เล่มที่ 5 บทที่ 128 ตกอยู่ในวงล้อม

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ฮูหยินจงตกอยู่ในอาการหวาดผวา หลังจากผ่านฉากความเป็นความตายเมื่อสักครู่

    ฉะนั้น หลินเมิ้งหยาที่อยากรู้เหตุการณ์จึงต้องปลอบโยนนางก่อนเป็นอันดับแรก

    มองใบหน้างดงามของชายาอวี้ อีกทั้งรอยยิ้มอ่อนโยนไร้ซึ่งเจตนาร้าย ฮูหยินจงละล่ำละลักเล่าให้เหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฟัง

    “ตอนแรกหม่อมฉันกับท่านพี่นั่งคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยกันอยู่ข้างในรถม้า อยู่ ๆ ท่านพี่ก็เบิกตากว้าง ต่อมาข้าได้เห็นเลือดสีแดงสดพวยพุ่งออกจากคอของเขา สุดท้ายเหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างที่พวกท่านได้เห็น”

    เหตุการณ์ในครั้งนี้ประหลาดนัก

    มิเช่นนั้น ฮูหยินจงคงมิมีท่าทางตื่นกลัวจนตัวสั่นเช่นนี้

    หลินเมิ้งหยาลูบบ่าของนางด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะรับผ้าห่มจากสาวใช้ของฮูหยินจงมาโอบรอบกายของนางไว้

    “พวกเจ้ายังมีรถม้าอีกหรือไม่? สั่งให้รถม้าอีกคันมารับฮูหยินจงไปนั่งที่นั่น”

    ฮูหยินจงตกอยู่ในอาการหวาดผวา หลินเมิ้งหยาออกคำสั่งเสร็จ รถม้าคันหนึ่งวิ่งเข้ามาหยุดลง

    แม้จะไม่กว้างเท่ารถม้าคันนี้ แต่กระนั้นก็มิได้น่าเกลียดนัก

    “คอยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินของพวกเจ้าให้ดี ส่วนศพของใต้เท้า รอกลับถึงเมืองหลวงก่อนค่อยทำตามประเพณี”

    สาวใช้ของสกุลจงรีบพยักหน้าลงเป็นการตอบรับ การที่ชายาอวี้ปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือจัดการเช่นนี้ทำให้พวกนางวางใจมากขึ้น

    “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”

    ป๋ายซูพยุงร่างหลินเมิ้งหยาลงจากรถม้าของสกุลจง เหลือบมองศพของใต้เท้าจงเล็กน้อย สุดท้ายนางแอบส่ายหน้าในความมืด

    กลับมายังรถม้าของตนเอง สาวใช้อีกสามคนรีบวิ่งเข้ามาห้อมล้อม

    “นายหญิง ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับใต้เท้าจงหรือเจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่อหดคอเอ่ยถาม การถูกบั่นคอจนขาดสะบั้นเช่นนี้ เป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก

    “ป๋ายซู เจ้ามาดูนี่หน่อยว่ามันคือสิ่งใด?”

    หลินเมิ้งหยามิได้ตอบคำถามของป๋ายจื่อ กลับกัน นางคลายกำปั้นที่มือขวาออก

    ภายในมีเส้นไหมบางๆ จนแทบจะมองไม่เห็นวางอยู่

    “นี่มัน…ไหมหิมะที่มีความเหนียวหนืดมากเป็นพิเศษ ราคาสูงดั่งทองเจ้าค่ะ”

    ป๋ายซูจับเส้นไหมในมือของหลินเมิ้งหยาขึ้นมา ไหมหิมะมีความอ่อนนุ่มจนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่ากำลังสัมผัสมันอยู่

    “เหนียวหนืด? หากขึงให้แน่น มันจะสามารถบั่นคอคนได้หรือไม่?”

    อยู่ๆ หลินเมิ้งหยานึกถึงข่าวที่เคยเห็นในโลกปัจจุบันขึ้นมาได้

    มีคนขี่จักรยานโดยไม่ระวังแล้วไปชนเข้ากับเบ็ดตกปลาที่ถูกขึงตึงอยู่ ศีรษะของคนคนนั้นขาดสะบั้น”

    หรือใต้เท้าจงจะตายเพราะวิธีนี้?

    “เป็นไปได้เจ้าค่ะ แต่คนร้ายจะต้องมีความสามารถมากเป็นพิเศษ ทว่าในรถม้ามีเพียงใต้เท้าจงและฮูหยินจงเท่านั้น หรือว่านายหญิงกำลังสงสัย…”

    ป๋ายซูเหลือกตาโต หรือคนที่น่าสงสัยที่สุดจะเป็นผู้หญิงรูปร่างอ่อนแอบอบบางคนนั้น

    “ไม่ใช่นางหรอก คนผู้นั้นจะต้องใช้วิธีที่พวกเราคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน เมื่อกลับไปยังจวนแล้ว พวกเราจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเถาฮวาอู๋อย่างแน่นอน”

    เหตุการณ์ทั้งหมดเสมือนถูกวางแผนเอาไว้แล้ว

    สายตาทอดยาวไปทางเขาหลิงจู หัวใจของนางมิอาจคลายความกังวลไปได้

    ชิงหูเคยบอกว่านักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋ทุกคนสามารถพรางตาได้

    หากมีคนแปลกหน้าแฝงตัวเข้ามาท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ก็คงมิมีใครรู้ได้

    “ป๋ายจี จงออกคำสั่งกับทหารองครักษ์ นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ห้ามมิให้คนที่ไม่รู้จักเข้าใกล้รถม้าของพวกเรา หากมีเรื่องอันใดให้แจ้งผ่านองครักษ์ หากมีทหารองครักษ์ที่ไม่คุ้นหน้าโผล่มา จงถามตัวตนของเขาออกมาให้ชัดเจน อีกทั้งยังต้องมีคนของพวกเราเป็นพยานด้วย”

    เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คงทำได้เพียงใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดเท่านั้น

    ขอเพียงพวกนางสามารถกลับไปยังเมืองหลวงอย่างปลอดภัยได้ก็พอ

    ป๋ายจีออกไปส่งสาร ไม่นานก็กลับเข้ามาภายใน

    ทว่า คิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่น แววตาเผยให้เห็นร่องรอยของความหวาดกลัว

    “คนข้างนอกพูดกันว่านอกจากใต้เท้าจงแล้ว ยังมีใต้เท้าอีกหลายคนถูกฆ่าเจ้าค่ะ”

    “อะไรนะ?”

    เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้? หลินเมิ้งหยาตกตะลึง

    แย่แล้ว นางเพิ่งรู้สึกตัว

    อันที่จริง พวกองครักษ์ที่คุ้มกันรอบรถม้าล้วนเป็นคนที่แฝงตัวมา

    พวกเขาใช้แผนการล่อเสือออกจากถ้ำเพื่อดึงดูดทหารหลวงและองครักษ์ออกไป จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มแผนสังหารเป้าหมายของตนเอง

    “ตั้งสติให้ดี อย่าได้หลงกลอีกฝ่ายเป็นอันขาด”

    หลินเมิ้งหยาเข้าไปอยู่รวมกับสาวใช้ทั้งสี่ ตอนนี้คนที่นางเชื่อใจได้มีเพียงสาวใช้เหล่านี้เท่านั้น

    ทุกคนกลับไปยังเมืองหลวงด้วยความรู้สึกหวาดผวา

    ระหว่างทาง เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้ที่สูญเสียผู้นำตระกูลไปดังระงม

    หลินเมิ้งหยามองดูคนเหล่านั้นด้วยความสงสาร

    ตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่จะเข้าไปแสดงความเสียอกเสียใจ

    การตายของพวกเขาจะต้องมิใช่เกิดจากน้ำมือของคนคนเดียวอย่างแน่นอน

    บางที นักฆ่าปริศนาเหล่านั้นอาจจะกำลังจับตามองดูหลินเมิ้งหยาอยู่ หากนางออกจากรถม้าเมื่อไหร่ ชีวิตของนางคงจบสิ้น

    “นายหญิง คนพวกนั้นตายแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่ออยู่เคียงข้างหลินเมิ้งหยามานาน นางจึงได้เห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่เป็นนิจ

    แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะได้เห็นคนถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้

    หดร่างบอบบางของตนเองเข้าหาอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา เหตุใดโลกภายนอกจึงโหดร้ายถึงเพียงนี้?

    “นี่คือสัจธรรมของโลกใบนี้อย่างไรล่ะ ทั้งโหดร้ายและทารุณ”

    หลินเมิ้งหยาเอื้อนเอ่ย นอกจากป๋ายซูแล้ว สาวใช้อีกสามคนล้วนตื่นตระหนกกับความเป็นตายที่ได้เห็น

    ไม่ว่าพวกนางจะมีความสามารถมากสักเพียงไหน แต่สุดท้ายแล้วพวกนางก็มิต่างจากนกที่อยู่ภายใต้ปีกของหลินเมิ้งหยา

    พวกนางถูกเลี้ยงดูแต่ภายในสวนหลิวซินแห่งจวนอวี้แต่เพียงเท่านั้น

    หลินเมิ้งหยาคิดว่าหากพวกนางยังคิดจะติดตามตนเองต่อไปแล้วล่ะก็ พวกนางจำเป็นต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความน่าหวาดกลัวเช่นนี้

    “ข้าไม่กลัวตาย สิ่งที่ข้ากลัวคือหากข้าตายไปแล้ว จะไม่มีคนดูแลคุณหนูแต่เพียงเท่านั้น”

    ป๋ายจื่อที่เปลี่ยนสรรพนามแทนหลินเมิ้งหยาว่านายหญิงเสมอมา

    กลับเปลี่ยนคำเรียกขานเป็นคุณหนูดั่งเดิมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของพวกตนเอง

    ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสาเผยให้เห็นความมุ่งมั่น ป๋ายจื่อจ้องหน้าหลินเมิ้งหยานิ่งเพื่อส่งผ่านความจริงใจผ่านทางสายตา

    นี่นางมองข้ามความกล้าหาญของป๋ายจื่อไปอย่างนั้นหรือ

    หลินเมิ้งหยาลูบไล้ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรออกมา

    “ข้าเองก็ไม่กลัว ในเมื่อเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว ตอนนี้ข้าถือเป็นคนของนายหญิงเช่นกัน”

    ป๋ายจีส่งยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าเรียวเล็กเผยให้เห็นความอบอุ่น อยู่ๆ หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าใบหน้าที่เคยสงบนิ่งเคร่งขรึมของป๋ายจีกลับเผยให้เห็นความรู้สึกต่างๆ มากมาย

    ป๋ายซ่าวที่เคยมีความกล้าเสมอมา ตอนนี้เริ่มปรับตัวกับความหวาดกลัวได้แล้ว ในที่สุดนางจึงเผยความในใจออกมา

    “กลัวอะไรกัน ก็แค่หัวหลุดจากบ่า มิต่างอะไรกับชามแตกหนึ่งใบหรอก การได้อยู่ข้างกายนายหญิงทำให้ข้ารู้สึกว่าชีวิตของข้ามิได้เปล่าประโยชน์แล้ว”

    สาวใช้ทั้งสามสะกดความรู้สึกหวาดกลัวเอาไว้ในหัวใจ หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางจะกล้าหาญถึงเพียงนี้

    ส่งยิ้มให้สาวใช้ทั้งสาม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกมีพลังที่จะต่อสู้กับคนเหล่านั้นแล้ว

    “ดี ในเมื่อพวกเจ้าไม่กลัว เช่นนั้นพวกเรามาวางแผนจับกุมตัวฆาตกรเหล่านั้นกันเถิด”

    การหดหัวอยู่ในกระดองหาใช่อุปนิสัยของหลินเมิ้งหยาไม่

    ความตายของคนเหล่านั้น ทั้งอันตรายและน่าหวาดกลัว

    บางทีความตายของพวกเขาอาจเป็นการบีบคั้นให้ใครบางคนยอมจำนนอยู่ก็เป็นได้

    แต่หลินเมิ้งหยามิใช่คนที่จะยอมเชื่อฟังคำสั่งใครง่ายๆ

    “นายหญิงจะทำอะไรหรือเจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่อรู้สึกตื่นเต้น แม้แต่ดวงตาของคนเคร่งขรึมอย่างป๋ายซูยังเปล่งประกาย

    นางอยู่เคียงข้างหลินเมิ้งหยามาสักระยะหนึ่งแล้ว นางมักจะได้เจอเรื่องที่ไม่คาดคิดเสมอ

    ตอนนี้แม้แต่สาวใช้ที่ไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ต่างก็กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ

    นางคิดมาเสมอว่าการได้ติดตามคนเหล่านี้จะทำให้ตนเองได้พบเจอกับความตื่นเต้นมากมาย

    “ป๋ายซ่าวและป๋ายจีจงพาองครักษ์ของจวนออกไปแสดงความเสียใจและเอ่ยถามคนเหล่านั้นว่าคนที่พบเห็นเป็นคนสุดท้ายคือผู้ใด ข้ากำลังสงสัยว่าฆาตกรอาจจะกำลังแฝงตัวอยู่ในกลุ่มขององครักษ์เหล่านั้น พวกเราจะต้องสอบถามเงียบๆ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”

    ป๋ายซ่าวกับป๋ายจีสบตากัน ก่อนจะส่ายหน้าออกมาอย่างลำบากใจ

    “องครักษ์ของเรามีไม่มาก หากพวกข้านำพวกเขาออกไปส่วนหนึ่ง เช่นนั้นความปลอดภัยของนายหญิงล่ะเจ้าคะ?”

    หลินเมิ้งหยากลับหยักยิ้มมีเลศนัย ก่อนจะชี้ไปทางป๋ายซู

    “พวกเจ้ารู้อยู่แล้วว่านางคือองครักษ์ที่เสี่ยวอวี้มอบให้ข้า แต่คนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องนี้และคิดเพียงว่านางเป็นสาวใช้ประจำตัวของข้าเท่านั้น”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ดวงตาของป๋ายซ่าวและป๋ายจีเบิกกว้าง

    ใช่แล้ว สิ่งที่พวกนางมองเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา มิได้เป็นเช่นนั้นในสายตาผู้อื่น

    อย่างเช่นชิงหูและป๋ายซู

    “เจ้าค่ะ พวกเราเข้าใจแล้ว ท่านรอฟังข่าวดีจากพวกเราได้เลย ป๋ายซูดูแลนายหญิงด้วย”

    ป๋ายซูพยักหน้าลง มือเล็กซ่อนใต้แขนเสื้อ

    มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่รู้ดีว่าป๋ายซูมีอาวุธติดตัวอยู่สองชิ้น

    ชิ้นแรกคือกระบี่อ่อนที่นางคาดเอาไว้บริเวณเอว ส่วนอีกชิ้นคือกริชอาบยาพิษใต้แขนเสื้อ

    ดังนั้น นางจึงสามารถเดินหน้าเพื่อโจมตีและถอยร่นเพื่อปกป้องได้ในเวลาเดียวกัน

    แม้จะอยู่ในรถม้าขนาดเล็กแต่ก็มิใช่ปัญหา

    “เจ้าเคยต่อกรกับนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋หรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยากระซิบถามป๋ายซู อีกฝ่ายครุ่นคิดก่อนจะตอบ

    “เคยได้ยินมาว่าเถาฮวาอู๋แบ่งนักฆ่าออกเป็นเซียนสี่ระดับ ระดับสูงสุดคือเทียนจื่อ ระดับต่ำสุดคือหวงจี๋ ถ้ามองจากฝีมือการต่อสู้ของข้า หากต้องเผชิญหน้ากับเซียนระดับเทียนจื่อ เกรงว่าจะต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มี”

    ป๋ายซูวิเคราะห์ด้วยความใจเย็น ทำให้หลินเมิ้งหยาเกิดความมั่นใจมากขึ้น

    นางเดาได้ว่านักฆ่าที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มองครักษ์จะต้องไม่ใช่ยอดฝีมืออย่างแน่นอน

    ตอนที่เดินผ่านเหล่าองครักษ์ นางได้ยินเสียงสนทนาที่ว่าใต้เท้าเหล่านั้นตายลงด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป

    ทั้งถูกวางยาตาย ถูกอาวุธโจมตี ทั้งหมดล้วนทำอย่างลับๆ