บทที่ 130 แลกเปลี่ยน (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 130 แลกเปลี่ยน (4)
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายพร้อมลงมือตลอดเวลา ยิ่งมายิ่งเข้าใกล้

“พี่ลู่”

เสียงของเซียวหงเย่ดังมาจากประตูใหญ่

“ต่างเข้าใจผิดๆ คนผู้นี้คือผู้รับใช้ของใต้เท้าผู้ประกอบพิธี ก่อนหน้านี้ไม่ทราบความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองฝั่ง ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีเดินทางไกลมาเป็นพันลี้เพื่อควบคุมสถานการณ์ใหญ่”

เซียวหงเย่ค่อยๆ ดึงประตูออก มองกองทัพด้านนอก “ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีเชิญท่านเข้าไปพบ”

ผู้ประกอบพิธีหรือ

ลู่เซิ่งคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะมีผู้ประกอบพิธีคนหนึ่งโผล่มา

เขาหยีตามองเซียวหงเย่กับเฒ่าตาเดียวผู้นั้น ในเมื่อเป็นผู้ประกอบพิธีของจวนอู๋โยว ดูการแสดงออกของเซียวหงเย่ จะต้องเป็นตัวตนที่ตำแหน่งสูงกว่าเขาแน่นอน

เขาคำนวณในใจ สะกดกลั้นเพลิงโทสะไว้ ค่อยๆ เก็บปราณภายในบนมือกลับ

“ได้ ข้ามีเรื่องส่วนหนึ่งต้องการขอคำสั่งสอนพอดี ทุกคนรออยู่นอกประตู!”

หลังจากเขาสั่งพลพรรค ก็สาวเท้าเดินเข้าไปจากช่องว่างที่ทั้งสองหลีกให้

เซียวหงเย่ใบหน้าประดับรอยยิ้ม เพียงแต่ดวงตาปรากฏความฉงน คิดไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ลู่เซิ่งจะยังสะกดกลั้นได้

ลู่เซิ่งเข้าไปในลาน เห็นชายชราผมขาวนั่งถือสุราจอกจอกหนึ่งในมือ อยู่ตรงกลางลานทันที

ชายชรามีหน้าตาทรงอำนาจ แม้จอนจะขาว หากแต่ยิ่งใหญ่ราวกับราชสีห์คลั่ง กล้ามเนื้อกำยำ ร่างกายแข็งแรงเหมือนกับบุรุษวัยฉกรรจ์

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พอลู่เซิ่งเข้าประตู ก็รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายอันตรายวนเวียนอยู่ในตัวลาน…

เขาหรี่ตา นานแล้วที่ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายแบบนี้… นับตั้งแต่เขาสำเร็จสภาพหยางโชติช่วง พลังเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง แม้แต่สตรีกางร่มแห่งจตุรัสแดงก็มอบความรู้สึกคุกคามแบบนี้ให้เขาไม่ได้

“รายการที่ประมุขพรรคลู่ส่งมา ข้าได้รับแล้ว ไม่เลว

นอกจากนี้ ข้าเห็นคนที่ส่งจดหมายมามีกล้ามเนื้อแน่น เลยอดจับมาย่างกินไม่ได้ แค่คนธรรมดาเพียงคนเดียว ประมุขพรรคสมควรไม่ถือสากระมัง” ชายชราซึ่งเป็นผู้ประกอบพิธีจ้องลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้ม

พริบตาที่สายตาเขาอยู่บนร่าง ลู่เซิ่งรู้สึกชาไปทั้งตัว คล้ายถูกสัตว์ร้ายจับจ้อง พลังงานในร่างสั่นไหว เริ่มเร่งการโคจรเอง คล้ายกับรู้สึกได้ถึงการคุกคามอันร้ายแรง

ความรู้สึกชาไปทั่วร่างนี้ เป็นความรู้สึกสั่นสะท้านที่เกิดขึ้นตอนเขาเจอภูตผีครั้งแรก

ลู่เซิ่งทราบแก่ใจ มีแต่ตอนที่ตนเผชิญกับตัวตนที่ตนเองสู้ไม่ไหวเท่านั้น จึงเกิดความรู้สึกแบบนี้

แข็งแกร่ง… แข็งแกร่งมาก!

เขาจิตใจพลุ่งพล่าน แต่ต้องข่มไว้ ความคิดที่อยากจะลงมือเมื่อก่อนหน้านี้ถูกสะกดไว้

‘คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือระดับสูงในจวนอู๋โยวมาควบคุมพิธีกรรม ความรู้สึกคุกคามเช่นนี้… เราในตอนนี้ไม่ใช่คู่มือเด็ดขาด!

ตอนนี้ด้านหลังเรามีตระกูลซั่งหยางอยู่ เขาคงไม่กล้าลงมือกับเราตามอำเภอใจ’

เขาเข้าใจแล้วว่า นี่เป็นกับดักชนิดหนึ่งที่วางไว้เล่นงานตนหรือบอกว่าเป็นการหยั่งเชิงอีกครั้งหนึ่ง ต้วนเหมิ่งอันเพียงถูกพัวพันจนประสบภัยพิบัติที่ไร้เหตุผล เป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่าย คือตนเอง

เขายืนอยู่ที่เดิม ปราณภายในหมุนเร็วขึ้น ความรู้สึกร้อนลวกแผ่กระจายไปรอบๆ

หลังจากนั้นหลายอึดใจ

ลู่เซิ่งค่อยสะกดเพลิงโทสะ ก้มหน้าตอบอย่างเชื่องช้า “…แน่นอน… ก็แค่มนุษย์คนเดียว มีอันใดถือสาหรือไม่ถือสา ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีไม่จำเป็นต้องถือสา”

เขาสีหน้าสงบนิ่ง เปลือกนอกมองสีหน้าไม่ออก แต่ในใจกลับเดือดพล่าน จิตสังหารสั่งสมอยู่ที่ก้นบึ้งจิตใจโดยไม่อาจสะกดไว้ได้

จวนอู๋โยวก่อนหน้านี้หยั่งเชิงครั้งหนึ่งยังพอว่า ตอนนี้หยั่งเชิงเป็นครั้งที่สองยังฆ่าคนสนิทของเขา ครั้งต่อไปจะล้างตระกูลลู่ของเขาหรือไม่

ผู้ประกอบพิธีพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ประมุขพรรคลู่รู้จักหลักการสำคัญ ไม่เลว เอาล่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ประมุขพรรคลู่ไม่สู้ดื่มร่วมกันสักจอกหนึ่ง เนื้อและสุรานี้เป็นฝีมือของข้า คนทั่วไปไม่มีโอกาสลิ้มลอง”

ลู่เซิ่งหางตาแลเห็นศพเลือดเนื้อเลอะเลือนศพหนึ่งซึ่งแขวนบนต้นไม้ไม่ไกล ข้ารับใช้เฒ่าผมยาวคนหนึ่งกำลังถือมีดแล่เนื้อสดๆ จากศพ

เขาจำได้ทันทีว่าศพนั้นคือต้วนเหมิ่งอัน จากนั้นมองดูท่าทางคุยถึงรสชาติของสัตว์เลี้ยงจากชายชราผู้ประกอบพิธี จิตใจเย็นเยือกกว่าเดิม

“ไม่ต้องแล้ว ครั้งนี้ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด ก็แล้วกันไป ข้าไม่รบกวนความสำราญของใต้เท้าผู้ประกอบพิธี ขอลาก่อน” เขาก้มหน้าเอ่ยอย่างสงบ

“ก็ดี ประมุขพรรคลู่ส่งคำพูดให้หลานจิ่วหลีแทนข้าด้วย บอกนางมีเวลาให้มาที่นี่ ภายหลังข้าจะอยู่พักอย่างถาวรในที่ของทูตเซียว” ผู้ประกอบพิธีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“จะต้องส่งให้แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้า จากนั้นถอยหลังด้วยความนอบน้อม

ตอนหมุนตัวกลับ ลู่เซิ่งกวาดมองศพนั้นเป็นครั้งสุดท้าย เลือดแดงฉานหยดจากศีรษะต้วนเหมิ่งอัน เขาถูกแขวนกลับหัวบนกิ่งไม้ สองเท้าถูกมัดเข้าด้วยกัน ใช้ตะขอเหล็กเจาะฝ่าเท้าเหมือนกับแพะ สุกร ท้องถูกแหวะ เครื่องในหายไปไม่น้อย บางทีอาจถูกทิ้ง หรือไม่ก็ถูกกินไปแล้ว

เนื้อที่ย่างและผัดด้วยไฟแรง วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะหินหน้าผู้ประกอบพิธี อาจเป็นเนื้อของเขา

ลู่เซิ่งละสายตากลับมา จิตใจเย็นเยียบกว่าเดิม

“ประมุขพรรคโชคดี” ชายชราตาเดียวยิ้มให้เขา ก้มหน้าอย่างเคารพ

ลู่เซิ่งมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเร่งฝีเท้าผ่านร่างอีกฝ่ายไป

พอเดินออกนอกประตูใหญ่ เขาตวาดใส่ผู้อาวุโสทั้งสามคน

“ถอย!”

ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นประมุขพรรคเข้าไปแล้วออกมา สีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีการอธิบาย ก็ให้ทุกคนถอยทันที

ถึงแม้ไม่เข้าใจ แต่เพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อลู่เซิ่ง ทุกคนจึงรีบถอยทัพ แม่ทัพจากทัพรักษาเมืองเข้ามาถามไถ่ทักทาย แล้วล่าถอยตาม

หลังลู่เซิ่งจากไป ในลานจวนเซียว ผู้ประกอบพิธีลุกขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง

“คนผู้นี้มีขีดความสามารถไม่ธรรมดา ต่อให้อยู่ในตระกูลขุนนาง ก็เป็นมือดีอันดับแรกๆ ในสถานที่กันดารเช่นแดนเหนือ เรียกว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งได้ ไม่ถือว่าเกินจริง” จากนั้นเขามองที่ว่างอีกด้านหนึ่ง “เป็นอย่างไร ใช่เขาหรือไม่”

ไป๋จิ้งนวยนาดออกมาพร้อมกระโปรงสีดำ

“คลับคล้าย แต่ต่างกันเกินไป ไม่สอดคล้องกับเบาะแสที่ได้มา ยังไม่อาจยืนยันได้โดยสมบูรณ์”

“ไป๋จิ้งเจ้าทำอะไรมักชักช้าเช่นนี้เสมอ” ด้านในโถงหลักมีบัณฑิตหน้าขาวรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งเดินออกมาเช่นกัน “ข้าน้อยได้รับข้อมูลไม่เลวมา”

“ทูตเฉวียนท่านว่ามา” ผู้ประกอบพิธีมองบัณฑิตผู้นี้

บัณฑิตผู้นั้นมองไป๋จิ้งอย่างลำพองใจแวบหนึ่ง

“เพิ่งได้รับข่าวว่า อีกสักพักประมุขพรรคลู่ผู้นี้จะไปพบหน้ากับหลี่ซุ่นซี ต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งของบางอย่าง เวลาและสถานที่ยันยืนแล้ว”

“อ้อ? ข่าวเป็นจริงหรือ” ผู้ประกอบพิธีตาเป็นประกาย

“เป็นจริงแน่นอน ผู้แซ่เฉวียนเอาข่าวนี้มาจากคนข้างตัวหลี่ซุ่นซี” ทูตเฉวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มภูมิใจ “ในนี้ยังเกี่ยวข้องกับพันธมิตรบู๊”

“เกี่ยวข้องกับพันธมิตรบู๊หรือ เจ้าพวกมุสิกพันธมิตรบู๊ จะได้กางตาข่ายจับในครั้งเดียว!” ผู้ประกอบพิธีแสดงความสนใจ “เวลาและสถานที่คือ?”

“ตีนเขาบูรพานอกเมือง ปากหุบเขาไร้ลม” เวลาคืออีกห้าวันให้หลัง ยามกลางอู่ตอนเที่ยง”

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งฟาดฝ่ามือใส่กำแพงไม้ข้างๆ กลายเป็นช่องว่างขนาดเท่าอ่างล้างหน้า

“จวนอู๋โยว!” เขาหน้าเขียว กล่าวทีละคำ

พอกลับมาถึงพรรค เขาก็ประกาศเรื่องของต้วนเหมิ่งอันในพรรค แก้ไขว่าความตายของต้วนเหมิ่งอันไม่เกี่ยวกับจวนเซียว ส่วนสาเหตุกำลังตรวจสอบอยู่

เช่นนี้นับว่าระงับความเคลือบแคลงในใจพลพรรคได้

ถึงจะระงับความเคลือบแคลงของทุกคนได้ แต่ว่าลู่เซิ่งโมโหเดือดดาล จวนอู๋โยวบีบบังคับคน ทำสิ่งใดไร้ข้อกริ่งเกรง ถ้าไม่ใช่เบื้องหลังเขามีตระกูลซั่งหยาง เกรงว่าผู้ประกอบพิธีคนนั้นอาจจะฉีกทึ้งเขาตรงนั้นไปแล้ว มิน่าก่อนหน้าจึงเซ่นสรวงเลือดคนจำนวนมากได้อย่างเปิดเผย

ลู่เซิ่งสัมผัสถึงความแตกต่างของตนกับชายชราผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ตอนเผชิญหน้าอีกฝ่าย ปราณภายในทั่วร่างโคจรด้วยความเร็วสูงเอง เพื่อต้านทานพิษพันธนาการที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาตามธรรมชาติ พิษพันธนาการเมื่อเหี้ยมหาญถึงขั้นหนึ่ง อากาศในบริเวณหนึ่งรอบๆ ตัวจะได้รับผลกระทบ

‘ดูเหมือนจะยังผ่อนคลายไม่ได้…’ ดวงตาลู่เซิ่งกลายเป็นลึกล้ำ ‘ยกระดับปราณภายใน ทดลองควบแน่นดูก่อนค่อยว่ากัน รอไม่ได้แล้ว พลัง เราต้องการพลังมากกว่านี้!”

“พวกเจ้า! แจ้งอวี้เหลียนจื่อ ข้าจะปิดด่าน ภารกิจทั้งหมดในพรรคให้เขาตัดสินใจ ก่อนข้าออกด่าน ห้ามให้ใครรบกวนข้า” ลู่เซิ่งเรียกองครักษ์คนสนิทมาสั่ง

“ขอรับ!”

พลพรรคไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งเก็บกวาดข้าวของหยูกยา ไปยังห้องสงบใจสำหรับปิดด่านโดยเฉพาะบนเรือวาฬแดง นั่นเป็นห้องพิเศษที่สร้างขึ้นจากเหล็กกล้าทั้งหมด

ลู่เซิ่งเตรียมของเรียบร้อย ก็นำเข้าไป ปิดห้องสงบใจ นั่งขัดสมาธิ

‘ดีปบลู’ เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยน

กรอบสีน้ำเงินพลันโผล่ออกมา สายตาของลู่เซิ่งอยู่ที่กรอบวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานซึ่งสะดุดตาที่สุดด้านใน

[ดำเนินการเรียนรู้วรยุทธ์หรือไม่] กรอบหนึ่งเด้งออกมาถาม

ลู่เซิ่งเพ่งมองสักครู่ พร้อมมองปุ่มปรับเปลี่ยนได้ที่ลอยขึ้นด้านหลัง ในที่สุดก็สูดหายใจลึก

ใช้สำนึกกดปุ่มอย่างแรง

พริบตานั้น ภายในร่างเดือดพล่าน ปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานพลิกตัวอย่างรุนแรง เริ่มไหลเวียนเร่งความเร็วอย่างบ้าคลั่งในเส้นลมปราณ

เสื้อผ้าบนร่างลู่เซิ่งลุกไหม้ ถูกปกคลุมในทะเลเพลิง เผาไหม้ด้วยความเร็วสูง ผมของเขาที่เพิ่งงอก พริบตาเดียวก็ถูกเผาเป็นผงดำในเปลวเพลิงเช่นกัน

“มาเลย! หากไม่ตาย ก็รอด!”

ลู่เซิ่งตะโกน ทั้งร่างเจ็บปวดรวดร้าว ขยายใหญ่ขึ้น สภาพหยางโชติช่วงทำงานโดยฉับพลัน

ตูม!”

สะเก็ดไฟนับไม่ถ้วนระเบิดออก ร่างกายของเขากลายเป็นขนาดมหึมา พริบตาเดียวก็แปลงเป็นสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งสูงสองหมี่กว่าๆ

กล้ามเนื้อที่เหมือนกับตุ่มบวมจำนวนมากเคลื่อนย้ายและเบียดอัดใต้ผิวเขา ยิ่งมายิ่งมาก ยิ่งมายิ่งขยาย ลวดลายตาข่ายสีเทาอมเขียวปกคลุมผิวราวกับรอยสัก

หลังจากเปลี่ยนเป็นสภาพหยางโชติช่วง แขนขาแดงขึ้นเรื่อยๆ ฟองน้ำกับตุ่มสิวขนาดไม่เท่ากันเริ่มผุดขึ้นมาบนผิวทั่วทั้งตัว

ความเจ็บปวดจากการขยายอย่างรุนแรงพุ่งกระแทกไปทั่วร่าง คล้ายกับปราณภายในคลั่งจนคิดจะหาช่องที่ระบายได้ในร่าง

แต่ว่าวิชาแข็งกร้าวในสภาพหยางโชติช่วง เหี้ยมหาญสุดเปรียบปาน แทบกล้าบอกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน ไร้ช่องโหว่แม้แต่น้อย

ในสถานการณ์แบบนี้ ปราณภายในที่เหลือของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน ได้แต่บีบอัดในร่างของเขาอย่างต่อเนื่องจนยิ่งมายิ่งมาก ยิ่งมายิ่งหนาแน่น

แรงดันอันมหาศาลทำให้หลอดเลือดของลู่เซิ่งค่อยๆ ขยายตัว เหมือนกับเหล็กสีม่วงอมเขียวหลายเส้นม้วนอยู่บนร่าง

ความเจ็บปวดรวดร้าวทำให้ลู่เซิงเบิกสองตาโพลง ทั่วร่างสั่นสะท้าน เหงื่อไหลหลั่งออกมา ก่อนระเหยไปด้วยความเร็วสูง

กล้ามเนื้อบนขมับสองข้างของเขาพองขึ้นช้าๆ เหมือนกับเขาสองข้างที่โผล่พรวดออกมา

……………………………………….