เล่มที่ 5 บทที่ 127 นักฆ่าปริศนา

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“อาเป่ย เจ้าคุ้มครองดูแลหมิงเยว่และคนอื่น ๆ ให้ดีแล้วจงรีบออกไปจากที่นี่เสีย”

    ฮ่องเต้หมิงเป็นคนกล้าหาญ แม้จะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรู แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามหาทางรอดให้กับลูกชายและลูกสาวของตนเอง

    “เสด็จพ่อ ท่านกับหมิงเยว่ออกไปจากที่นี่จะดีกว่า ลูกจะเป็นผู้ออกไปต่อสู้เอง”

    ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธ หูเทียนเป่ยดึงดาบประจำกายของตนเองออกมาแล้วพุ่งตัวออกไปจากกระโจม

    ภายในกระโจม เหล่าหญิงสาวตัวสั่นเทิ้มเพราะความหวาดกลัว มีเพียงหลินเมิ้งหยาเท่านั้นที่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง

    “นายหญิง พวกเราควรทำเช่นไรเพคะ?”

    ป๋ายจีกระตุกแขนเสื้อหลินเมิ้งหยา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

    “อย่าตื่นตระหนกไป รอดูสถานการณ์ก่อน ท่านอ๋องออกไปรับมือแล้ว คาดว่าจะต้องสกัดกั้นได้อย่างแน่นอน”

    สิ่งแรกที่หลินเมิ้งหยาคิดคือคนเหล่านั้นล้วนเป็นนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋ หากชิงหูอยู่แล้วล่ะก็ เขาสามารถบอกจุดอ่อนของคนเหล่านั้นได้

    ทว่าตอนนี้ชิงหูถูกนางส่งไปตรวจสอบเรื่องฮูหยินเยว่

    “ไท่จื่อ…ไท่จื่อ! จะออกไปตอนนี้ไม่ได้นะเพคะ”

    ไท่จื่อร้อนรนเสมือนมดถูกรนไฟ ทว่าสถานการณ์ด้านนอกยังคงไม่สงบนิ่ง หากหนีไปก็เกรงจะโดนข้อครหา

    “ไท่จื่อ หม่อมฉันคิดว่าการสอบสวนในคราวนี้คงไม่อาจทำได้อีกต่อไปแล้ว สู้ปล่อยให้ทุกคนกลับไปยังกระโจมของตนเองเพื่อเก็บข้าวของและลงจากเขาดีหรือไม่เพคะ?”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงดังเสนอความคิดเห็น ไท่จื่อในเวลานี้กำลังตื่นตระหนก ดังนั้นเขาจึงมิได้สนใจนางเท่าไรนัก

    “ได้ เอาตามที่เจ้าว่าแล้วกัน”

    ไท่จื่อรีบร้อนตอบตกลง หากเขาตัดสินใจผิด เกรงว่าชีวิตของตนเองอาจจะจบลงที่นี่ก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดรั้งหลินเมิ้งหยาเอาไว้

    นอกจากหลินเมิ้งหยาแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนกลับไปยังกระโจมประจำตระกูลของตนเอง

    ด้านหน้ากระโจมมีทหารองครักษ์ประจำตระกูลยืนเฝ้า

    ไม่ไกลกันนั้น ทหารของวังหลวงยืนคุ้มกันรอบค่าย

    หลินเมิ้งหยายืนอยู่ที่เดิม สายตาทอดยาว

    นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่นางไม่รู้ว่าความผิดปกตินั้นคืออะไรกันแน่

    กลับไปยังกระโจมของตนเอง ป๋ายซูจับตามองบริเวณรอบ ๆ หลังจากเห็นว่าหลินเมิ้งหยากลับมา นางจึงถอนหายใจ

    “นายหญิง ตอนนี้เหตุการณ์ด้านนอกวุ่นวายมากเลยเจ้าค่ะ นายน้อยสั่งให้หนู่ปี้พานายหญิงไปหลบยังที่ปลอดภัย”

    เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าตนเองยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลินจงอวี้

    “เสี่ยวอวี้อยู่ที่ไหน? เขาปลอดภัยดีหรือไม่?”

    ท่ามกลางสถานการณ์ยุ่งวุ่นวายนี้ หลินจงอวี้อาจได้รับอันตรายก็เป็นได้ หลินเมิ้งหยากังวลเป็นอย่างมาก

    “นายหญิงวางใจเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้มีคนคุ้มกันนายน้อยอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดกับนายน้อยอย่างแน่นอน”

    อันที่จริง ป๋ายซูยังมีอีกประโยคหนึ่งปกปิดไว้ในใจ การคุ้มครองเสมือนกักกันชั่วคราวเช่นนี้จะต้องทำให้นายน้อยโกรธเกรี้ยวอย่างแน่นอน

    “เช่นนั้นก็ดีแล้ว พวกเจ้าไปเก็บของก่อนเถิด อีกเดี๋ยวพวกเราจะต้องไปจากที่นี่แล้ว”

    นักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋ฝีมือไม่ธรรมดา แม้ทหารแต่ละคนจะแข็งแกร่ง แต่ถึงกระนั้นก็มิได้เจอการโจมตีเช่นนี้บ่อยนัก แม้จะเป็นทหารของวังหลวงที่ได้รับการฝึกฝนร่างกายทุกวัน ทว่าฝีมือของพวกเขาก็ยังต่างชั้นอยู่มาก

    ฉะนั้น หลินเมิ้งหยาจึงคิดพาทุกคนออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เท่านี้หลงเทียนหยู๋และพวกทหารของวังหลวงก็จะได้รีบกลับมาเร็ว ๆ

    ท่ามกลางคมหอกคมดาบ นางมิอย่างเห็นใครได้รับบาดเจ็บ

    “เจ้าค่ะ นายหญิง หนู่ปี้เห็นพวกขุนนางชั้นสูงเข้าไปรวมตัวกับไท่จื่อแล้ว อีกทั้งสัมภาระของพวกเขาล้วนถูกนำติดไปด้วยหมดแล้วเจ้าค่ะ”

    ตำแหน่งของไท่จื่อสูงเกินกว่าผู้ใด ดังนั้นจึงมีคนคอยปกป้องเขาค่อนข้างมาก

    ดังนั้น หากคนเหล่านั้นอยู่กับไท่จื่อ พวกเขาคิดว่าตนเองจะปลอดภัย

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจตามหลังไท่จื่อ เท่านี้องค์รักษ์ของแต่ละตระกูลทั้งหมดจะอยู่รวมกัน การป้องกันจะหนาแน่นยิ่งขึ้น

    แต่ว่า…นางยังไม่เข้าใจ ตกลงคนของเถาฮวาอู๋มาที่นี่ด้วยเหตุใด

    หรือพวกเขาคิดจะสังหารขุนนางชั้นสูงของไท่จื่อทั้งหมด?

    การกระทำเยี่ยงนี้มิต่างอะไรกับการถมแม่น้ำและทลายภูเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าใครคิดจะก่อกบฏ

    ตกลงวัตถุประสงค์ในการจู่โจมครั้งนี้คืออะไรกันแน่?

    หลินเมิ้งหยาตามหลังไท่จื่อ สถานการณ์ทางด้านหลงเทียนหยู๋ไม่สู้ดีนัก

    “พี่สาม หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเราจะถูกฆ่าตายเสียก่อน”

    ใบหน้าของหลงชิงหานท่วมไปด้วยเลือด แต่โชคดีที่ไม่ใช่เลือดของเขาแม้เพียงหยดเดียว

    เขาไม่เหมือนองค์ชายไม่เอาไหนอีกต่อไป ทว่าเขากลับเหมือนนักฆ่ามากฝีมือคนหนึ่ง

    ไม่มีใครคาดคิดว่าหลงชิงหานที่ปกติเป็นคนสำมะเลเทเมาจะเก่งกาจเช่นนี้

    “อดทนอีกหน่อย อีกไม่นานกำลังเสริมก็จะถึงแล้ว”

    เคร่งขรึม ก่อนจะดึงดาบออกจากอกของศัตรู

    โลหิตสีแดงฉานหวยพุ่งออกมา ยังไม่ทันที่หลงเทียนหยู๋จะได้เช็ดเลือดที่กระเซ็นบนร่างของตนเอง ศัตรูคนใหม่กลับโผล่มาอีกครั้ง

    “อ๋องหยู๋ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะได้กลายมาเป็นสหายร่วมรบเช่นนี้”

    หูเทียนเป่ยขนาบอยู่ข้างกายทั้งสอง แม้ดาบเหล็กจะทั้งหนาทั้งใหญ่ แต่กลับแกว่งไกวได้อย่างปราดเปรียวมิติดขัด

    “ยังมีเรื่องที่เจ้ายังคิดไม่ถึงอีกมาก อย่างเช่น เจ้าอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่ต้าจิ้นของข้า”

    หลงชิงหานกับหูเทียนเป่ยเป็นเพื่อนรักกัน ดังนั้นวาจาที่ใช้จึงมิได้ไพเราะนัก

    ทั้งสามเป็นคนมีฝีมือในการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นผู้นำในการต่อสู้ครั้งนี้

    “พวกเขาน่าจะกลับไปแล้วใช่หรือไม่?”

    หลงเทียนหยู๋เอ่ยถามเสียงเบา ตอนนี้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดทุ่มเทให้กับการฟาดฟันศัตรู ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องของคนข้างหลังเลยแม้แต่น้อย

    แม้คนที่มาร่วมงานล่าสัตว์จะมากมาย แต่คนที่อยู่ที่นี่ก็มีไม่น้อย คาดว่าพวกเขาจะต้องกลับไปได้อย่างรวดเร็วแน่นอน

    “เกือบหมดแล้ว พวกเราเองก็เริ่มถอยทัพเถิด การต่อสู้ในครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

    ตำแหน่งที่ตั้งของหลงชิงหานค่อนข้างสะดวก ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องราวของคนทางด้านหลัง

    “ดี ชิงหาน เจ้าไปถามกำลังเสริมหน่อยว่าอีกนานหรือไม่กว่าจะถึง”

    แม้ทหารหลวงจะมีจำนวนมากเพียงพอที่จะต่อกรกับศัตรู แต่ฝีมือของเขายังมิอาจเทียบได้กับนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋

    โชคดีที่ยิ่งฆ่าคนของเถาฮวาอู๋ได้มากเท่าไร จำนวนคนของพวกนั้นยิ่งน้อยลง มิเช่นนั้นต่อให้คนทางฝ่ายเขาจะมากสักเท่าไรก็คงมิอาจสกัดกั้นเอาไว้ได้

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    เหตุเพราะเป็นทั้งพี่น้องและสหายร่วมรบ ดังนั้นเพียงมองตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร

    หลงชิงหานหลบหลีกคมหอกคมดาบมากมาย ก่อนจะหายตัวออกจากวงล้อมของศัตรู

    หลงเทียนหยู๋กับหูเทียนเป่ยสัมผัสได้ถึงความกดดัน แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ทุ่มเทแรงทั้งหมดที่มีเพื่อต้านศัตรู

    “พี่สะใภ้สาม พวกท่านมิได้รับบาดเจ็บอันใดใช่หรือไม่?”

    เสียงคุ้นหูดังขึ้น หัวใจของหลินเมิ้งหยากระตุกเร็วขึ้นเล็กน้อย

    โชคดีที่แม้หลงชิงหานจะมีเลือดท่วมตัว แต่ดวงตาของเขายังคงเปล่งประกาย

    เขาน่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ

    “สถานการณ์ทางฝั่งของพวกเจ้าเป็นเช่นไร? ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้าที่เดินทางออกจากค่ายมาได้สักพักหนึ่งแล้ว หากมิใช่เพราะหลงชิงหานใช้วิชาตัวเบาไล่ตามมาแล้วล่ะก็ เขาคงตามไม่ทันอย่างแน่นอน

    “วางใจเถิด พี่สามมีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงติดตัว เขาไม่มีทางได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอาเป่ยคอยช่วยเหลือ กำลังเสริมเองก็กำลังมา เมื่อกำลังเสริมมาถึง พวกท่านจะปลอดภัยอย่างแน่นอน”

    หลงชิงหานไม่พูดพร่ำทำเพลงมากมายนัก หลังจากบอกเล่าไม่กี่ประโยค เขาก็จากไป

    โชคดีเหลือเกินที่หลงเทียนหยู๋ไม่ได้รับบาดเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้นกำลังเสริมก็ดูจะอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

    “ดีจังเลย ท่านอ๋องไม่เป็นอะไร เท่านี้นายหญิงก็สบายใจได้แล้ว”

    สาวใช้พากันแสดงความยินดี ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เสมือนมีเถาวัลย์พันเลื้อยบีบหัวใจของนางอย่างไรอย่างนั้น

    ดูเหมือนกำลังจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

    เมื่อกำลังเสริมไปถึง ต่อให้ศัตรูจะเก่งกาจสักเพียงไหน แต่สองมือหรือจะสู้สี่มือ

    ตกลงเป้าหมายที่แท้จริงของเถาฮวาอู๋คืออะไรกันแน่? พวกเขาจะมาต่อสู้ทั้งที่รู้ตัวว่าต้องแพ้ไปทำไมกัน?

    “อา….สวรรค์โปรด!”

    ด้านนอก อยู่ ๆ เสียงแผดร้องพลันดังขึ้น หลินเมิ้งหยาโผล่หน้าออกไปทางหน้าต่าง แต่กลับได้เห็นรถม้าคันหน้าจอดลงกระทันหัน

    เสียงร้องไห้ดังออกมาจากรถม้าคันดังกล่าว

    “ไปดูสิว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น”

    หลินเมิ้งหยาสั่งให้ทหารองครักษ์ไปตรวจสอบ ไม่นานทหารองครักษ์ก็รีบกลับมา

    “พระชายา ด้านหน้าคือรถม้าของใต้เท้าจงผู้รั้งตำแหน่งซื่อหลางพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสืบทราบมาว่าเมื่อครู่ท่านใต้เท้ากำลังสนทนาอยู่กับฮูหยิน แต่อยู่ ๆ บุคคลปริศนาก็เข้ามาฆ่าใต้เท้าพ่ะย่ะค่ะ”

    “อะไรนะ? เหตุใดจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้?”

    คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน แม้แต่สาวใช้ทั้งสี่ของนางเองก็พูดไม่ออก

    พวกเขาไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ แม้แต่ป๋ายซูที่มีฝีมือการต่อสู้เองก็เช่นกัน

    แต่การฆ่าคนต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว

    “ทุกคนระวังตัวด้วย จะต้องรักษาการคุ้มกันอย่างเข้มงวด ป๋ายซู จงตามข้ามา”

    “เจ้าค่ะนายหญิง”

    สิ่งที่ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกตื่นตระหนกคือวิธีการฆ่าที่แปลกประหลาด

    ไม่ซิ รถม้าของนางตามหลังใต้เท้าจง เหตุใดจึงเกิดเหตุถูกฆ่าตายเช่นนี้ขึ้นมาได้?

    คนในครอบครัวของใต้เท้าจงพยายามเขย่าร่างไร้วิญญาณของเขา

    องครักษ์ที่อยู่รอบ ๆ ตื่นตะลึง พวกเขาตั้งท่าป้องกันคนอื่น เหตุเพราะกลัวว่าศพรายต่อไปจะเป็นตัวเอง

    “ฮูหยินจง พระชายาของหนู่ปี้มาตรวจสอบสถานการณ์เจ้าค่ะ”

    พื้นเต็มไปด้วยเลือด แต่เพราะป๋ายซูเคยเห็นอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางจึงมิได้มีท่าทีหวาดกลัว

    “ฮือ ฮือ ท่านพี่…ท่านพี่…”

    ฮูหยินจงซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ใบหน้าเปื้อนน้ำตา แต่กลับมิกล้าเข้าใกล้ศพของสามี

    หลินเมิ้งหยากลับไร้ซึ่งความกลัว เดินขึ้นไปตรวจสอบร่างจมกองเลือด

    รถม้าของสกุลจงกว้างขวาง บนพื้นถูกปูเอาไว้ด้วยเสื่อไม้ไผ่

    ทว่า สีเหลืองหม่นของมันกลับถูกโลหิตสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อน

    รูปร่างของใต้เท้าจงมิใหญ่หรือเล็กจนเกินไป แน่นอนว่าเรี่ยวแรงจึงมีมากพอสมควร เหตุใดเขาจึงตายโดยไร้สุ่มไร้เสียงเช่นนี้

    ร่างกายนอนหงายอยู่บนพื้นรถม้า ศีรษะกลับกระเด็นไปที่มุมหนึ่ง

    หลินเมิ้งหยาตรวจสอบบริเวณลำคอที่ถูกบั่น ก่อนจะพบว่าพื้นผิวของบาดแผลค่อนข้างเรียบ ดูเหมือนจะถูกดาบฟันลงมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นศพจึงมีลักษณะเช่นนี้

    “ฮูหยินจง ก่อนที่ท่านใต้เท้าจะตาย มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”

    ส่งเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม เสียงของนางเสมือนเสียงปลอบโยน

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ด้านหน้าฮูหยินจง มือเล็กยื่นเข้าไปลูบแขนของนางเบา ๆ