ตอนที่ 140-2 โดนพิษ

ปฏิญญาค่าแค้น

ในห้องปีกข้าง ณ เรือนหลั้วเซี๋ยจาย หยินหลิ่วกลับมาเรียกอวี้หลงให้ไปเข้างานต่อ หน้าที่กะกลางคืนปกติแล้วจะเป็นหยินหลิ่วและหรูอี้กลุ่มหนึ่ง ส่วนอีกกลุ่มคืออวี้หลงและป๋ายฮุ่ย

 

 

“อวี้หลง หรูอี้ออกไปกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายแล้ว คาดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ ข้าปูที่นอนไว้ให้เรียบร้อยแล้ว โถน้ำร้อนก็คลุมเอาไว้แล้ว น้ำร้อนยังอุ่นอยู่บนเตา ยังมีของว่างมื้อดึก ข้าวหมากสุรานั่นข้ามคืนก็คงไม่อร่อยแล้ว กุ้ยซ่าวเลยทำหูถาวต้านฮวาเกิง [1] ซึ่งกำลังตุ๋นอยู่น่ะ…”

 

 

อวี้หลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าวางใจเถอะ! ข้าจะไปกันเดี๋ยวนี้ล่ะ ป๋ายฮุ่ย พวกเราไปกันเถอะ!”

 

 

ป๋ายฮุ่ยที่กำลังนั่งปักดอกไม้อยู่บนที่นอนของตนเอง เมื่อได้ยินอวี้หลงเรียกนาง นางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แล้วกลับมองไปยังหยินหลิ่วอย่างเย็นชาพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “หยินหลิ่วลำบากเข้างานต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน!”

 

 

อวี้หลงไม่ทราบเหตุการณ์ระหว่างหยินหลิ่วและป๋ายฮุ่ยเมื่อก่อนหน้านี้ จึงกล่าวเชิงหยอกล้อ “มิใช่ว่าวันนี้เจ้าอยากแอบอู้ขึ้นมาหรอกหรือ”

 

 

ป๋ายฮุ่ยแสยะยิ้ม “ข้าหรือจะกล้า! เพียงแต่ในเมื่อใครบางคนไม่วางใจให้คนเขาคอยอยู่ปรนนิบัติข้างๆ ถึงเพียงนั้น เช่นนั้นคงทำได้แค่ตัวนางเองต้องเหนื่อยขึ้นอีกหน่อยแล้วล่ะ”

 

 

จิ่นซิ่วที่อยู่ข้างๆ สะกิดป๋ายฮุ่ยแล้วกล่าวเสียงบางเบา “พี่ป๋ายฮุ่ย นี่เจ้าเป็นอันใดไปหรือ ไปโกรธใครเขามา”

 

 

ป๋ายฮุ่ยไม่ส่งเสียงใดๆ อีก นางก้มหน้าลงแล้วทำงานเย็บปักต่อไป

 

 

หยินหลิ่วรู้สึกรำคาญป๋ายฮุ่ยมาพักใหญ่แล้ว จะด้วยอะไรอื่นไปได้นอกเสียจากนางจ้องแต่จะเข้าไปอยู่ข้างกายนายน้อยอยู่เรื่อย พอนางได้เห็นเช่นนั้นทีไรก็รู้สึกรำคาญอย่างยิ่ง หยินหลิ่วจึงแสยะยิ้มแล้วกล่าวออกไป “เจ้าไม่ไปทำหน้าที่ เรื่องนี้มิใช่ข้าพูดแล้วเป็นอันจบ เจ้าคงต้องไปถามแม่โจวเองหรือไม่ก็ถามเอ้อร์เส้าหน่ายนายดู ส่วนทางด้านเอ้อร์เส้าเหยียนั่นเจ้ามิต้องไปถามหรอก เพราะถามไปก็เท่านั้น”

 

 

ป๋ายฮุ่ยหน้าเสีย นางโยนสะดึงปักผ้าในมือลงบนพื้น “หยินหลิ่ว วันนี้เจ้าพูดออกมาให้กระจ่างทีเถอะว่าข้าทำผิดอันใดแล้วหรือเจ้าถึงต้องชักสีหน้าเช่นนี้”

 

 

หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ป๋ายฮุ่ยพูดน่าตลกเสียจริง ผู้ใดบ้างที่จะมิรู้ว่าเจ้าที่คอยปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเทียบกับผู้อื่นจึงต้องให้ความเคารพเสียหน่อยและมิแน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจได้ยกระดับขึ้นเป็นอี๋เหนียง ใครจะกล้าชักสีหน้าใส่เจ้าหรือ”

 

 

จิ่นซิ่วได้ยินทั้งสองพูดจาใส่กันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบกล่าวเกลี้ยกล่อม “ทุกคนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น มีอันใดก็ค่อยพูดค่อยจากันเถิด”

 

 

อวี้หลงเข้าใจถึงสถานการณ์เบื้องหน้าเป็นอย่างดี ความนึกคิดของป๋ายฮุ่ย ในที่แห่งนี้มีผู้ใดบ้างที่จะไม่รู้ เพียงแต่นางและหยินหลิ่วเป็นผู้ติดตามนายหญิงน้อยมา แน่นอนว่าต้องมีใจเข้าข้างนายหญิงของตนเป็นธรรมดาและคอยนึกคิดถึงความรู้สึกของนายหญิง ขณะที่คนอื่นๆ จะอย่างไรก็นับว่าเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับป๋ายฮุ่ยมาหลายปี มิตรภาพความรู้สึกจึงแน่นแฟ้นเป็นพิเศษ เกรงว่าจะอดมิได้ที่พากันคาดหวังให้ป๋ายฮุ่ยได้ขึ้นนั่งตำแหน่งอนุภรรยา

 

 

ป๋ายฮุ่ยโมโหจนจิตใจร้อนรุ่มและกล่าวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “ผู้ใดเขาต้องการขึ้นเป็นอี๋เหนียงหรือ พวกเราในฐานะทาสรับใช้มีเพียงจิตใจที่คิดว่าจะปฏิบัติต่อผู้เป็นนายอย่างไรให้ดีที่สุดและทำให้เต็มที่สุดความสามารถของตนเองก็เป็นพอแล้ว หรือว่าการที่ข้าทำเสื้อผ้าให้เอ้อร์เส้าเหยียก็ต้องถูกเจ้าเยาะเย้ยด้วยหรือ”

 

 

หยินหลิ่วกล่าวกระแหนะกระแหน “ใช่สิ พี่ป๋ายฮุ่ยน่ะช่างใส่ใจในละเอียดเป็นที่สุด มีน้ำใจมากที่สุด ความนึกเมื่อเทียบกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ยังรอบครอบยิ่งกว่า แถมยังเอาใจใส่เอ้อร์เส้าเหยียมากยิ่งกว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายเสียอีก”

 

 

ป๋ายฮุ่ยโมโหจนดวงตาแดงระเรื่อ “เจ้าหยุดพูดจาเลอะเทอะไร้ยางอายได้แล้ว คนที่ ณ ที่แห่งนี้มีผู้ใดบางที่ไม่คิดปฏิบัติต่อผู้เป็นนายอย่างสุดหัวใจและสุดความสามารถหรือ เหตุใดถึงต้องด่าว่าข้าเพียงผู้เดียวด้วย”

 

 

อวี้หลงเกรงว่าทั้งสองจะทะเลาะกันขึ้นมาจนได้ ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ ทว่าหากเป็นการทะเลาะกันด้วยเหตุนี้แล้วถูกแม่โจวหรือเอ้อร์เส้าหน่ายนายรับรู้เข้าแล้ว คงต้องถูกลงโทษกันพอดี เอ้อร์เส้าหน่ายนายยิ่งกำชับเสมอว่าให้ทุกคนสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ความนึกคิดของป๋ายฮุ่ยก็มิใช่ว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายมองไม่ออก! คงต้องวางแผนจัดการไว้ด้วยแน่นอน แล้วใยพวกนางต้องออกตัวมีปัญหากับป๋ายฮุ่ยด้วยเล่า นางจึงรั้งหยินหลิ่วแล้วกล่าวออกไป “เจ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย หากให้แม่โจวรับรู้เข้าระวังจะโดนลงโทษเอาได้”

 

 

เดิมทีหยินหลิ่วยังอยากจะดึงประโยคทิ่มแทงออกมาพูดอีกสักสองสามประโยค จะได้ให้ป๋ายฮุ่ยตาสว่างขึ้นมาบ้าง ทว่าสีหน้าดุดันของอวี้หลงกับชุดรั้งนางเอาไว้จึงทำได้เพียงสะกดอารมณ์โมโหกลับลงไปแล้วสบถฮึ หลังจากนั้นจึงไปนั่งบนตำแหน่งที่นอนของตนเอง

 

 

จิ่นซิ่วเมื่อเห็นป๋ายฮุ่ยร้องไห้ออกมาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเคืองหยินหลิ่วอยู่เล็กน้อย “ทุกคนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น อยู่กันดีๆ แท้ๆ แล้วนี่เหตุใดต้องมีปัญหากันขึ้นมาด้วย” ระหว่างนั้นก็ช่วยส่งผ้าเช็ดหน้าให้ป๋ายฮุ่ยเช็ดน้ำตา “อย่าร้องเลยนะ อีกเดี๋ยวหากใครมาเห็นเข้าจะคิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หากเจ้าอารมณ์ไม่ดี คืนนี้ข้าไปทำงานแทนเข้าก็ได้!”

 

 

หยินหลิ่วที่เพิ่งดับอารมณ์ไฟโทสะของตนเองลงไปกลับถูกจิ่นซิ่วจุดมันขึ้นมาอีกระรอก นางจึงกล่าวเชิงเหน็บแนม “จิ่นซิ่ว เจ้าก็อย่ามีน้ำใจมากเกินไปเลย แย่งหน้าที่ดีๆ ของเขา เดี๋ยวคนเขาจะหงุดหงิดใจเอาได้นะ”

 

 

ป๋ายฮุ่ยกล่าวทั้งน้ำตา “ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าเป็นที่พึงพอใจของเอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแต่ไหนแต่ไร และคงอยากที่จะขับไล่พวกเราเหล่านี้ออกไปให้ไกลๆ จะได้เหลือเพียงพวกเจ้าที่คอยปรนนิบัติเจ้านาย ก็ได้ เดี๋ยวข้าจะไปลาออกเดี๋ยวนี้ ให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายส่งข้าออกไปเสีย จะได้สมใจพวกเจ้าเสียที” นางลงจากเตียงเตาขณะเอ่ยด้วยต้องการออกไปข้างนอก

 

 

จิ่นซิ่วจึงรีบคว้าแขนนางเอาไว้ “พี่ป๋ายฮุ่ย พี่อย่าเลอะเถอะน่า พวกเราล้วนลงนามสัญญาประเภทรับใช้จนวันตาย แล้วจะลาออกได้อย่างไรกัน อีกอย่าง เจ้ามิได้ทำเรื่องอันใดผิดเสียหน่อย เหตุใดต้องละทิ้งหน้าที่เพียงเพราะคำพูดของคนข้างๆ ด้วย นี่มิเท่ากับทำร้ายจิตใจผู้เป็นนายหรอกหรือ”

 

 

อวี้หลงมองไปยังหยินหลิ่วและขอให้นางอดกลั้นไว้ ใยเจ้าต้องพูดเสียมากมายเช่นนี้ด้วย ทว่าเมื่อป๋ายฮุ่ยเริ่มเอ่ยปากด้วยคำว่าพวกเจ้าพวกข้า ซึ่งแสดงออกถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มันทำให้นางมิอาจทนฟังอย่างเงียบๆ ต่อไปได้จึงกล่าวขึ้น “พี่ป๋ายฮุ่ย ข้าและหยินหลิ่วถึงจะเป็นผู้ที่ติดตามเอ้อร์เส้าหน่ายนายมา ทว่าเอ้อร์เส้าหน่ายหาได้เข้าข้างข้าและหยินหลิ่วไม่ เอ้อร์เส้าหน่ายนายปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมมาโดยตลอด การที่เจ้าพูดจาเช่นนี้ หากเอ้อร์เส้าหน่ายนายได้ยินเข้า เช่นนั้นคงต้องรู้สึกเจ็บปวดด้วยความผิดหวังอย่างแน่นอน”

 

 

ป๋ายฮุ่ยตระหนักได้ทันทีว่าตนเองพูดในสิ่งที่มิควรพูดออกไป ชะตาชีวิตในหน้าที่การงานของตนเองภายภาคหน้าล้วนอยู่ในมือของนายหญิงน้อยทั้งสิ้น หากคำพูดนี้ทำให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่พึงพอใจ คงหนีไม่พ้นเรื่องเลวร้ายที่อาจตามมาได้ “ข้าหรือจะกล้ามิให้ความเคารพต่อเอ้อร์เส้าหน่ายนาย เป็นหยินหลิ่วต่างหากที่พูดจาชวนโมโหเกินไป”

 

 

อวิ๋นอิงซึ่งอยู่ด้านนอกกล่าวขึ้น “เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาแล้ว”

 

 

อวี้หลงกล่าวขึ้นทันที “จิ่นซิ่ว เจ้าไปคอยปรนนิบัติกับข้าก่อนแล้วกัน ป๋ายฮุ่ย เจ้ารีบใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นประคบดวงตาเสียแล้วค่อยตามมา”

 

 

หลินหลันและหลี่หมิงอวินเมื่อกลับมาถึงห้องและไม่เห็นผู้ใดมาคอยปรนนิบัติ หลินหลันจึงเอ่ยถามหรูอี้ “วันนี้เป็นหน้าที่ของอวี้หลงและป๋ายฮุ่ยใช่หรือไม่”

 

 

หรูอี้ดับไฟในโคมที่ถือมาแล้ววางเก็บเข้าทีพลางกล่าวตอบ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปดูเดี๋ยวนี้ บางทีพวกนางอาจคิดว่าเอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายคงมิได้กลับมาไวเช่นนี้จึงไปยุ่งเรื่องอื่นแล้วกระมังเจ้าคะ!”

 

 

ทันใดนั้นอวี้หลงและจิ่นซิ่วก็เข้ามา อวี้หลงไปปรนนิบัตินายน้อยเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนจิ่นซิ่วรับหน้าที่ปรนนิบัตินายหญิงเช็ดเครื่องประทินความงาม หลินหลันมองเห็นนัยน์ตาอันไม่เป็นสุขของจิ่นซิ่วจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เหตุใดวันนี้ถึงเป็นเจ้ามา แล้วป๋ายฮุ่ยล่ะ”

 

 

จิ่นซิ่วกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “เมื่อครู่ป๋ายฮุ่ยปวดท้อง ข้าน้อยจึงมาแทนนางก่อนชั่วครู่เจ้าค่ะ”

 

 

หลินหลันนิ่งเงียบ ไม่เก็บเอามาใส่ใจ

 

 

หลังหลี่หมิงอวินเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาเป็นที่เรียบร้อย อวี้หลงก็กล่าวขึ้น “กุ้ยซ่าวตุ๋นหูถาวต้านฮวาเกิงไว้เจ้าค่ะ ต้องการให้ข้าน้อยไปยกมาให้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ระหว่างพูดอยู่นั้น ป๋ายฮุ่ยก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินเข้ามาโดยในมือถือถาดเอาไว้ นางกล่าวด้วยเสียงอันนุ่มนวล “นี่คือหูถาวต้านฮวาเกิงที่เพิ่งตุ๋นเสร็จเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายดื่มให้ร่างกายอุ่นๆ สักชามนะเจ้าคะ!”

 

 

หลินหลันมองไปยังป๋ายฮุ่ยแวบสายตาหนึ่งและเห็นดวงตาที่แดงระเรื่อของนางเสมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา หลังจากนั้นจึงมองไปยังอวี้หลงที่กำลังหลุบสายตาลง “วางไว้เถอะ!” หลินหลันอย่างอ่อนโยน

 

 

หลี่หมิงอวินกลับกล่าวอย่างเฉยเมย “ล้างหน้าบ้วนปากแล้ว ไม่กินของหวานเหล่านี้แล้วล่ะ อวี้หลง ช่วยไปชงชามาทีสิ”

 

 

อวี้หลงขานรับแล้วออกไปชงชา

 

 

ป๋ายฮุ่ยเผยสีหน้าอึดอัดใจอย่างไม่รู้ตัว

 

 

หลินหลันแอบถอดถอนหายใจ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ! มิต้องอยู่ปรนนิบัติที่นี่แล้ว”

 

 

จิ่นซิ่วโน้มตัวโค้งลงไปเบื้องหน้าและกล่าวลา เมื่อเห็นป๋ายฮุ่ยยังคงตะลึงงึนอยู่ตรงนั้นจึงเข้าไปกระตุกชายแขนเสื้อของนางอย่างเบามือ ป๋ายฮุ่ยถึงได้ย่อเขาลงคารวะแล้วออกไปพร้อมกับจิ่นซิ่ว

 

 

อวี้หลงชงชาร้อนมาให้แล้วนำมันไปวางลงเบื้องหน้าของนายน้อย “อวี้หลง ช่วยข้าเปลี่ยนชุดทีสิ” หลินหลันกล่าว

 

 

ทั้งสองเดินเรียงรายเข้าห้องน้ำไป

 

 

“ป๋ายฮุ่ยเป็นไรไปหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม

 

 

อวี้หลงกล่าวเสียงบางเบา “มิได้เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ”

 

 

หลินหลันถลึงตาโตใส่ “เจ้ายังปิดบังข้าอีกหรือ”

 

 

อวี้หลงรีบกล่าวทันควัน “ข้าน้อยมิบังอาจเจ้าค่ะ มิรู้เช่นกันว่าก่อนหน้านี้หยินหลิ่วไปหาเรื่องอันใดป๋ายฮุ่ยเข้า ทั้งสองเลยมีปากเสียงกันนิดหน่อยเจ้าค่ะ…”

 

 

หลินหลันเข้าใจได้ในทันที คงเป็นเรื่องก่อนหน้าที่หยินหลิ่วกระแหนะกระแหนป๋ายฮุ่ยที่ทำเสื้อผ้ามาให้หมิงอวินอย่างแน่นอน ซึ่งทำให้ป๋ายฮุ่ยคงไม่พึงพอใจขึ้นมา “เจ้าบอกให้หยินหลิ่วอย่าก่อเรื่อง ปีใหม่ทั้งที อย่าพาลให้ไม่มีความสุขกันเลย เรื่องของป๋ายฮุ่ย ข้ามีวิธีจัดการของข้า”

 

 

อวี้หลงกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ระหว่างรอหลินหลันออกมา หลี่หมิงอวินขึ้นไปอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอน อวี้หลงช่วยเติมถ่านลงในอ่างไฟเล็กน้อยหลังจากนั้นถึงได้ออกไป

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวระหว่างที่หลินหลันกำลังจะขึ้นเตียง “เจ้านอนด้านนี้เถอะ! ข้าอยู่ฝั่งด้านนอกจะได้อ่านหนังสือสะดวกหน่อย”

 

 

“ไม่เอา ตำแหน่งที่เจ้านอนแล้วมันอุ่นดี” หลินหลันดันเขาให้เขยิบเข้าไปฝั่งด้านใน

 

 

หลี่หมิงอวินจึงทำเพียงเขยิบตัวเข้าไปด้านในเพื่อหลีกให้

 

 

หลินหลันดึงแขนข้างหนึ่งของเขามาหนุนแล้วซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา

 

 

หลี่หมิงอวินปิดหนังสือแล้ววางลงด้านข้างแล้วจึงกระชับแขนกอดนานแน่นขึ้นมาเล็กน้อย “มือของเจ้ามักจะเย็นเฉียบอยู่เรื่อย”

 

 

“เพศชายเป็นหยาง เพศหญิงเป็นหยิน สตรีจึงกลัวหนาวมากกว่าเล็กน้อย” หลินหลันนำมือสอดเข้าไปใต้เสื้อของเขาเพื่อรับความอบอุ่นแต่นั่นทำให้เขาถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความเย็นที่สัมผัสลงไป

 

 

“อาการป่วยของหลิวอี๋เหนียง…” เขาเอ่ยถามหลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก

 

 

หลินหลันกล่าวอย่างหดหู่ “แม่มดชราวางยาพิษใส่นาง น่าจะเป็นสารปรอท ด้วยใช้ในปริมาณที่น้อยมากจึงส่งผลให้ออกอาการอย่างช้าๆ ถ้าหากพบเจอช้าไปอีกนิด เกรงว่าภายภาคหน้าหลิวอี๋เหนียงคงมีลูกมิได้ง่ายๆ แล้ว หากนางควบคุมปริมาณยาไม่ดี อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตก็เป็นไปได้”

 

 

เขาถึงกับชะงักลมหายใจ ระหว่างนั้นก็กอบกุมมือน้อยๆ ของหลินหลันที่อยู่ใต้เนื้อผ้าอย่างแน่นขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

 

 

“คนผู้นี้จิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว”

 

 

 

 

——

 

 

[1] หูถาวต้านฮวาเกิง (胡桃蛋花羹) เมนูอาหารรองท้องชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมหลักคือข้าวเหนียว วอลนัท อินทผลัมสีแดงและเกลือเล็กน้อย เคี่ยวผสมกันจนเหนือเสมือนโจ๊ก