ่งออกไปในครึ่งเดือนนี้ จากนั้นเจ้าจะต้องวิวัฒนาการลูกข้าให้ได้ 1 ตัว ในอีกครึ่งเดือนหลังข้าจะขนแร่ไฟที่เหลือออกไปให้ และเจ้าก็ต้องวิวัฒนาการลูกข้าให้เสร็จ”
กิเลนไฟรีบตอบกลับเพราะกลัวว่าหวังเย่าจะเปลี่ยนใจ
เหตุผลที่มันไม่เลือกที่จะกักขังหวังเย่า ก็เพราะประการแรก มันไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของมนุษย์ดีนัก กิเลนไฟสวรรค์นั้นมาจากอีกโลก และเคยเห็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งมามากมายแต่การที่มันนอนหลับมากว่า 3,000 ปีนั้นมันจึงไม่รู้ว่ามิติแห่งนี้ได้เชื่อมต่อกับโลกแล้ว
ประการที่สองคือแร่ไฟเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์กับพวกมันมากนัก ด้วยพรสวรรค์ของพวกมันแล้ว ทำให้พวกมันสามารถสร้างแร่ไฟขึ้นมาได้เรื่อย ๆ นอกจากแร่ไฟขั้นสูงแล้ว แร่ไฟขั้นต้นและขั้นกลางนั้นไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของพวกมัน ถึงพวกมันจะออกจากที่นี่ไป แต่พวกมันก็ไม่คิดจะขนแร่พวกนี้ไปด้วย มันคงดีกว่าถ้าจะใช้ของเหล่านี้แลกเปลี่ยนกับหวังเย่า
เป็นธรรมดาที่หวังเย่าจะตกลงกับข้อเสนอของกิเลนไฟ เขาแสดงท่าทีเคารพและถามขึ้นมา “ผมขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ ? ”
“ฉันชื่อ ‘ชื่อหยวนจื่อ’ ลูกตัวแรกฉันชื่อ ‘ชื่อรื่อ’ ตัวที่สองชื่อ ‘ชื่อเยว่’ ตัวที่สาม ‘ชื่อซิง’ ” เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเจรจาธุรกิจกัน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องรู้จักชื่อของอีกฝ่าย
หวังเย่าตอบกลับ “ท่านชื่อหยวน งั้นผมกับเพื่อนทั้งสามคนขอตัวออกจากที่นี่ก่อน ในอีกครึ่งเดือนผมจะกลับมา”
ชื่อหยวนจื่อได้พูดขึ้น “ช้าก่อน ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
หวังเย่าแสดงสีหน้าสงสัยออกมา ชื่อหยวนจื่ออยากจะออกไปยังโลกด้านนอกอย่างงั้นหรือ ? มันคงไม่ดีแน่ เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป ตัวใหญ่เกินไป และการออกไปมีแต่จะสร้างปัญหา
แต่เขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะพูดแบบนั้นออกมา “ท่านชื่อหยวน ท่านอาจจะไม่รู้สถานการณ์ในมิติลับดีนัก หรืออาจจะบอกว่าไม่รู้สถานการณ์ของโลกด้านนอก”
ชื่อหยวนจื่อได้ยินแบบนั้นก็แสดงท่าทีสงสัยออกมา “นายลองบอกมาสิ”
หวังเย่าตอบกลับทันที “ได้ ผมขอพูดตามสัตย์จริง โลกด้านนอกคือโลกมนุษย์ แต่เดิมแล้วมนุษย์ขับเคลื่อนชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่างกายของมนุษย์นั้นอ่อนแอมาก แต่เมื่อหลายสิบปีก่อน โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไป มันมีมิตินับไม่ถ้วนเชื่อมต่อกับโลก มิติลับแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น มนุษย์เข้าออกมิติลับได้ตามใจ แต่สัตว์อสูรในมิติลับนั้นเมื่อเข้าไปในโลกแล้ว พลังของสัตว์อสูรจะถูกจำกัด ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังที่จำกัดก็มากเท่านั้น ผมกังวลว่าหากท่านชื่อหยวนออกไปก็อาจจะเจอกับปัญหานี้เข้า”
หวังเย่าพูดออกมาด้วยท่าทีจริงใจ แต่ชื่อหยวนจื่อกลับหัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร ฉันรู้กฎนี้ดี ยังไงซะฉันก็ไม่ใช่สัตว์อสูรในมิตินี้”
“ข้าจะบอกความลับกับเจ้า มีแค่โลกที่มีกฎฟ้าดินที่สมบูรณ์เท่านั้น จึงจะมีแก่นพลังเพียงพอในการจำกัดพลังของคนนอกเอาไว้ ซึ่งโลกมนุษย์ก็น่าจะมีกฎฟ้าดินที่สมบูรณ์ แต่ว่าข้าก็มีทักษะลับที่จะช่วยลดพลังในการจำกัดนั้นอยู่”
“เมื่อท่านชื่อหยวนพูดแบบนั้น งั้นผมก็จะไม่ห้ามอะไร” หวังเย่าพูดออกมาด้วยท่าทียินดี
ชื่อหยวนจื่อพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ข้าอยากจะออกจากมิติลับนี้โดยเร็วที่สุด เพื่อพาลูก ๆ ทั้งสามออกไปท่องโลกกว้าง พวกเขาจะได้เติบโตเร็วขึ้นกว่าเดิม”
“ตามที่เจ้าบอกมา โลกมนุษย์ได้เชื่อมต่อกับมิตินับไม่ถ้วน นั่นถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างไรเสีย การเดินทางผ่านห้วงมิติอวกาศก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ข้าเองก็อยากออกไปทำความเข้าใจโลกภายนอกให้มาก ถ้าหากมันเหมาะสมจริง ๆ ข้าก็สามารถตั้งรกรากที่นั่นในระยะยาวได้ หรือไม่ก็เข้าไปในมิติลับอื่น ๆ เรื่องนี้มันสะดวกมาก”
“แม้แต่ข้ากับเจ้าก็ยังเป็นมิตรกันได้ เป็นธรรมดาที่ข้าหวังว่าจะสามารถผูกมิตรกับมนุษย์ได้ สำหรับสภาพแวดล้อมของโลกจะเหมาะสมกับพวกข้ารึเปล่านั้น ข้าคงต้องไปตรวจสอบมันกับตัวเอง”
“แต่ผมต้องบอกท่านก่อนว่ามีสัตว์อสูรที่เหนือกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ แม้แต่ระดับศักดิ์สิทธิ์ผมก็เจอมาหลายตัวแล้ว ท่านต้องระวังตัวด้วย” หวังเย่าพูดขึ้นด้วยท่าทีเป็นห่วง
“ท่านเทพงั้นหรือ ? เด็กน้อย เจ้าพูดผิดแล้ว สัตว์อสูรที่เหนือกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นคือสัตว์อสูรระดับเทพ พวกนั้นคือเทพจริงๆ “ ชื่อหยวนจื่อเหมือนจะสนใจยิ่งกว่าเดิม นี่คือเรื่องที่ท้าทายมาก การปรากฏตัวของเทพนั้นทำให้มันคึกคักกว่าเดิมไปอีก มันอยากจะออกไปพบกับอีกฝ่าย
“ขอโทษด้วย เพราะมนุษย์นั้นยังอ่อนแอและปรับตัวกับโลกไม่ได้ เราจึงไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งยังไง” หวังเย่าพูดขึ้น
ชื่อหยวนจื่อแสดงท่าทีเฉยเมยก่อนที่ตัวมันจะระเบิดลำแสงออกมา ตัวของมันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง จนหวังเย่ามองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก้อนแสงที่สูงกว่าร้อยเมตรก็ลดขนาดลงมา
ไม่นานร่างของผู้หญิงในชุดแดงที่อายุราว ๆ ประมาณ 26 ปีก็เดินออกมา เธอดูสวยและสูงส่ง รูปร่างของเธอเพรียวบางพร้อมกับสะโพกที่ผาย แค่มองก็ทำให้หลงใหลได้
หวังเย่าเห็นแบบนั้นก็ถึงกับหายใจสะดุด ชื่อหยวนจื่อไม่ใช่แค่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ แต่ยังเปลี่ยนเป็นหญิงงามอีกด้วย ถ้าเธอเข้าไปในเมือง แน่นอนว่าทุกคนต้องหันมามองเธอเป็นตาเดียว ความสวยของเธอเพียงพอที่จะทำให้เกิดสงครามแย่งเธอได้
“แบบนี้เป็นยังไง ? ” ชื่อหยวนจื่อยิ้มด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์
หวังเย่าอึ้งไปสักพัก แต่เขารู้ว่าชื่อหยวนจื่อแท้จริงเป็นอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าคิดอะไรมากและตอบกลับตามความจริง “ท่านสวยจริง ๆ “
“เจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม ลูกอยู่ที่นี่ก่อน แม่จะออกไปข้างนอก” ชื่อหยวนจื่อบอกกับลูก ๆ ของเธอ
กิเลนไฟทั้งสามได้แต่พยักหน้า สายตาของพวกมันแสดงความคาดหวังออกมา เพราะจริง ๆ พวกมันก็อยากจะตามออกไปด้วย
ตอนนั้นเองกิเลนไฟทั้งสามก็ได้ไปเปิดประตูห้องลับก่อนจะพบกับชายสามคนในห้อง พวกนั้นดูผ่อนคลาย เมื่อได้รับอนุญาตจากชื่อหยวนจื่อแล้ว ทั้งสามจึงพากันเดินออกมา
แต่ตอนนั้นทั้งสามคนยังไม่ทันได้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนก็ถูกลมห่อหุ้มตัวเอาไว้ ก่อนจะลอยขึ้นจากพื้นและบินไปยังทางออกของมิติลับทันที
ไม่นานหลังจากนั้นลมก็สลายตัวไปก่อนที่พวกเขาจะตกลงไปในหลุมดำ…
ทั้งสามคนได้ปรากฏตัวขึ้นเหนือมิติเทือกเขาหินโม่ พวกเขาได้สติกลับมาและพากันมองหน้ากันด้วยความสับสน