เมื่อเห็นนัยน์ตาสีดำคู่สวยอันอบอุ่นเคลือบไว้ด้วยความประหลาดใจ หลินหลันรู้ได้ทันทีว่าเขาจดจำนางได้ ยิ่งส่งผลให้รู้สึกลุกลี้ลุกลนเข้าไปใหญ่ มุมปากที่ยกขึ้นด้วยความลำบากใจเผยให้เห็นรอยยิ้มแข็งทื่อและความรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง
ยังดีที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น เขายกสองมือขึ้นคารวะให้ โดยมีหลี่หมิงอวินคารวะกลับคืนเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายมิได้เอื้อนเอ่ยใดๆ ฮว๋าเหวินไป่เอี้ยวตัวเล็กน้อยแสดงถึงความต้องการให้พวกเขาเดินไปก่อน หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วโอบหลินหลันเดินผ่านเขาไป
เดินออกมาได้สิบฝีก้าวก็ได้ยินข้ารับใช้ที่เดินตามหลังกล่าวขึ้นด้วยเสียงบางเบา “ท่านหมอฮว๋า ทางด้านนี้ขอรับ”
ฮว๋าเหวินไป่ดึงสายตากลับแล้วหันไปจดจ่อบนพื้นเบื้องหน้าซึ่งมีหิมะสะสมจนเป็นชั้นหนา เขาชื่นชมชื่อเสียงของนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่มาเนิ่นนานแล้ว วันนั้นที่ได้สนทนากับหลินเฟิงพักใหญ่ทำให้รู้สึกได้ว่าหลินเฟิงมีความรู้มากมายและมีไหวพริบอันชาญฉลาด จึงคิดว่าขนาดข้างกายนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ยังมีผู้ที่เก่งกาจถึงเพียงนี้เคียงข้าง เช่นนั้นทักษะการรักษาของนายหญิงสะใภ้รองท่านนี้จะเก่งกาจขนาดไหน ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าหรือหลินเฟิงก็คือนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ หลังความรู้สึกประหลาดใจบังเกิดขึ้น พอลองนึกย้อนไปถึงสีหน้าอันเก้ๆ กังๆ ของนายหญิงสะใภ้รองเมื่อครู่ ภายในใจก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย หากเมื่อครู่ไม่มองไปยังสายตาคู่นั้น บางทียังมีโอกาสให้ได้พูดคุยกันยาวๆ ในภายภาคหน้า ทว่ายามนี้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีอยู่เต็มอก เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะได้พบเจอกันเสียแล้ว
ภายใต้แสงสว่างที่หลงเหลือ หลินหลันมองไปยังหมิงอวินและเห็นว่าเขาก็กำลังจ้องมองมาที่นางอยู่เช่นกัน เพียงแต่นัยน์ตาคู่ดำสนิทนั้นกำลังแฝงเอาไว้ซึ่งความห่างเหินอย่างไม่แยแส หลินหลันอดรู้สึกกังวลใจและคิดฟุ้งซ่านขึ้นมามิได้ เรื่องวันนั้นที่นั่งพูดคุยกับฮว๋าเหวินไป่ตลอดทั้งช่วงบ่ายนางลืมเล่าสู่ให้เขาฟังเสียสนิท และด้วยความใส่ใจนางของเขา คงต้องไปถามไถ่เหวินซานด้วยอย่างแน่นอน…
“คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อจะเชิญหมอผู้มีชื่อเสียงมาตรวจอาการป่วยของหลิวอี๋เหนียง เห็นได้เลยว่าความรักใคร่ของท่านพ่อที่มีต่อหลิวอี๋เหนียงว่ามากมายเพียงใด” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งการหยอกล้อ
“เจ้ารู้จักเขาหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างเฉยเมย ท่อนแขนแกร่งที่เคยโอบกอดรอบเอวคอดของหลินหลันถูกชักกลับแล้วไพล่ไว้ที่ด้านหลังของเขาเอง
“รู้จักสิ! เจ้ายังจำได้หรือไม่ มีครั้งหนึ่งที่เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าตอนหน้าที่เป็นหมอกระดิ่ง หลังจากนั้นเกือบพบกับหัวหน้าฝ่ายงานของเจ้า เจ้าก็เลยไม่เดินเป็นเพื่อนข้าแล้ว โดยตัวเจ้าเองไปนั่งดื่มชาที่โรงน้ำชา ยามที่ข้าไปเดินเพื่อหาคนที่ต้องการการรักษาจึงเห็นเขาซึ่งกำลังเดินหาคนที่ต้องการการรักษาอยู่เช่นกัน นั่นถือว่าเป็นการพบเจอกันโดยบังเอิญคราแรก แล้ววันนั้นที่นัดเจรจากับผู้จัดหาวัตถุดิบยา เขาก็มาด้วยเช่นกัน เพราะวันนั้นข้าแต่งกายเป็นบุรุษ เขาซึ่งยังคงจดจำข้าได้แล้วคิดว่ามาจัดการงานแทนตระกูลหลี่ ก็เลยตกลงไปดื่มน้ำชาด้วยกัน ข้าได้ยินว่าเขาเป็นบุตรชายของเจ้าของร้านเต๋อเหรินถางจึงมีความนึกคิดอยากสักถามเกี่ยวกับเรื่องเออเจียว หลังจากนั้นก็เลยพากันไปนั่งที่โรงน้ำชา วันนี้เกรงว่าเขาคงจับได้แล้วก็เลยรู้สึกละอายแก่ใจชอบกล” หลินหลันอธิบายความเป็นมาเป็นไปของทั้งสองที่ได้รู้จักกันถ่ายทอดให้หมิงอวินรับฟัง และหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่เข้าใจผิด
เขานิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ภายในตรอกอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงของรองเท้าที่เหยียบย่ำไปบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยหิมะชั้นหนาเตอะ…ยิ่งเข้าไปในตรอกลึกมากขึ้น หิมะท่ามกลางราตรีก็ยิ่งให้ความรู้สึกอันหนาวเหน็บและเงียบเหงายิ่งขึ้น
เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอตัวหลินหลันยังคงไม่ได้ยินเสียงพูดของเขา ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกไม่เป็นสุข อีกทั้งยังกังวลว่าเขาจะโกรธหรือไม่ นางได้อธิบายอย่างกระจ่างชัดแจ้งมากแล้ว ทว่าเขายังไม่เชื่อกันอีกหรือ ทีเรื่องของเขากับป๋ายฮุ่ย เขาไม่เคยอธิบายให้นางรับรู้เลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งเอาแต่เอ่ยว่านางต้องการอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ฟังดูเหมือนเขากับป๋ายฮุ่ยไม่มีเรื่องอันใดต่อกัน ทว่านางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ บัญชีนี้นางยังไม่ได้คิดกับเขาเลย!
ทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีก้าวกะทันหันแล้วหันหน้ามองนาง สีหน้าของเขาในยามนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนเกินกว่าจะอธิบายได้ “คราวหลังมิต้องแต่งการเป็นบุรุษอีกแล้ว”
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าหลินหลันและฮว๋าเหวินไป่ไม่มีอันใดต่อกัน ทว่าสายตาที่ฮว๋าเหวินไป่มองนางเมื่อครู่ เขาถูกชะตานางอย่างมากทีเดียว ในฐานะบุรุษด้วยกัน เขาเข้าใจสายตาประเภทนั้นที่ส่งสัญญาณมาว่ามันคืออะไร มีความทั้งความประหลาดใจและเสียดายในเวลาเดียวกัน ฮว๋าเหวินไป่กำลังเสียดายอันใดหรือ มิใช่ว่าเขาคิดในแง่ร้ายต่อผู้อื่นจนเกินไป ทว่าเขามั่นใจว่าฮว๋าเหวินไป่มีความคิดเป็นอื่นต่อหลินหลันอย่างแน่นอน
หลินหลันชะงักไปชั่วขณะ ขณะที่กำลังจะกล่าวตอบก็เห็นเงาตะคุ่มๆ แวบผ่านเบื้องหน้าไป หลินหลันจึงส่งเสียงตะโกนขึ้นทันที “นั่นใครกำลังหลบๆ ซ่อนๆ อยู่น่ะ”
ยามที่หลี่หมิงอวินหันกลับไปมองก็ไม่เห็นเงาใครผู้นั้นเสียแล้ว เขาจึงหันมามองหลินหลันอีกครั้ง “เจ้ามิได้มองผิดไปใช่หรือไม่”
หลินหลันเดินขึ้นไปเบื้องหน้าไม่กี่ฝีก้าวเพื่อมองดูบริเวณที่เงาดำเมื่อครู่หยุดอยู่แล้วชี้นิ้วไปที่รอยเท้าซึ่งประทับเด่นชัดบนพื้นหิมะ “เจ้าดูสิ รอยเท้านี้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ออกมาจากด้านในของลานบ้านแล้วผ่านเข้าไปทางโถงด้านนี้”
หลี่หมิงอวินมองดูร่องรอยบนพื้นแล้วพูดกับหลินหลัน “คงมีคนไม่วางใจทางด้านหลิวอี๋เหนียงนี้อย่างแน่นอน อย่าเพิ่งสนใจเลย ท่านพ่อกำลังรอเจ้าอยู่!”
ทั้งสองรู้ดีแก่ใจ ต้องเป็นคนของแม่มดชราที่มาสอดส่องสถานการณ์อย่างแน่นอน
เมื่อเข้าไปถึงลานบ้านตะวันตก อาจินที่คอยเฝ้าอยู่ด้านข้างประตูก็ออกมาต้อนรับแล้วคารวะให้ทั้งสองด้วยความเคารพ “เหล่าเหยียกำลังรอเอ้อร์เส้าหน่ายนายอยู่ด้านในขอรับ”
หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม “เมื่อครู่มีผู้ใดเข้ามาหรือไม่”
นัยน์ตาของอาจินเปล่งประการชั่ววูบแล้วกล่าวตอบ “นอกจากท่านหมอฮว๋า ข้าน้อยก็มิเห็นผู้อื่นมาเลยขอรับ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วโอบหลินหลันเดินเขาไปด้านใน
ยังไม่ทันพ้นประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงร้องไห้ระงมของหลิวอี๋เหนียง เป็นเสียงร้องไห้ซึ่งชวนหดหู่อย่างยิ่ง “คาดไม่ถึงเลยว่านางจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ หากช้าไปอีกนิด ข้าน้อยก็คงถูกพรากชีวิตจากไปแล้ว…”
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลใจไป ข้าให้คนไปตามหลินหลันมาแล้ว ไว้ให้นางช่วยตรวจเจ้าดูอีกที หากผลการตรวจของนางก็เป็นในทิศทางเดียวกัน ข้าจะจัดการให้เจ้าอย่างแน่นอน…”
เจี่ยนชิวที่อยู่หน้าประตูทางเข้าห้องเมื่อเห็นคุณชายรองและนายหญิงสะใภ้รองมาถึงจึงรีบส่งเสียงเข้าไปบอกกล่าวแล้วเลิกผ้าม่านเปิดขึ้นเพื่อเรียนเชิญทั้งสองเข้าสู่ด้านใน
“ท่านพ่อ…” ทั้งสองคนคารวะอย่างนอบน้อมให้แด่พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย
พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “หลินหลัน เจ้าช่วยตรวจอาการของหลิวอี๋เหนียงดูหน่อยสิว่าสรุปแล้วนางเป็นอันใดกันแน่”
หลี่หมิงอวินปลีกตัวออกไปอยู่ด้านนอกห้องอย่างรู้งาน
หลินหลันรู้ดีว่าทักษะการแพทย์ของฮว๋าเหวินไป่ล้ำเลิศอย่างยิ่ง การวินิจฉัยของเขาจึงไม่มีการผิดพลาดเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นนางจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตรวจดูอาการของหลิวอี๋เหนียง
ดวงตาทั้งสองข้างของหลิวอี๋เหนียงแดงกล่ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา นางกำลังมองมาที่หลินหลันด้วยดวงตาอันเศร้าโศก
หลินหลันตรวจชีพจรเป็นทีเรียบร้อย หัวใจของนางกลับจมดิ่งลง นางกระซิบถามข้างใบหูของหลิวอี๋เหนียงหนึ่งประโยค หลิวอี๋เหนียงมีสีหน้าตกตะลึงเป็นลำดับแรกตามด้วยพยักหน้าเล็กน้อยภายใต้สีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังพอรักษาได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลินหลันทำทีท่าอันหมายถึงให้เงียบไว้ก่อนแล้วลุกขึ้นไปเขียนใบสั่งยา ทันทีที่เขียนเสร็จก็ส่งมอบให้แด่พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลิวอี๋เหนียงเพียงแค่ได้รับความหนาวเย็นจนส่งผลต่อเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นผลให้มีอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย มิเป็นอันใดร้ายแรงเจ้าค่ะ ข้าสั่งจ่ายสองตัวยาให้นางซึ่งเป็นตัวยาปรับสมดุลเจ้าค่ะ”
พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมองดูใบสั่งจ่ายยาในมือด้วยสีหน้าเย็นชาและดวงตาอันแฝงไว้ซึ่งความเจ็บใจ ราวกับอดไม่ได้ที่จะลงมือจัดการตัวต้นต่อเสียเวลานี้หลังได้อ่านประโยคที่หลินหลันเขียนไว้หัวกระดาษว่า…ระวังมีผู้แอบไปรายงาย ทำให้เขาต้องสกัดกลั้นความเดือดดาลจนทั้งเรือนร่างแข็งทื่อ
หลิวอี๋เหนียงไม่เห็นใบจ่ายยานั่นและยังได้ยินหลินหลันพูดด้วยเสียงบางเบา จึงกล่าวขึ้นอย่างไม่เชื่อ “ทว่าหมอฮว๋าเอ่ยว่า…”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวานและกล่าวขัดคำพูดของนาง “ข้ามั่นใจในทักษะการแพทย์ของตนเองอยู่ไม่น้อยทีเดียว ตอนนั้นอาการป่วยของภรรยาท่านจิ้งปั๋วโหว์ ขนาดหมอหลวงต่างพูดกันว่าจนปัญญาแต่แล้วก็เป็นข้าที่รักษาจนหายดีได้มิใช่หรือ”
“ทว่า…” หลิวอี๋เหนียงยังคงคัดค้านหัวชนฝา เมื่อครู่นายหญิงสะใภ้รองยังถามนางอยู่เลยว่ามีจุดแดงๆ บนร่างกายในส่วนล่างของนางด้วยใช่หรือไม่ ท่านหมอฮว๋าผู้นั้นได้เอ่ยไว้ว่า อาการของพิษจากสารปรอทจะส่งผลให้เรือนร่างมีจุดแดงๆ แล้วยังมีอาการปวดท้องน้อยและอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย จากที่นายหญิงสะใภ้รองเอ่ยถามเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางเองก็รับรู้แล้ว ทว่าเหตุใดจึงเอ่ยว่าเป็นอาการของโพรงมดลูกที่ได้รับความเย็นไปได้
หลี่จิ้งเสียนกล่าวขึ้นมาเสียงดังฟังชัด “ข้าเชื่อถือในทักษะการรักษาของหลินหลัน ในเมื่อมิใช่อาการป่วยร้ายแรงก็ดีแล้ว”
หลินหลันหันไปเขียนใบจ่ายยาอีกสองแผ่น แผ่นหนึ่งเป็นยาที่ใช้ในบรรเทาพิษของสารปรอทและข้อควรระมัดระวังในการรับประทานอาหาร อีกแผ่นหนึ่งคือยาที่ปรับสมดุลโพรงมดลูก หลังจากนั้นก็มอบมันทั้งหมดให้แก่พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย
“ท่านพ่อเพียงแค่ซื้อยาตามใบสั่งยานี้แล้วให้หลิวอี๋เหนียงรับประทานเพื่อปรับสมดุลสักสองสามเดือนก็เป็นอันหายดีแล้วเจ้าค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่โพรงมดลูกจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติดี อย่าเพิ่งตั้งครรภ์จะเป็นการดีที่สุดเจ้าค่ะ” ระหว่างที่หลินหลันเอ่ย น้ำเสียงของนางก็ค่อยๆ เบาลง “ยังดีที่อาการป่วยของอี๋เหนียงกำเริบขึ้นมา หากโชคดีตั้งครรภ์แล้ว เกรงว่าจะส่งผลให้สถานการณ์เลวร้ายไปยิ่งกว่านี้ ถึงทารกในครรภ์มิเสียชีวิตแต่ก็อาจทำให้พิกลพิการไปได้ ด้วยวิธีการนี้ มันช่างโหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรมเกินไปหน่อยนะเจ้าคะ… เพียงแต่อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ต่อให้ท่านพ่อโกรธเกรี้ยวมากเพียงใด ก็ต้องรอให้ผ่านพ้นปีใหม่ไปก่อนแล้วค่อยคิดจัดการ อีกอย่างท่านพ่อก็จำเป็นต้องหาหลักฐานให้ได้ด้วย…เมื่อครู่หลานเห็นใครบางคนออกไปจากลานบ้าน เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เห็นเสียแล้ว หมิงอวินถามไถ่อาจิน ทว่าอาจินกลับเอ่ยว่าไม่เห็นผู้ใดสักคนเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนหน้าซีดเผือดด้วยความโกรธที่เกินจะบรรยาย นังแก่ที่สมควรตาย นอกจากจะใช้วิธีที่อันเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ ยังกล้าติดตามความเคลื่อนไหวของเขาอย่างลับๆ อีก หลี่จิ้งเสียนนำใบจ่ายยาขจัดพิษยัดใส่ช่องในแขนเสื้อแล้วเอ่ยพูดกับหลินหลัน “พ่อเข้าใจแล้ว ลำบากเจ้าแล้วที่ต้องตากลมหิมะมาถึงนี่” หลังจากนั้นก็ตะโกนเรียนอาจิน
อาจินขานรับแล้วเข้ามาทันที เขาก้มหน้ารับฟังคำสั่งการ
หลี่จิ้งเสียนนำใบจ่ายยาตัวปลอมส่งให้อาจินแล้วกล่าวสั่งการ “เจ้ารีบไปร้านขายยาเพื่อนำตัวยาเหล่านี้มาให้เร็วที่สุด”
อาจินรับใบจ่ายยาไว้แล้วออกไปทันที
หลินหลันย่อเข่าลงในท่าคารวะอย่างนอบน้อม “เช่นนั้นลูกขอตัวกลับก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนถอดถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “เจ้ากลับไปก่อนเถิด! ด้านนอกนั่นเจ้าคงรู้ดีว่าควรพูดอย่างไร”
หลินหลันยิ้มอ่อนหวาน “ลูกเข้าใจความหมายของท่านพ่อทั้งหมดเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้หลินหลันกลับไปก่อน
หลี่หมิงอวินกล่าวถามทันทีที่เห็นนางออกมา “อาการป่วยของหลิวอี๋เหนียง…”
หลินหลันกล่าวแย้งขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ไว้กลับไปค่อยว่ากัน”