เล่มที่ 5 บทที่ 129 ที่แท้ก็เป็นเขา

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

จากมุมมองของนาง คนเหล่านั้นมิใช่ยอดฝีมือ

    ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่ได้ใช้ไพ่ตาย

    หลบอยู่ภายในรถม้า มองดูป๋ายซ่าวและป๋ายจีไปตรวจสอบและแสดงความเสียใจ

    “ดูเหมือนเหตุการณ์จะไปได้ดีเลยนี่”

    หลินเมิ้งหยามองดูพวกนางผ่านทางหน้าต่างด้านหลังรถม้า

    นางตั้งใจส่งป๋ายซูและป๋ายซ่าวออกไปเคลื่อนไหวที่ด้านนอก

    ต้องแหวกหญ้า งูจึงจะตื่น จากนั้นต้องดูแล้วว่าคนเหล่านั้นจะติดเบ็ดหรือไม่

    หลินเมิ้งหยามองดูสถานการณ์ด้านนอก แต่นางกลับไม่รู้สึกว่ารถม้าของตนเองกำลังแล่นห่างออกไปเรื่อยๆ

    รอบๆ บริเวณล้วนเป็นป่าทึบ

    “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงมาที่นี่?”

    แง้มหน้าต่างออก ก่อนป๋ายซูจะโผล่หน้าออกไปถาม

    “ทูลพระชายา ล้อรถม้ามีปัญหา พวกเราพักผ่อนกันก่อนสักครู่ อีกเดี๋ยวคนคุมรถม้าน่าจะซ่อมเสร็จเจ้าค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง เพราะเหตุนี้ทันทีที่นางนั่งลงจึงรู้สึกโครงเครงมากเป็นพิเศษสินะ

    ป๋ายซูและป๋ายจื่อช่วยกันพยุงหลินเมิ้งหยาลงจากรถม้าแล้วพามานั่งที่ก้อนหินใหญ่

    ขบวนรถของไท่จื่อแล่นไปข้างหน้าไม่หยุดเสมือนกำลังหนีเอาตัวรอดอย่างไรอย่างนั้น

    แม้รถม้าบางคันจะจอดลงที่ข้างทาง แต่รถม้าของไท่จื่อยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเห็นเพียงจุดดำไกลๆ

    “นายหญิง ไท่จื่อผู้นี้หนีเร็วเหลือเกิน เขาไม่แม้แต่จะสนใจความเป็นตายของคนที่อยู่ด้านหลัง”

    ป๋ายจื่อนวดขาของหลินเมิ้งหยาเบาๆ ก่อนจะเริ่มเอ่ยวาจาดูแคลนไท่จื่อ

    “สถานะของเขาแตกต่างจากเรา แม้คนเหล่านั้นจะตาย แต่เขามีสถานะที่สูงส่งเกินกว่าจะหันมาสนใจ”

    หลินเมิ้งหยารู้อยู่แล้วว่าไท่จื่อเป็นคนเช่นไร เมื่อประสบปัญหา เขาหนีไวยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก

    เหตุใดคนแบบนี้จึงได้เป็นว่าที่ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นกันนะ?

    “จะว่าเช่นนั้นก็ใช่เจ้าค่ะ นายหญิงหิวหรือยังเจ้าคะ? อยากให้ข้าไปหยิบของกินบนรถม้ามาให้หรือไม่เจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่อเอ่ยถาม ในช่วงเวลาคับขัน อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่หลินเมิ้งหยายังไม่มีเวลาแม้แต่จะจิบน้ำ

    “อีกไม่ไกลน่าจะถึงเขตพระราชวังแถบชานเมืองแล้ว ถึงที่นั่นแล้วค่อยว่ากัน”

    ที่เขตพระราชวังมีทหารหลวงจำนวนไม่น้อย ที่นั่นน่าจะปลอดภัย

    “จริงสิ ป๋ายจีกับป๋ายซ่าวพาองครักษ์ไปเพียงไม่กี่คนมิใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้จึงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเล่า?”

    บริเวณรอบๆ สงบเงียบ

    นานมากแล้วที่ไม่เห็นรถม้าวิ่งผ่าน บริเวณที่ดินเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้มีเพียงหลินเมิ้งหยาและสาวใช้ กับคนคุมบังเหียนที่กำลังซ่อมล้อรถเท่านั้น

    “นั่นสิเจ้าคะ เช่นนั้นข้าลองไปถามคนคุมบังเหียนดูดีกว่า”

    ป๋ายจื่อเองก็รู้สึกประหลาดใจ พวกทหารองครักษ์ไม่มีทางละทิ้งหน้าที่ของตนเองอย่างแน่นอน แต่เพราะเหตุใดจึงไม่มีพวกเขาแม้แต่คนเดียว

    “ไม่ อย่าไป”

    หลินเมิ้งหยารู้สึกผิดปกติ จมูกของนางได้กลิ่นผิดแปลกประหลาดบางอย่าง

    แอบบีบแขนของป๋ายซู ทั้งสามหันไปมองทั่วสารทิศ

    “พระชายา กระหม่อมซ่อมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สามารถออกเดินทางต่อได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    คนคุมบังเหียนย่างสามขุมเข้ามา พร้อมทั้งส่งเสียงเคร่งขรึม

    “องครักษ์เล่า? เมื่อครู่ยังตามพวกเรามาอยู่เลยมิใช่หรือ?”

    คนคุมบังเหียนก้มหน้าลง หลินเมิ้งหยามองไม่เห็นสีหน้าของเขา

    แต่นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

    “พวกเขาหรือ? ไปรอท่านที่ด้านหน้าแล้ว ฉะนั้นท่านรีบเดินทางไปเถิด”

    คนคุมบังเหียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาพลันเงยหน้าขึ้น

    ใบหน้ากร้านโลกหยักยิ้มมีเลศนัย

    เพราะเหตุนี้นางจึงรู้สึกผิดปกติตลอดเวลา ที่แท้นักฆ่าก็แฝงตัวอยู่บนรถม้าของนาง

    “เจ้า…อย่าเข้ามานะ! ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้เข้ามา!”

    ป๋ายจื่อตื่นตระหนกรีบวิ่งเข้าไปยืนกำบังหลินเมิ้งหยา ก่อนจะส่งเสียงละล่ำละลัก

    “เหตุใดข้าจึงเข้าไปไม่ได้เล่า? หากข้าไม่เข้าไป แล้วใครจะส่งพวกเจ้าไปยังโลกหน้ากัน?”

    หญิงสาวทั้งสามขยับเท้าถอยหลังไปทางป่าทึบ

    นักฆ่าคุมบังเหียนดึงของบางอย่างออกจากเอว ก่อนจะก้าวเข้ามาทีละก้าว

    “นายหญิง ที่มือของเขาคือไหมหิมะ เพราะเหตุนี้พวกเราจึงพบเพียงเส้นเล็กๆ เท่านั้น”

    ราวกับว่าป๋ายซูรู้จักของที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นจึงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะส่งนักฆ่าแปลกประหลาดเช่นนี้มา

    ตกลงพวกเขาเกลียดนาง แค้นนางขนาดไหนกัน?

    “ข้าขอเตือนเจ้าอย่าได้เข้ามา มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเกรงใจ”

    หลินเมิ้งหยาเดินขึ้นมาข้างหน้า ก่อนจะดันสาวใช้ทั้งสองหลบไปทางด้านหลัง เท้ายังคงขยับถอยหลังเข้าป่าไปเรื่อยๆ

    “ฮึๆ ชายาอวี้ อย่าได้คิดหนีเลย ข้าบอกเจ้าเลยแล้วกัน เจ้าต่างหากที่เป็นเป้าหมายของพวกเราในครั้งนี้ สาเหตุที่คนเหล่านั้นตายก็เพื่อขัดขวางเจ้าเอาไว้เท่านั้น”

    คำพูดของเขาทำให้หลินเมิ้งหยาตกใจ

    เป้าหมายในครั้งนี้คือนาง?

    แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้ว มันไม่น่าเชื่อเลยนี่นา นางเป็นใครกัน เหตุใดยอกนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋มากมายจึงต้องการชีวิตนาง?

    “เจ้ามาให้ข้า…อ๊าก…”

    นักฆ่าคิดอยากพูดว่าเจ้ามาให้ข้าฆ่าเสียดีๆ ทว่าเพียงขยับขาก้าวขึ้นไปข้างหน้า ตัวของเขาพลันตกลงไปในหลุมลึก

    ทั้งสามหลุดออกจากสถานการณ์เสี่ยงตายชั่วคราว

    เหตุเพราะ…นางยังมีเย่คอยคุ้มกันอยู่

    เย่ที่แอบตรวจสอบอย่างเงียบเฉียบมั่นใจแล้วว่าหนอนบ่อนไส้ในจวนคือใคร

    เมื่อรถม้าแล่นมาที่ป่าทึบแห่งนี้ นางรู้ได้เลยว่าจะต้องมีหลุมดักสัตว์อยู่ที่ใดที่หนึ่ง

    ทั้งสามเหลือบมองไปทั่วทั้งบริเวณ ไร้ซึ่งเสียงร้องของนักฆ่าผู้นั้น รวบรวมความกล้าก่อนจะเดินไปยังหลุมดักสัตว์

    แม้แต่เย่เองก็เช่นกัน

    หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนวางแท่งเหล็กแหลมคมลงไปในหลุมอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว

    อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่หมี หากตกลงไปคงมิอาจเอาชีวิตรอด

    ยืนอยู่ข้างหลุม มองดูคนคุมบังเหียนผู้หยิ่งทะนงที่นอนตายอย่างอเนจอนาถ หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ

    นางก็บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามา อย่าเข้ามา

    ในเมื่อไม่เชื่อ แล้วนางจะทำเช่นไรได้?

    “นายหญิง เขาจะยังมีชีวิตรอดหรือไม่เจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่อไม่กล้ามองดูในหลุม แม้นางจะคิดว่าคนผู้นี้สมควรตายก็ตาม

    หลินเมิ้งหยากับป๋ายซูสบตากัน ก่อนจะเอ่ย

    “วางใจเถิด ตายแล้วล่ะ เย่ สั่งให้คนมากลบหลุมด้วย”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    ไร้ซึ่งเงาของตัวคน แต่กลับได้ยินเสียงตอบรับชัดเจน แม้แต่ป๋ายซูยังไม่รู้ว่าต้นเจ้าของเสียงอยู่ที่ใด

    “เก่งชะมัด ใช่ว่าใครจะอำพรางตัวเช่นนี้ได้”

    ป๋ายซูส่งเสียงชื่นชม ไม่ว่าเย่หรือชิงหูล้วนเป็นยอดฝีมือที่ยากจะพานพบ

    “เอาล่ะ อย่าได้อิจฉาเขาเลย การที่เด็กสาวอายุเช่นเจ้ามีฝีมือมากขนาดนี้ได้ก็น่าเกรงกลัวพอแล้ว”

    ป๋ายซูเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีแต่เพียงเท่านั้น ทว่านางกลับสงบนิ่ง น่าพึ่งพิง ฝีมือยอดเยี่ยม เกรงว่าคนที่คอยหนุนหลังเสี่ยวอวี้อยู่จะต้องรู้สึกว่าพวกเขามิได้เลี้ยงคนเสียข้าวสุกอย่างแน่นอน

    ทว่า เจ้าเด็กคนนั้นกลับยกป๋ายซูให้กับนางเสียได้

    กลับไปยังรถม้า ป๋ายซูตรวจสอบขึ้นๆ ลงๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีปัญหา จึงหลีกทางให้หลินเมิ้งหยาและป๋ายจื่อขึ้นรถ

    “แต่ตอนนี้ไม่มีใครขับรถม้าเป็นเลย แล้วแบบนี้จะทำอย่างไร?”

    ป๋ายจื่อหันไปมองหลินเมิ้งหยา ราวกับว่านายหญิงของตนเองทำได้ทุกเรื่องอย่างไรอย่างนั้น

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะแห้งๆ ในโลกยุคปัจจุบัน สิ่งเดียวที่นางทำไม่สำเร็จคือใบขับขี่

    สอบมากถึงสามครั้งแต่ยังไม่ผ่าน สุดท้ายกลายเป็นนักเรียนเก่าแก่ที่สุดของโรงเรียน

    คิดไม่ถึงเลยว่า แม้จะย้อนเวลากลับมายังอดีต นางยังจะต้องเจอกับปัญหานี้

    “ข้า…ข้าขับรถม้าไม่เป็น”

    ทั้งสามคนสลับกันมองหน้าของแต่ละฝ่าย สุดท้ายจึงหัวเราะออกมา

    “ข้าไปหาพวกป๋ายซ่าวดีกว่า พวกองครักษ์จะต้องขับรถม้าเป็นอย่างแน่นอน”

    ป๋ายซูลงจากรถม้าแล้ววิ่งไปทางด้านหลัง

    โชคดีที่พวกป๋ายจีอยู่ห่างออกไปไม่ไกล มิเช่นนั้นหลินเมิ้งหยาคงหัวเราะไม่ออก

    นางคงมิบังอาจสั่งให้ยอดฝีมืออย่างเย่มาทำหน้าที่ขับรถม้าหรอก

    แต่ก็ช่างเป็นภาพฝันที่งดงามจริงๆ

    “นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

    เวลาเพียงครู่เดียว หลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงร้องตะโกนของป๋ายซ่าวดังลั่น

    สาวใช้คนนี้ดีหมดทุกเรื่อง ยกเว้นเสียงตะโกนที่ดังมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า

    บางครั้งเสียงด่าสาวใช้ในตำหนักหลิวซินดังไกลออกไปจนคนนอกได้ยิน จนใครต่อใครมองว่ามีผ๋อจื่อขี้จุกจิกอยู่ในเรือนของหลินเมิ้งหยา

    “ไม่เป็นไร นายหญิงกับข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

    ป๋ายจื่อรอต้อนรับเพื่อนของตนเอง ทันทีที่ป๋ายซ่าวมาถึง นางจับตัวหลินเมิ้งหยาไว้พลางก้มๆ เงยๆ สำรวจร่างกายของนาง

    “ข้าไม่เป็นไรจริงๆ อย่าได้ร้อนใจไป”

    หลินเมิ้งหยามองป๋ายซ่ายและป๋ายจี ก่อนจะเอ่ยปลอบ

    “พวกเราอยู่ทางด้านหลัง พริบตาเดียวก็ไม่เห็นพวกท่านแล้ว แต่ตอนนั้นมิอาจปลีกตัวออกมาได้ พวกเราร้อนใจมากเลยเจ้าค่ะ”

    อันที่จริงนักฆ่าคนนั้นมิได้ฆ่าองครักษ์ แต่กลับบอกให้พวกเขาไปหยิบยืมเครื่องมือซ่อมแซมทางรถม้าคันหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาถึงในเวลานี้

    “ดีแล้ว พวกเจ้าลองบอกข้ามาหน่อยว่าตกลงเหตุการณ์ทางนั้นเป็นเช่นไร?”

    นั่งลงบนรถม้า หลินเมิ้งหยาเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลที่สาวใช้ทั้งสองไปสืบมา

    “เป็นไปตามที่นายหญิงคาดเจ้าค่ะ ใต้เท้าของแต่ละตระกูลล้วนได้เจอคนรับใช้ของตนเอง ไม่ว่าจะเสี่ยวซี ยาหวนหรือทหารองครักษ์ พวกเขาอ้างเหตุผลมากมายเพื่อขอเข้าพบพวกใต้เท้า พวกเราลองแอบสืบมาก่อนจะรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่อง คนเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย”

    คำพูดของป๋ายซ่าวทำให้หลินเมิ้งหยาตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง

    อันที่จริงวิธีการของพวกเขามิได้สูงมาก

    การที่พวกคนรับใช้ขอเข้าพบเจ้านายล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดา

    ส่วนเรื่องการหายไปก็มิใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

    “เมื่อครู่ข้าเองก็จัดการคนคุมบังเหียนไปแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าอีกเดี๋ยวพวกนักฆ่าจะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี บางทีสิ่งที่กำลังรอพวกเราอยู่อาจเป็นพายุคลั่งก็เป็นได้”

    หลินเมิ้งหยาไม่รู้หรอกว่าเถาฮวาอู๋มาที่นี่เพราะนางหรือไม่

    แต่เมื่อครู่นางลองวิเคราะห์ดูแล้ว ก่อนจะพบว่าใต้เท้าที่ถูกสังหารเหล่านั้นล้วนเป็นคนกลางและมิได้อยู่ฝ่ายเดียวกับไท่จื่อ

    แต่การหลบหนีเพราะความตื่นตระหนกของไท่จื่อมิใช่เรื่องหลอกลวง

    ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?