ในโถงหนิงเฮ๋อ นางฮานกำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาภายใต้สีหน้าบึ้งตึง ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยจิตใจที่กำลังฟุ้งซ่าน “ครานี้เกรงว่าจะปกปิดมิได้แล้ว…”
แม่เจียงมีสีหน้าร้อนรนใจ ด้วยเมื่อครู่ชุ่ยผิงน้องสาวของชุ่ยจือเข้ามารายงานว่าเหล่าเหยียเรียนเชิญท่านหมอฮว๋ามาตรวจอาการของหลิวอี๋เหนียง ตระกูลฮว๋าเป็นถึงตระกูลผู้มีชื่อเสียงทางการแพทย์และยังเป็นหมอหลวงอันดับต้นๆ ที่เลื่องชื่อในใต้หล้านี้ ทักษะการรักษาของท่านหมอฮว๋ายอดเยี่ยมยิ่งนัก จึงเกรงว่ากลอุบายนั่นจะไม่อาจปิดซ่อนเอาไว้ได้เสียแล้ว
“อย่าเพิ่งตื่นตูมไปเลยเจ้าค่ะ ปริมาณยาที่พวกเราใส่น้อยนิด หมอผู้นั้นเอ่ยว่ายังจำเป็นต้องวางยาลงไปอีกหลายครั้งถึงจะมีอาการแสดงออกมาเล็กน้อย มิแน่ว่าท่านหมอฮว๋าจะสามารถวินิจฉัยออกได้นะเจ้าคะ” แม่เจียงกล่าวเชิงหลอกตนเอง
นางฮานกล่าวอย่างแค้นเคือง “คาดไม่ถึงว่าเหล่าเหยียจะถึงขั้นเชิญท่านหมอฮว๋ามาเพื่อนังข้าทาสคนเดียว”
“มิว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราเตรียมแผนการรับมือในกรณีเลวร้ายสุดไว้ก่อนเป็นอันดีกว่านะเจ้าคะ หากมิได้การจริงๆ …” นัยน์ตาของแม่เจียงฉายให้เห็นความอำมหิตขึ้นมาวูบหนึ่ง
นางฮานกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าถูกโบยไม่กี่ไม้ก็สามารถจบปัญหาได้ นางคงต้องได้รับโทษสูงสุดอย่างแน่นอน “เจ้าต้องหาวิธีป้องกันให้ดีๆ ทางที่ดีที่สุดอย่าให้นางเอ่ยปากขึ้นมาได้”
นัยน์ตาของแม่เจียงฉายความอำมหิตยิ่งขึ้น “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ชุ่ยผิงมาแล้วเจ้าค่า…” ชุนฉีที่อยู่ด้านนอกส่งเสียงบอกกล่าว
นางฮานยืดตัวตรง ลูบคลำผมแล้วจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง หลังจากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ให้นางเข้ามา”
ชุ่ยผิงเดินก้มหน้าเข้ามา “ท่านหมอฮว๋าออกไปแล้วเจ้าค่ะ หลังจากนั้นเหล่าเหยียก็ให้ไปบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนายให้มาตรวจอาการป่วยของหลิวอี๋เหนียง ข้าน้อยสอบถามอาจินแล้ว อาจินเอ่ยว่าแอบได้ยินท่านหมอฮว๋าวินิจฉัยว่าได้รับสารพิษเข้าแล้วเจ้าค่ะ…” ชุ่ยผิงเลือกที่จะไม่บอกเรื่องที่นางเกือบถูกนายหญิงสะใภ้รองจับได้เข้าแล้ว ข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นมาเช่นนี้ นางคงไม่ได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอน
นางฮานหน้าซีดทันที รู้สึกเพียงเส้นเลือดในหัวสมองเต้นตุบๆ ก่อนจะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนเล็กน้อย “ไปสอดส่องดูอีกที”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยผิงขานรับเสียงบางเบาแล้วรีบออกไปอีกครั้ง
ชุ่ยจือถือโอกาสช่วงปราศจากผู้คนในลานบ้าน ยื่นแขนออกไปดึงชุ่ยผิงมาอยู่ด้านหลังเสาแล้วเอ่ยถามเสียงกระซิบ “ส่งตัวเจ้าออกไปทำเรื่องอันใดแล้วหรือ”
ชุ่ยผิงเห็นสีหน้าลุกลี้ลุกลน ภายในใจก็บังเกิดความหวาดกลัวอย่างมาก “สั่งให้ข้าไปสืบถามข่าวคราวทางด้านหลิวอี๋เหนียง ทว่าเมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าจะถูกเอ้อร์เส้าหน่ายนายเห็นเข้าแล้ว”
“เจ้ามั่นใจหรือ” ชุ่ยจือกล่าวถาม
ชุ่ยผิงลนลาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมองเห็นข้าแล้ว ทว่าข้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว นางน่าจะไม่เห็นชัดเจนว่าเป็นผู้ใด”
ชุ่ยจือกล่าวด้วยความกังวลใจ “ข้าอยู่ปรนนิบัติข้างกายมานานหลายปี นิสัยของนางข้าจึงรู้ดีเป็นอย่างยิ่ง ยามใช้งานได้เรื่องก็อาจจะชื่นชมเจ้ามากหน่อย แต่เมื่อใดที่ใช้การมิได้เรื่อง นางก็สามารถลงมือจัดการได้อย่างไร้ความปราณี ข้าใจคอไม่ดีตลอดทุกวี่ทุกวันด้วยเกรงว่าจะสั่งให้ข้าไปทำเรื่องไม่ดีบางเรื่อง ทว่าวันนี้เจ้าดันตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นจนได้…”
ชุ่ยผิงกล่าวภายใต้ความรู้สึกเศร้าสลด “ข้าเพียงแค่ไปช่วยสืบถามข่าวคราว คงไม่มีอันใดร้ายแรงกระมัง”
“จะมิร้ายแรงได้อย่างไรหรือ หากเจ้าถูกเปิดโปรงแล้ว เหล่าเหยียคงไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ ดังนั้นเจ้าต้องระมัดระวังเข้าไว้” ชุ่ยจือกล่าวตักเตือนนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชุ่ยจือพยักหน้ารัวๆ “ข้าไหว ข้าทำได้”
ชุ่ยจือถอดถอนหายใจออกมาด้วยความกังวลขณะมองดูค่อยๆ หายเข้าไปท่ามกลางความมืดมิด การได้รับความไว้วางใจก็มิใช่เรื่องดีเสมอไป
ภายในห้อง นางฮานกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นและเอาแต่นิ่งเงียบ แม่เจียงที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด นางไม่กล้ารบกวนใดๆ ทำให้ภายในห้องตกอยู่ในสภาวะเงียบสงัด
หลังเวลาผ่านไปเนิ่นนาน นางฮานถึงได้กล่าวขึ้น “แม่เจียง เจ้าไปวางแผนทีสิ”
แม่เจียงตระหนักได้ในทันที “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวลงมือคืนนี้เลยเจ้าค่ะ”
นางฮานชายตาขึ้น ดวงตาของนางดูเลื่อนลอยขณะกล่าวออกไปอย่างหดหู่ใจ “ทุกอย่างมันแย่จริงๆ แย่ไปหมด”
แม่เจียงกล่าวเสียงแผ่วเบา “เดือนแรกของปีไปวัดเซียงซานเพื่อขอพรกันสักครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ”
นางฮานกล่าวอย่างเหนื่อยใจ “ควรไปไหว้พระสักหน่อยแล้วล่ะ หวังว่าพระพุทธเจ้าจะสามารถนำความสงบสุขมาให้สักหน่อย”
เวลาผ่านพ้นไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ชุ่ยผิงเข้ามารายงาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายวินิจฉัยว่าเป็นมดลูกได้รับความเย็นเจ้าค่ะ เหล่าเหยียเลยสั่งให้อาจินไปจัดหายามาเจ้าค่ะ”
นางฮานและแม่เจียงมองหน้ากันเลิ่กลัก “เจ้าถามละเอียดแล้วใช่หรือไม่”
ชุ่ยผิงกล่าว “ข้าน้อยฟังมาจากอาจินเจ้าค่ะ เขาให้ข้าน้อยกลับมาก่อน ไว้เขาจะไปตรวจสอบความจริงอีกครั้งยามที่ไปซื้อตัวยาที่ร้านยาว่าใช่ยารักษาอาการมดลูกโดนความเย็นหรือไม่เจ้าค่ะ”
นางฮานรู้สึกเสมือนยกภูเขาออกจากอก นางพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าทำได้ดีมาก แม่เจียงช่วยไปหยิบกำลังหินหินปะการังแดงมามอบเป็นรางวันให้นางทีสิ”
แม่เจียงถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความรู้สึกโล่งใจเช่นกัน นางยิ้มหน้าเบิกบานเดินไปหยิบกำไลที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งมามอบให้ชุ่ยผิง “ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีๆ เจ้าไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน”
ชุ่ยผิงรับรางวัลมาไว้แล้วกล่าวขอบคุณด้วยความดีอกดีใจ หลังจากนั้นจึงถอยออกไป
“หลินหลันยังทำเป็นอวดอ้างว่าทักษะการรักษาของตนเองยอดเยี่ยมนักหนา ที่แท้ก็มีความสามารถเพียงเท่านี้แล้วยังกล้าเปิดร้านขายยาอีก ฮึ ข้าไม่คิดว่าจะนางทำสำเร็จไปได้ ที่รักษาภรรยาท่านจิ้งปั๋วโหว์ได้ก็แค่โชคดีเท่านั้นกระมัง” นางฮานกล่าวดูถูกเหยียดหยัน
แม่เจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่เหล่าเหยียเชื่อนางนะเจ้าคะ ยามนี้ก็รอเพียงข่าวคราวทางด้านอาจินนั่น”
นางฮานเอนกายเข้าหาหมอนอิงใบใหญ่ “เหล่าเหยียต้องให้หลิวอี๋เหนียงปรับสมดุลอาการมดลูกถูกความเย็น ซึ่งก็คงมิปล่อยให้นางตั้งครรภ์ไปได้อีกสักพัก พวกเราก็มิต้องร้อนรนใจปานนี้อีกแล้ว ทำเพียงมองดูอย่างเงียบๆ ไปก่อนแล้วกัน”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ แม้ว่านางจะตั้งครรภ์ขึ้นมาก็คงไม่สามารถคลอดออกมาได้อย่างราบรื่น และมิแน่ว่าต่อให้คลอดออกมาแล้ว จะสามารถเลี้ยงให้เติบใหญ่ได้หรือไม่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งเจ้าค่ะ” แม่เจียวกล่าวเสริมด้วยความสะใจ
ทั้งสองมองหน้ากันและเผยรอยยิ้มออกมา ใจคอไม่ดีอยู่ตลอดทั้งคืน ในที่สุดก็สามารถวางใจได้เสียที คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ทักษะการรักษางูๆ ปลาๆ ของหลินหลัน กลับช่วยนางเอาไว้ได้อย่างใหญ่หลวง
ปีใหม่ผ่านพ้นไปอย่างเป็นระเบียบแบบแผน หลินหลันมิได้ไปใส่ใจเรื่องของหลิวอี๋เหนียงอีกเช่นกัน พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมีหน้าที่นำทัพ ส่วนพวกเขาสามีภรรยารับบทต่อสู้ นางเพียงแค่เติมน้ำมัน เพิ่มถ่านไฟเป็นครั้งคราวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกหน้าให้เปลืองแรงแต่อย่างใด
หลังหยินหลิ่วและป๋ายฮุ่ยทะเลาะกันไปหนึ่งยก ทั้งสองเมื่อพบเจอกันก็ยิ่งทำสีหน้าเย็นชาใส่กันหนักขึ้น ต่างฝ่ายต่างไม่สนใจกัน หลินหลันเห็นทั้งหมดนั่นในสายตา จึงทำเพียงสั่งการอวี้หลงให้คอยจับตาเอาไว้หน่อย อย่าปล่อยให้พวกนางทะเลาะกันขึ้นมาอีก
หลี่หมิงอวินได้วันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นเวลาสามวัน ในวันแรกของปีเป็นการทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ วันที่สองก็เลยพานางไปตระกูลเยี่ยเพื่อสวัสดีปีใหม่ท่านลุงท่านป้าแห่งตระกูลเยี่ย
เยี่ยซินเอ๋อร์ยังคงถูกกักบริเวณ โดยไม่สามารถออกมาจากอาคารซิ่วโหรวได้แม่เพียงครึ่งฝีก้าว นางหรงได้รับการปล่อยออกมาก่อนล่วงหน้าเนื่องด้วยต้องช่วยแม่สามีจัดการภาระงานต่างๆ นางหรงมีสีหน้าเก้ๆ กังๆ เมื่อพบเจอหลินหลัน หลินหลันทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ โดยยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
ท่านลุงตั้งใจให้สวี๋ฝูอานมาคารวะทักทายหลินหลันและหมิงอวินเป็นการเฉพาะ หมิงอวินจึงถามไถ่เขาสามสี่ประโยค สวี่ฝูอานตอบคำถามได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย เป็นผู้หนึ่งที่มีไหวพริบและขยันขันแข็งทีเดียว หลินหลันมองไปยังหลี่หมิงอวิน ทั้งสองเผยรอยยิ้มขึ้นเป็นอันรู้กัน ในที่สุดเรื่องของป๋ายฮุ่ยก็เป็นอันกำหนดได้เสียที
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านตระกูลเยี่ยแล้ว หมิงอวินจึงพาหลินหลันไปจวนจิ้งปั๋วโหว์ นี่เป็นประสงค์ของเฉียวอวิ๋นซี เดิมทีในวันที่สองเป็นวันที่ต้องกลับบ้านเกิด แต่ด้วยบ้านมารดาของนางอยู่ไกลถึงเจียงหนาน จะไปกลับสักครั้งมิใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงเรียนเชิญสหายผู้สนิทจำนวนหนึ่งมาพบปะและรับประทานอาหารกับนางพอเป็นพิธี
บนรถม้า หลินหลันกำลังถือกล่องหีบขนาดเล็กอันล้ำค่าพลางระบายความในใจ “ทุกครั้งที่ไปบ้านท่านลุงเป็นอันต้องได้ของมากมายเช่นนี้ติดมือกลับมาเสมอ ข้ารู้สึกเกรงใจอย่างมากจริงๆ”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มขณะมองดูท่าทีซึ่งดูไม่น่าเชื่อถืออย่างที่ปากว่าเท่าใดนักแล้วกล่าวขึ้น “เป็นผู้ใดกันหรือที่เมื่อคืนยังพร่ำเอ่ยอยู่ว่าท่านลุงจะมอบของขวัญอันใดให้”
หลินหลันตวัดสายตามองไปที่เขาและเอ่ยด้วยท่าทีขุ่นเคือง “นั่นมิใช่เพราะเจ้าที่…มิรู้จักยับยั้ง หากข้าไม่หันเหความสนใจของเจ้าสักหน่อย ยังมิรู้เลยว่าเจ้าจะกระทำข้าไปถึงเมื่อใด” หลินหลันเอ่ยพลางบีบนวนช่วงเอวที่ปวดเมื่อย อดมิได้ที่จะตวัดสายตาดุดันไปมองเขา
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ “นานๆ ทีข้าจะได้มีวันหยุดติดต่อกันซึ่งมิต้องตื่นแต่เช้าตรู่”
“ทว่าข้าต้องตื่นแต่เช้าหนิ…” หลินหลันน้อยใจเสียยิ่งกว่าเขา ในวันส่งท้ายปีเก่า เขากล่าวว่าให้อยู่กันทั้งคืนเพื่อต้อนรับปีใหม่ และในวันแรกของปีใหม่เขาก็บอกอีกว่าจะต้องมีการเริ่มต้นที่ดีในวันแรกของปีใหม่… สรุปแล้วเขามักจะหาเหตุผลมากระทำนางให้จนได้ เขายังเป็นหนุ่มเป็นแน่นร่างกายแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพละกำลัง นางหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ทำได้เพียงอ้อนวอนร้องขอทุกครั้งที่ถูกกระทำ หลินหลันคิดจนหงุดหงิด ไว้รอนางถึงวัยอันประหนึ่งหมาป่าประหนึ่งเสือก่อนเถอะ มาดูสิว่าเขาจะยังไหวอยู่หรือไม่
หลี่หมิงอวินมองไปยังใต้ขอบดวงตาที่เป็นสีคล้ำขึ้นมาเล็กน้อยจึงรู้เช่นกันว่าไม่กี่วันมานี้นางเหน็ดเหนื่อยจริงๆ ทว่า นางช่างงดงามและหวานหยดย้อยเกินไป แล้วจะให้คนเขาอดกลั้นอย่างไรไหว เขาจึงโอบนางเข้ามาใกล้แล้วกล่าวลงไปที่ข้างใบหูของนางอย่างอ่อนโยน “ไว้คืนนี้ข้าช่วยนวดให้เจ้าเอง…”
“มิต้อง” หลินหลันปฏิเสธทันควัน ครั้งก่อนเขาก็พูดว่าจะช่วยบีบนวดให้นาง ผลสุดท้ายนวดไปนวดมานางก็ถูกเขาตรึงไว้ใต้เรือนร่างเขาจนได้
หลี่หมิงอวินมองนางที่กำลังเผยสีหน้าตื่นตกใจเสมือนลูกนก จึงหลุดหัวเราะออกมาแล้วกล่าวเชิงหยอกล้อ “มิต้องการจริงหรือ ถึงยามนั้นอย่ามาร้องขอข้าล่ะ” ฝ่ามือคู่ใหญ่ของเขาเริ่มซุกซนเข้าไปใต้ชายเสื้อแล้วกอบกุมก้อนกลมๆ อันนุ่มนิ่ม ออกแรงฟอนเฟ้นอย่างหนักมือสลับเบามืออยู่เช่นนั้น
ร่างกายอันไวต่อความรู้สึกมิอาจต้านทานต่อการสัมผัสเช่นนี้ได้ นางรู้สึกราวกับว่าพละกำลังทั้งหมดในร่างกายกำลังถูกไฟเผาไหม้ลามลงไปในช่องท้องส่วนล่าง หลินหลันออกแรงพลักเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง ตามด้วยเสียงกระเส้าบางๆ “นี่มันบนรถม้านะ…มิเกรงว่าคนด้านนอกเขาจะได้ยินหรือไร…”
“เจ้ากลั้นไว้หน่อยก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแล้ว” เขาขบเม้มติงหูของนาง
“อย่าทำเช่นนี้ อีกเดียวต้องไปพบเจอผู้อื่นอีก” หลินหลันเคอะเขินอย่างยิ่ง ทว่าร่างกายที่อ่อนปวกเปียกกำลังเต็มไปด้วยแรงปรารถนาเสียแล้ว แม่จิตสำนึกใต้สมองจะพร่ำบอกนางว่านี่ยังมิใช่เวลา นางยังต้องไปจวนจิ้งปั๋วโหว์ หากให้ผู้อื่นมองออก นางคงอับอายขายหน้าจนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว
“ชู่ว์… ข้ารู้จักบันยะบันยังหรอกน่า” เขาจับให้นางเคลื่อนมานั่งบนหน้าขาของเขา และกล่าวเสียงกระซิบอันเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล มือหน้าเลิกชายกระโปรงขึ้นแล้วลุกล้ำเข้าไปในดอกไม้งามที่เคลือบไว้ด้วยความชุ่มชื้น นิ้วเรียวยาวเดินหน้าลุกล้ำเข้าไปอย่างไร้สิ่งกีดขวางกระทั่งถึงใจกลางดอกไม้งาม
หลินหลันอยากผลักออกทว่าไร้ผล อยากส่งเสียงร้องแต่ก็มิอาจทำได้ จึงทำได้เพียงกัดริมฝีปากล่างไว้และปล่อยให้เขาได้จุดไฟบนเรือนร่างนางตามเท่าที่ใจต้องการ
“หลันเอ๋อร์ ต้องการหรือไม่” ความเป็นชายอันแข็งแกร่งของเขากำลังถูไถอยู่บนความชุ่มชื้นของปากทางเข้า
ภายใต้ท่าทางเช่นนี้ นางกำลังไร้เรี่ยวแรงต่อต้านด้วยซ้ำ นางทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายจึงได้เพียงจับแขนของเขาเอาไว้แน่นพร้อมกับเสียงหอบหายใจกระเส้า นางรู้สึกพูดไม่ออก เขามักชอบที่จะทรมานนางเช่นนี้อยู่เสมอ นี่มันแย่ชะมัด…
นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแกนกายอันแข็งแกร่งของเขากำลังค่อยๆ ลุกล้ำลึกเข้าไปทีละนิด มันเป็นทั้งความอ่อนโยนและมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ทันใดนั้น เขาเข้าไปได้เพียงครึ่งทางก็หยุดชะงักลงเสียดื้อๆ แล้วเอ่ยกระซิบข้างใบหูของนาง “ต้องการหรือไม่”
หลินหลันส่ายหน้าและอยากร้องไห้ออกมา
เขาจับเอวของนางเอาไว้แล้วออกแรงกดให้จมดิ่งลงอย่างหนักและแข็งแกร่ง เสมือนเหล็กร้อนที่กระแทกลงไปบนดอกไม้งามอันบอบบาง
หลินหลันอดสั่นสะท้านขึ้นมามิได้ นางเม้มริมฝีปากจนแน่น จะให้นางไม่ส่งเสียงครางได้อย่างไรในเมื่อด้วยท่าทางเช่นนี้มันลึกเกินไปเสียแล้ว นางจึงเริ่มรู้สึกอดทนไม่ไหวขึ้นมาเล็กน้อย
ในขณะที่ล้อรถยังคงหมุนต่อไปเรื่อย เขาฟอนเฟ้นหน้าอกเนื้อนุ่มของนางด้วยมือเดียวและในบางครั้งเขาก็หยอกล้อเชอร์รี่สีแดงสดบนยอดอก โดยมีมืออีกข้างหนึ่งคอยควบคุมเอวบางคอดของนางไว้ให้นางขยับขึ้นและลง
“หลันเอ๋อร์ ชอบหรือไม่” เขาเอ่ยถามทั้งเสียงหอบกระเส้าแล้วออกแรงกดช่วงเอวของนางทำให้ทั้งสองเรือนร่างแนบแน่นร่วมเป็นหนึ่งเดียว แกนกายของเขาจมดิ่งสุดปลายทางแล้วบดขยี้อยู่เช่นนั้นจนสัมผัสได้ถึงนางที่สั่นสะท้านขึ้นมาชั่วขณะ
ใบหน้าของหลินหลันแดงกล้ำ นัยน์ตาพร่ามัวราวกับมีสายหมอกเคลือบเอาไว้หนึ่งชั้น สายตาเริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ภายในท้องน้อยกลับเต็มไปด้วยคลื่นไฟที่กำลังวิ่งพุ่งพร่าน ราวกับกำลังกวาดความสุขทั้งหมดมารวมตัวเป็นกองเดียวกัน
เขาสัมผัสได้ถึงช่องทางรักของนางอันแสนนุ่นที่กำลังกระชับแน่นและสั่นขึ้นมาชั่วขณะ ช่วงเวลานั่นเองที่นางถึงจุดสำคัญ เขาออกแรงอย่างหนักมุ่งเข้าไปสุดท้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ล่องลอยขึ้นไปพร้อมกับนาง
ภายในรถม้าหลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจหอบหนักของคนสองคน หลินหลันเอนกายซบเข้าหาอ้อมอกเขาอย่างนุ่มนวล เนิ่นนานผ่านพ้นไป หลินหลันถึงได้สติฟื้นคืนแล้วทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทว่าเขากลับกอดนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อยพลางสะกดเสียงต่ำกล่าวขึ้น “อย่าขยับ อย่าขยับ”
เพราะหลินหลันเป็นเหตุ เขาจึงต้องอ่านตำราหมอเอาไว้บ้าง ว่ากันว่าช่วงกลางของรอบเดือนจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ตั้งครรภ์ง่ายที่สุด เขาจึงหวังว่าปีใหม่นี้จะมีข่าวดีเกิดขึ้นในเร็ววัน