เล่มที่ 5 บทที่ 130 มอบหมายงานให้เจ้า

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ทูลพระชายา ด้านหน้ามีหญิงคนหนึ่งอ้างว่าเป็นสาวใช้ของสกุลเยว่ต้องการขอเข้าเฝ้าเพื่อนำจดหมายมาส่งให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

    ด้านนอกรถม้า อยู่ๆ เสียงองครักษ์ดังขึ้น หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด

    พี่เยว่ถิงจะต้องสังเกตเห็นว่านางไล่ตามไปไม่ทัน ดังนั้นจึงส่งคนมาดูอย่างแน่นอน

    “เข้ามาได้”

    ประตูรถม้าถูกเปิดออก สาวใช้รูปร่างหน้าตางดงามคนหนึ่งเดินเข้ามา

    “ถวายคำนับพระชายา หนู่ปี้เป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่นามว่าชุ่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ”

    ส่งยิ้มพร้อมทั้งถวายคำนับหลินเมิ้งหยา ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกตีตราปิดผนึกอย่างดีออกมา

    แต่ใครจะรู้ว่าหลินเมิ้งหยามิได้รีบร้อนเปิดอ่าน กลับกัน นางจ้องมองชุ่ยเอ๋อร์หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

    “บาดแผลที่พี่เยว่ถิงได้รับเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าที่เป็นสาวใช้น่าจะรู้เรื่องนี้ดีใช่หรือไม่?”

    ชุ่ยเอ๋อร์ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยกิริยามารยาทอ่อนช้อย

    “พระชายาได้โปรดวางพระทัย บาดแผลที่คุณหนูใหญ่ได้รับดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ก่อนจะเปิดจดหมาย

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าภายในจดหมายที่ถูกตีตรามาอย่างดีจะมีผงสีขาวโปรยปรายออกมา

    ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเบิกกว้าง มองดูรอยยิ้มของสาวใช้ตรงหน้า ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงและล้มลง

    “นาย…นายหญิง…”

    สาวใช้ทั้งสี่เองก็ล้มลงไปกองกับพื้นของรถม้า เรี่ยวแรงของพวกนางหายไปโดยสิ้นเชิง

    “คิดว่าเจ้าจะเก่งมากเสียอีก แต่เจ้ากลับเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ ในเมื่อนักฆ่าสาวพวกนั้นฆ่าเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะรับหน้าที่นั้นเอง”

    หญิงสาวปิดปากหัวเราะ ก่อนจะล้วงเอากล่องไม้กล่องหนึ่งออกจากแขนเสื้อ

    ค่อยๆ เทของที่อยู่ภายในออกมา หลินเมิ้งหยาได้เห็นสัตว์ตัวเล็กสีดำเมี่ยม ทว่านางกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน

    “ไปสิ สัตว์เลี้ยงที่น่ารักของข้า ไปกัดพวกนาง”

    หญิงสาวเอื้อนเอ่ยวาจาอาบยาพิษ ก่อนจะใช้กล่องใบนั้นดันตัวสัตว์สีดำขึ้นมาข้างหน้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสัตว์ตัวนั้นจะก้าวออกมาเพียงสองก้าว ก่อนจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง

    “เกิดอะไรขึ้น? ไปสิ บนร่างกายของพวกนางมีกลิ่นที่เจ้าชอบที่สุดมิใช่หรือ?”

    แต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร สัตว์ตัวนั้นยังคงไม่ขยับเขยื้อน

    สุดท้าย หญิงสาวเริ่มร้อนใจ คิดจะจับสัตว์ตัวนั้นไปวางไว้บนตัวของหลินเมิ้งหยา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสัตว์ตัวนั้นจะหมุนตัวแล้ววิ่งเข้าไปในแขนเสื้อของนาง ก่อนจะคลานขึ้นไปยังบริเวณใกล้ลำคอ

    ออกแรงกัด ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตั้งตัวทัน พิษที่มีผลต่อระบบประสาทอันทำให้เป็นอัมพาตเฉียบพลันแล่นไปทั้งร่างของนาง

    “เกสรชิงหลัวทำให้เจ้าต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ว่าแมงป่องพิษพวกนี้ชอบน้ำองุ่นที่สุด ตอนที่เจ้าเข้ามา เหตุใดจึงมิได้สังเกตเห็นเล่าว่าขณะที่องครักษ์ของข้าตรวจร่างกายของเจ้าอยู่นั้น เขาได้แตะน้ำองุ่นลงไปบนคอของเจ้าเล็กน้อย”

    เหล่าหญิงสาวที่ล้มพับบนพื้นรถม้าเมื่อครู่กลับมามีท่าทางเป็นปกติ

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะขณะมองหญิงสาวตรงหน้าที่ใบหน้าของนางกำลังเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ

    ไร้เดียงสาเหลือเกิน คิดหรือว่าวิธีการเดียวกันจะสามารถทำร้ายคนได้เป็นครั้งที่สอง?

    ทันทีที่รถม้าของนางเคลื่อนผ่านรถม้าของใต้เท้าที่ถูกสังหารด้วยสัตว์มีพิษ เรดาร์ตรวจจับยาพิษในสมองของนางจึงเริ่มทำงาน

    อีกทั้งเมื่อตอนที่หญิงสาวคนนี้ขยับเข้ามาใกล้ สมองของนางร้องเตือนอย่างรุนแรง

    ดูเหมือนสัตว์ตัวนี้จะมีพิษสงร้ายแรงยิ่งนัก

    “นายหญิงดูสิเจ้าคะ”

    ตอนนี้แมงป่องพิษตัวนั้นใช้ก้ามของตนเองฉีกผิวหนังของนางออก

    เวลาเพียงไม่นาน แมงป่องตัวนั้นพยายามตะกุยตะกายเข้าไปภายใน

    เพราะเหตุนี้ตอนที่พวกนางเดินทางไปถึงจึงหาตัวสัตว์มีพิษไม่เจอ อุตส่าห์ออกกลกุบายมาตั้งนาน สุดท้ายได้หลักฐานเช่นนี้ออกมา

    จริงๆ เลย เหตุใดจึงใช้วิธีการแปลกประหลาดเช่นนี้กันนะ

    “ไม่มีเวลาโยนนางลงจากรถม้าแล้ว บริเวณรอบๆ จะต้องมีคนของพวกเขาอยู่แน่นอน หากพวกเขารู้ตัวคงมิใช่เรื่องดี พวกเราซ่อนตัวนางกันเถอะ”

    ทุกคนช่วยกันนำร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวนักฆ่าไปซ่อนที่ช่องเก็บของใต้รถม้า

    “บอกคนข้างนอกด้วยว่าระหว่างทาง ไม่ว่าใครขอเข้าเฝ้า จงปล่อยเข้ามาหลังจากตรวจสอบเสร็จแล้ว”

    ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาเผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้าย

    เชื่อว่า พวกเขาที่พ่ายแพ้ไปแล้วถึงสองครั้ง จะต้องสร้างความสนใจให้กับนักฆ่าที่เหลืออย่างแน่นอน

    ฉะนั้น นางคิดว่านักฆ่าที่อยู่ทางด้านหลังจะต้องมุ่งหน้ามาทางนางอย่างแน่นอน

    ฮึๆ มาเท่าไร นางก็จะฆ่าเท่านั้น!

    “ทูลพระชายา องครักษ์ของใต้เท้าซุนขอเข้าเฝ้าเพื่อมอบของขวัญให้แก่พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

    “เข้ามาได้”

    ชายร่างกำยำถือกล่องไม้ขนาดเล็กเดินขึ้นมาพร้อมทั้งถวายคำนับ ไม่นาน เสียงร้องพลันดังขึ้นภายในรถม้า

    “อย่า…อย่าเข้ามานะ…ข้าขอเตือนเจ้า ถ้าเจ้าเข้ามา อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

    จากนั้น เสียงโครมครามดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนจะเงียบลง

    ตอนแรกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกคิดจะเข้าไปในรถม้าเพื่อทำการคุ้มกัน

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่ารถม้ามีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหญิงสาวในรถม้ายังไม่มีทางทุกข์ร้อนใดๆ

    ทุกคนจึงเริ่มชินชากับเหตุการณ์นี้

    องครักษ์ที่ทำหน้าที่ขับรถม้าเหลือบมองผ๋อจื่อคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าไป โชคดีที่รถม้าของจวนค่อนข้างใหญ่ มิเช่นนั้นจะใส่คนเหล่านั้นหมดได้อย่างไร?

    “ไม่ อย่าเข้ามานะ”

    ป๋ายจื่อ ป๋ายซ่าว ป๋ายจีเป็นผู้แสดงละคร ส่วนป๋ายซูกำมีดเอาไว้ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้จนผ๋อจื่อคนนั้นสลบ

    ใช้เชือกมัดผ๋อจื่อคนนั้น ก่อนจะหาของยัดปากของนาง เปิดประตูเก็บสัมภาระด้านล่างออกแล้วโยนร่างนางลงไป

    “นี่คนที่ห้าแล้ว นายหญิงเจ้าคะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ารถม้าของเราอาจจะยัดพวกเขาไม่หมดแล้ว”

    แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าชีวิตคนเราเหมือนกับละคร จะเป็นไปในทิศทางในก็ล้วนขึ้นอยู่กับการแสดงของเราทั้งสิ้น

    แต่หลังจากผ่านการแสดงมาแล้วห้าครั้ง แม้แต่ป๋ายจื่อที่มีความใจกล้าน้อยที่สุดยังรู้สึกเบื่อหน่าย

    “พวกเจ้านี่หนา ใส่ใจกับหน้าที่ของตนเองหน่อยซิ หากมิใช่เพราะยอดนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋ส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่ที่ค่ายเพื่อดึงดูดความสนใจแล้วล่ะก็ ป่านนี้คอของพวกเจ้าทุกคนคงหลุดจากบ่าไปแล้ว”

    สำหรับนักแสดงที่ไม่ตั้งใจเหล่านี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกหมดหนทางที่จะจูงใจพวกนาง

    หลังจากที่คนพวกนี้ถูกป๋ายซูและเย่จัดการ พวกเขากลายเป็นนักฆ่าไร้ประโยชน์ขึ้นมาทันที

    สายตาทอดยาว ด้านหน้าคือเขตพระราชฐานแล้ว คิดว่าการแสดงของพวกนางทั้งห้าคงจบลงแล้ว

    “ทูลพระชายา ด้านหน้าคือเขตพระราชวังแถบชานเมืองพ่ะย่ะค่ะ”

    เสียงขององครักษ์ดังขึ้น หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

    ตลอดทาง นางกลัวเหลือเกินว่าจะมียอดฝีมือโผล่มา หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าพวกนางคงจะไม่มีเวลาพักผ่อนกันเลยแม้แต่น้อย

    “ข้าน้อยจูอ้ายจือมารับพระองค์ช้า พระชายาได้โปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

    ทันทีที่ผ่านประตูเขตพระราชวังเข้ามา ทหารอารักขารีบเข้ามาต้อนรับ

    จูอ้ายจือเป็นเพียงทหารอารักขาตำแหน่งเล็กๆ เท่านั้น ส่วนพวกตำแหน่งสูงๆ เข้าไปคุ้มกันไท่จื่อหมดแล้ว

    มีเพียงเขาที่ถูกส่งมาคอยต้อนรับคนที่เหลือ

    จวนอวี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเขาอาจได้รับโทษได้ง่ายๆ

    คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ลงจากรถม้าจะมิใช่ชายาอวี้ผู้งดงาม แต่กลับเป็นร่างของผ๋อจื่อคนหนึ่งที่ถูกมัดเอาไว้ด้วยเงื่อนตาย

    นางถูกโยนลงมา

    เอ๋? นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

    มีคนถูกโยนลงมาอย่างต่อเนื่องทีละคน หลังจากคนทั้งห้านอนกองอยู่บนพื้นแล้ว เสียงหวานใสของหญิงสาวจึงดังออกจากรถม้า

    “ใต้เท้าจูใช่หรือไม่ คนพวกนี้คือนักฆ่าลอบสังหารพวกใต้เท้า ข้าเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง มิรู้ว่าควรจัดการเช่นไร”

    ร่างเล็กบอบบางเดินลงจากรถม้า

    งดงาม สูงสง่า ชุดสีฟ้าที่นางสวมใส่ขับให้นางดูน่าเกรงขาม

    นอกจากหญิงสาวสวมชุดสีฟ้าแล้ว ยังมีหญิงสาวหน้าตาสวยงามโดดเด่นอีกสี่คนตามลงมา

    หากมิใช่เพราะบนพื้นปรากฏร่างที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เขาคงคิดว่านางคือฮูหยินจากสกุลใดสกุลหนึ่งพาสาวใช้ออกมาเที่ยวเล่น

    “ใต้เท้าจู ท่านนี้คือชายาอวี้ของพวกเรา”

    สาวใช้ใบหน้างดงามสวมใส่ชุดสีม่วงอ่อนส่งเสียงแนะนำ

    ใต้เท้าจูดึงสติกลับมา ก่อนจะรีบคุกเข่าลง

    “ข้าน้อยจูอ้ายจือถวายคำนับแก่พระชายา”

    “ลุกขึ้นเถิด อย่าได้มากพิธี ใต้เท้าจูได้ช่วยเหลือข้าและจับกุมตัวคนร้ายที่สังหารเหล่าใต้เท้าเอาไว้ ท่านทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

    หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา คำพูดของนางเสมือนกำลังโยนเสี่ยนปิ่งลงมาจากท้องฟ้าให้กับจูอ้ายจือ

    ชะงัก สบตาชายาอวี้ จูอ้ายจือคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้รับคุณงามความดีทั้งที่ไม่ได้ลงมือทำอะไร

    “เป็นอะไรไปหรือใต้เท้าจู?”

    หันหน้า มองดูใต้เท้าจูที่ยังคงเหม่อลอย

    “ข้าน้อย…ข้าน้อยขอบพระทัยพระชายาเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

    หลังจากนี้เขาจะได้รับการเลื่อนยศและออกไปจากเขตพระราชวังแถบชานเมืองแห่งนี้แล้ว

    “เชิญพระชายาเสด็จพ่ะย่ะค่ะ ห้องของพระองค์ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าน้อยจะนำพระองค์ไปยังที่ประทับ”

    นับว่าจูอ้ายจือมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นอย่างมาก แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการตระเตรียมห้องพักก็เป็นเขาที่ออกหน้าจัดการ

    ฉะนั้น ขณะที่คนอื่นๆ กำลังรอการจัดแจงห้องพักอยู่ในสวน หลินเมิ้งหยาและสาวใช้ทั้งสี่กลับได้เข้าไปอยู่ในห้องพักอันแสนกว้างขวางแล้ว

    “ของใช้ในเขตพระราชวังแถบชานเมืองอาจจะมิได้ดีเท่าที่จวน นี่คือนางกำนัลของพระราชวังเขตชานเมืองนามว่าซิ่นเอ๋อร์ ขอให้นางได้อยู่รับใช้พระชายาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

    จูอ้ายจือยังคงมิเข้าใจว่าสรุปแล้วเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร

    หญิงสาวแห่งจวนอวี้รูปร่างบอบบาง ตกลงพวกนางใช้วิธีการใดในการจับกุมคนร้ายเหล่านั้นกันนะ?

    “ไม่ต้องลำบากหรอก คนของข้าปราดเปรียวคล่องแคล่ว ให้แม่นางซิ่นเอ๋อร์พาคนของข้าไปเรียนรู้งานสักเล็กน้อยก็เพียงพอ ข้าเหนื่อยมากแล้ว ท่านออกไปก่อนเถิด”

    ตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขัน อย่าให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้จะเป็นการดีที่สุด

    สาวใช้ทั้งสี่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ แม้พวกนางจะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่บนรถม้าช่วงหนึ่งก็ตาม

    ใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดอาหารร้อนๆ ก็ถูกวางลงตรงหน้าหลินเมิ้งหยา

    “พวกเจ้ากินก่อนเถิด ข้ายังไม่หิว”

    ตอนนี้พวกนางหนีออกจากปากเสือได้แล้ว แต่มิรู้ว่าทางฝั่งหลงเทียนอวี้เป็นอย่างไรบ้าง

    ไม่รู้ว่ากำลังเสริมถึงแล้วหรือยัง หลินเมิ้งหยานั่งลงบนตั่งเล็กๆ สายตาทอดยาว

    “กำลังเป็นห่วงท่านอ๋องหรือเจ้าคะนายหญิง”

    ป๋ายจีรู้ใจหลินเมิ้งหยา แม้ท่านอ๋องและพระชายาจะไม่พูด แต่ในใจของพวกเขาล้วนมีกันและกัน

    เมื่อครู่พวกนางรับมือกับนักฆ่าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มิรู้ว่าท่านอ๋องจะเป็นเช่นไร