บทที่ 131 แลกเปลี่ยน (5)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 131 แลกเปลี่ยน (5)
ตูม!

ลู่เซิ่งทุบหมัดใส่พื้น หมัดกระแทกกับแผ่นเหล็กที่ปูไว้อย่างรุนแรง ลวดลายโปร่งใสที่เหมือนจับต้องได้กลุ่มหนึ่งลามไปทั่วสี่ทิศแปดทาง

พื้นยุบลงไปทันที ปรากฏรอยกำปั้นที่ชัดเจน

ครึ่กๆๆ…

ห้องสงบใจพลันสั่นสะเทือน

ก้อนกล้ามเนื้อที่เหมือนเขา งอกขึ้นตรงขมับของลู่เซิ่ง ทั่วทั้งร่างคือกล้ามเนื้อสีเทาดำที่ขยายถึงขีดจำกัด

ฮ่า…!

เขาอ้าปากพ่นไอร้อนกลุ่มหนึ่งออกมา เริ่มยกกำปั้นขึ้นทุบออกไปอย่างคลุ้มคลั่ง

เปรี้ยงๆๆ!

เขาเริ่มทุบพื้น หมัดกระแทกเป็นรอยกำปั้นขนาดไม่เท่ากันบนพื้นเหล็ก การสั่นสะเทือนอันรุนแรงขยายไปหากำแพงรอบๆ พลังถูกกำแพงสะท้อนกลับมาอย่างต่อเนื่อง ชนใส่ตัวเขาเหมือนกับคลื่นน้ำ

แรงดันในห้องสงบใจสูงขึ้นเรื่อยๆ คลื่นกระแทกที่กำปั้นสร้างขึ้นก็หนาขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ผิวร่างลู่เซิ่งเริ่มสั่นครึ่กๆ และบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับในร่างกายมีบางอย่างคิดจะเบียดออกมาไม่หยุด

เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆ!

พริบตานั้น สองหมัดลู่เซิ่งทุบใส่พื้นดุจพายุบุแคม การสั่นสะเทือนอันรุนแรงเชื่อมต่อกัน สะท้อนกลับใส่ร่างเขาอย่างต่อเนื่อง

เปรี้ยง!

ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของเขาพลันหยุดลง

ปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานในที่สุดก็ทนไม่ไหว กระเพื่อมและบีบอัดในร่างกายอย่างรุนแรง หยดของเหลวปราณภายในสีแดงอ่อนที่โปร่งใสแวววาวหยดหนึ่งผนึกรวมตัวกันอย่างน่าอัศจรรย์กลางช่องอก

มีหยดที่หนึ่ง หยดที่สอง หยดที่สาม

ปราณภายในจำนวนมากเหมือนถูกแรงดึงอันมหาศาลเกี่ยวไว้ พริบตาที่หยดของเหลวหยดที่หนึ่งก่อตัวขึ้น ก็เริ่มหมุนด้วยความเร็วสูง รวมตัวกันที่ทรวงอกของลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง เริ่มผนึกรวมหยดที่สอง หยดที่สาม

ปราณภายในควบแน่นเป็นของเหลวทั้งหมดสามหยด เริ่มหมุนวนอย่างช้าๆ กลางทรวงอกของลู่เซิ่ง

“แฮ่ก… แฮ่ก… แฮ่ก…” ลู่เซิ่งหอบหายใจคำโต ไอหมอกสีขาวลอยขึ้นบนร่าง นั่นเป็นเหงื่อที่ซึมออกมาแล้วระเหยไปไม่หยุด

เขารู้สึกว่าร่างกายโหวงหวิว ปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานทั้งหมดผนึกรวมเป็นของเหลวผลึกแวววาวสีแดงอ่อนสามหยด

หนำซ้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ของเหลวจากปราณภายในสามหยดนี้ คล้ายกับอยู่ในสภาพไม่เสถียรตลอดเวลา เหมือนแตะก็อาจระเบิด

‘ของเหลวปราณภายในสามหยด คำนวณจากวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่เราฝึกฝนในตอนนี้ ถ้าไม่ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน ฝึกฝนอย่างหนักด้วยความเร็วปกติ อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองร้อยกว่าปีหรือหลายร้อยปีถึงจะบรรลุวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานระดับแปด’ เขาสัมผัสปริมาณปราณภายในของตัวเอง เทียบกับระดับแปดก่อนหน้า อย่างน้อยแข็งแกร่งกว่าหนึ่งในสามส่วน

‘หมายความว่าปราณเหลวสามหยด อาจจะคำนวณหยาบๆ ได้ว่าเป็นการฝึกปรือสามร้อยปีของวิชาแดงฉานหรือ’ ลู่เซิงค่อยๆ ลุกขึ้น

สายตาเขาอยู่บนเครื่องมือปรับเปลี่ยนสีน้ำเงิน เป็นอย่างที่คาด กรอบวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานแสดงตัวอักษรระดับที่เก้าอย่างสะดุดตา

[วิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน: ระดับเก้า ผลพิเศษ: ระเบิดปราณภายใน เสริมแกร่งตาข่ายโลหิต]

‘ระเบิดปราณภายในหรือ นี่เป็นผลพิเศษอะไร’ ลู่เซิ่งประหลาดใจ ปัจจุบันเขาฝึกวิชาลมปราณมากมาย กอปรด้วยวิชาแข็งกร้าวและวิชากำลังภายใน แยกแยะไม่ออกว่าระดับเก้าของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเรียนรู้จากระบบอะไร ตอนนี้เห็นบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนมีการระเบิดปราณภายในโผล่มา พลันเชื่อมโยงกับปราณเหลวสามหยดในทรวงอก

ปราณเหลวสามหยดนั้นอยู่ในสภาพไม่เสถียรถึงขีดสุด แค่กระตุ้นเล็กน้อย อาจก่อให้เกิดการระเบิดได้

‘ระเบิดปราณภายใน… ปัจจุบันเราอยู่ในสภาพหยางโชติช่วง บรรลุระดับอันสมบูรณ์ของวิชาแข็งกร้าวที่ประสบความสำเร็จ ในสภาพแบบนี้ ยังระเบิดปราณภายในอีก จะเป็นอย่างไร’ ลู่เซิ่งมีความคาดหวังเล็กน้อยในใจ

‘ทดลองดู…’ เขาใช้สำนึกชักนำ แตะปราณเหลวหยดหนึ่งในนี้ด้วยท่าทีทดลอง

ฟุ่บ!

พริบตานั้นสารเหลวหยดนั้นพลันระเหยหาย ลู่เซิ่งตัวสั่น ร่างกายเหมือนขยายขึ้นเท่าหนึ่ง กระดูกสันหลังนูนขึ้น เห็นสภาพเหมือนหนามบนตัวเจี่ยนหลง (สเตโกซอรัส)

‘นี่… นี่คือ…’ พลังอันแข็งกล้าที่ไม่เคยมีมาก่อนสายหนึ่งหมุนวนในร่างลู่เซิ่งไม่หยุด

เขาก้มหน้ายกมือขึ้น เห็นสีดำอมเขียวชั้นหนึ่งปกคลุมชั้นผิวหนัง และผิวชั้นนอกที่เหมือนกับเกราะเกล็ด

หรือต้องบอกว่า เป็นผิวชั้นนอกที่ปกคลุมก่อนหน้าถูกย้อมเป็นสีเทาอมดำ

ฟุ่บ!

ลู่เซิ่งเพียงโบกมือเบาๆ อากาศข้างหน้าเกิดเสียงทึบหนัก คล้ายกับมีของหนักสุดขีดบางอย่างพุ่งผ่านหน้าตนไปพร้อมอากาศ

ลู่เซิ่งยืนในห้องสงบใจ ทั่วร่างเหมือนมีเกราะอ่อนสีดำหนาชั้นหนึ่งห่อหุ้มบนพื้นฐานเดิม ด้านหลังยังมีกล้ามเนื้อคล้ายหนามกระดูกงอกขึ้น ไม่ใช่รูปร่างคนอีกต่อไป หากเหมือนสัตว์ร้ายมารปีศาจบางชนิดมากกว่า

ร่างกายขนาดมหึมาของเขาสูงเกือบสามหมี่ กว้างสองหมี่กว่าๆ มองแต่ไกลเหมือนสัตว์ประหลาดหลังมีหนามสีเทาดำที่กล้ามเนื้อพัฒนาถึงขีดสุด

‘พลัง แข็งแกร่งขึ้นแล้ว… เพียงแต่ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งขนาดไหน คล้ายกับยังมีเวลาจำกัด ถึงจะไม่ชัดเจน แต่สัมผัสได้ว่าปราณภายในกำลังถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่อง’

ลู่เซิ่งสัมผัสอย่างตั้งใจ รู้สึกได้ว่าในร่างกายมีแรงขยายของพลังอันมหาศาลสายหนึ่งบีบอัดกล้ามเนื้อไม่หยุด ทั้งคิดจะพุ่งออกจากร่างกายอย่างคลุ้มคลั่ง

‘ระเบิดปราณภายในหยดเดียวก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว อย่างนั้นถ้าระเบิดสามหยดพร้อมกัน อาจทำให้การต่อสู้จริงของเราแข็งแกร่งถึงขั้นไม่อาจคาดคิด’ ลู่เซิ่งอดมองสารเหลวสองหยดที่เหลืออยู่ไม่ได้

‘ถ้าไม่ระเบิดปราณภายหลัง หลังจากเลื่อนระดับสมควรแข็งแกร่งกว่าระดับตรีลักษณ์ในตอนแรกขั้นหนึ่ง อาจบรรลุระดับจตุลักษณ์ รายละเอียดยังไม่เคยต่อสู้จริง เลยไม่แน่ใจ หลังระเบิดปราณภายใน พลังเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง แม้มีเวลาจำกัด ก็บังเกิดผลพลิกกระดานอย่างเด็ดขาดในเวลาต่อสู้ที่สำคัญ ใช้เป็นไพ่ตายใบที่สองได้’

ลู่เซิ่งความคิดทำงาน ร่างกายที่สูงเกือบสามหมี่หดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไร ก็กลับเป็นรูปลักษณ์ของชายฉกรรจ์หัวล้านทั่วไปที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง สีผิวย่อมกลับเป็นผิวตามปกติเมื่อก่อนหน้าเช่นกัน

ถึงขั้นที่ลู่เซิ่งรู้สึกอย่างรางๆ ได้ว่า ผิวหนังหลังจากกลับมาเป็นแบบเดิมขาวกว่าก่อนหน้า ดูเนียนนุ่มกว่าเดิม คล้ายกับคุณชายที่ชีวิตอยู่ดีกินดี ไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน

‘ว่ากันว่าขอบเขตสูงสุดของวิชาแข็งกร้าวคือหลังจากปีนสู่จุดสุดยอดแล้ว จะคืนหยกสู่ความจริง ทำให้คนมองพลังยุทธ์ไม่ออก บางทีอาจเป็นสถานการณ์ของเราในตอนนี้’ ลู่เซิ่งคาดเดา

‘ต่อจากนี้สมควรหาสถานที่ทดลองผลการระเบิดปราณเหลวสามหยดพร้อมกัน’

ในหุบเขาอันลึกลับ

หน้าผาลาดชันสีเทาน้ำตาล ช่องแสงขนาดใหญ่ล้อมอยู่สี่ด้าน ในช่องแสงเป็นบึงน้ำสีเขียวอ่อน

หอทั่เป็นศาลาพลับพลาสีเทาเงินหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอย่างนิ่งเงียบอยู่บนบึงน้ำ

สิ่งก่อสร้างบริเวณนี้สร้างขึ้นจากหินบางชนิดที่มีสีเทาเงิน ตั้งอยู่กลางน้ำ รอบๆ ไม่มีสะพานที่เชื่อมต่อกับแผ่นดิน

เรือท้องแบนหลายลำแล่นผ่านกลางหอและผาหินอย่างเชื่องช้า ลำเรือสั่นไหวเพราะน้ำตกที่ตกลงมาจากผาหินตลอดเวลา

บนดาดฟ้าที่มีมุมแหลมยื่นออกมา ที่ยอดสูงสุดของหอ บุรุษสตรีหลายคนที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวยืนอยู่

บุรุษคนหนึ่งในนี้มีผมยาวถึงเอว คิ้วตาดุจภาพวาด ผิวเนียนละเอียดแวววาวดั่งเครื่องกระเบื้อง สวมชุดคลุมสีเขียว ตะขอโค้งสองชิ้นยื่นออกมาจากไหล่ เหมือนกับเกราะไหล่

พูดถึงความงดงาม ต่อให้อวี้เหลียนจื่ออยู่นี่ ก็เทียบเคียงกับคนผู้นี้ไม่ได้ ถ้าความงามของอวี้เหลียนจื่อเพริศพริ้งราวสตรี เช่นนั้นความงามของคนผู้นี้ก็เป็นความงามระหว่างสองเพศที่ไม่แบ่งแยกชายหญิง

องคาพยพที่งดงาม ผิวหนังไร้ตำหนิ ผมยาวถึงเอวที่นุ่มสลวยเป็นระเบียบ รวมถึงบุคลิกหมดจดที่อ่อนโยนราวหยก

นี่คือรองผู้นำพันธมิตรบู๊ ฉินอู๋เมี่ยน สามารถนำมนุษย์และตระกูลขุนนางที่ตกยากมาอยู่ด้วยกันเป็นขุมกำลัง และคัดง้างกับจวนอู๋โยวมาหลายปีได้ เสน่ห์กับส่วนที่เหนือธรรมดาของฉินอู๋เมี่ยนไม่มีอะไรต้องสงสัย

หลี่ซุ่นซีสวมเสื้อคลุมเขียว ยืนอยู่ในหมู่คนด้านหลังฉินอู๋เมี่ยน มองดูบุรุษรูปงามซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำสูงสุดของพันธมิตรบู๊อันลึกลับ

“หมายความว่า ประมุขพรรควาฬแดงผู้นั้นตอบรับการแลกเปลี่ยนกับพวกเราใช่หรือไม่ อีกทั้งยังนัดแนะสถานที่และเวลาไว้แล้วด้วย” ฉินอู๋เมี่ยนหันกลับมา ถามเสียงอ่อนโยน

หลี่ซุ่นซีพยักหน้า

“ขอรับ พี่ลู่ตอบรับว่าจะสนับสนุนอาหารให้พวกเราอย่างเต็มใจยิ่ง เพียงแต่หวังว่าจะใช้วิชาระดับสำนึกปลอดโปร่งแลกเปลี่ยนได้”

“การแลกเปลี่ยนยุติธรรม สมเหตุสมผลดี” ฉินอู๋เมี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ถึงอย่างไรพันธมิตรบู๊ของเราอย่างอื่นมีไม่เยอะ วรยุทธ์กลับมีมากพอ ในเมื่อประมุขพรรคลู่ผู้นั้นเคยคบหากับซุ่นซี ทั้งไม่ปฏิเสธที่จะติดต่อกับพวกเรา มีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาในระยะยาวหรือไม่”

หลี่ซุ่นซีหวนนึกถึงนิสัยของลู่เซิ่ง ส่ายหน้าพลางยิ้มฝาด “เกรงว่าจะไม่ได้ สหายท่านนี้ของข้ามีนิสัยพึ่งพาตัวเอง เวลาทำอะไรส่วนใหญ่จะเกรี้ยวกราด เชื่อมั่นเพียงพลัง แม้ข้าจะคบหากับเขาไม่นาน แต่ก็มองนิสัยของเขาออก จากเรื่องไม่กี่เรื่องนี้ พี่ลู่กระทำเรื่องราวใด จะกล้าหาญละเอียดอ่อน ก้าวหน้าอย่างองอาจ เหมือนใจร้อน แต่ทุกๆ การลงมือจะต้องมีความมั่นใจค่อนข้างมาก มีแต่ตอนที่ตัดสินใจว่าใช้แข็งชนะอ่อนได้ ค่อยเคลื่อนไหวอย่างเหี้ยมหาญ ไม่อย่างนั้นส่วนใหญ่จะหยั่งเชิงอดทนเป็นหลัก”

ฉินอู๋เมี่ยนพยักหน้าอย่างชื่นชม

“เป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ วีรบุรุษเช่นนี้เข้าร่วมพันธมิตรบู๊ของพวกเราไม่ได้ เป็นความน่าเสียดายอย่างใหญ่หลวงโดยแท้”

“ท่านผู้นำท่านยังไม่ได้ยืนยันว่าเขาเป็นสายเลือดตระกูลโลหิตหรือไม่ ก็คิดจะดึงตัวเข้าพันธมิตรแล้ว” อีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างตัวหลี่ซุ่นซีอดเอ่ยอย่างจนใจไม่ได้ “ตามความเห็นของข้า ประมุขพรรคลู่ผู้นี้ในเมื่อเป็นสายเลือดตระกูลขุนนาง ขณะเดียวกันยังเป็นบริวารตระกูลซั่งหยาง อย่างมากสุดเพียงร่วมมือแลกเปลี่ยนกับพวกเราในทางลับ อย่าฝันว่าจะเข้าร่วมจริงๆ”

“พี่ใหญ่เฉินพูดไม่ผิด” หลี่ซุ่นซีพยักหน้าเห็นด้วย “คนของตระกูลขุนนางสำนักใบไม้ที่มีท่าทีเป็นมิตรกับปุถุชนคนทั่วไปในพันธมิตรบู๊ก็มีน้อยอยู่ดี ตระกูลขุนนางส่วนใหญ่เสพสุขกับอำนาจพิเศษที่ได้มาจากการที่สำนักโลหิตปกครองคนธรรมดา พวกเขาอยู่สูงส่งจนชิน ถ้าจะให้พวกเขาละวางอคติอยู่ร่วมกับมนุษย์ปุถุชนอย่างสันติ ไม่ใช้พลังทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมดทิ้ง ก็ไม่อาจกลายเป็นจริง”

“ซุ่นซีพูดมีเหตุผล เขามาจากตระกูลใหญ่ของต้าซ่ง ย่อมมองสถานการณ์มากมายออก ขุมกำลังมารปีศาจอย่างจวนอู๋โยวกุมอำนาจในตำแหน่งสูงได้อย่างเปิดเผย พวกตระกูลขุนนางฝ่ายโลหิตยังมีเรื่องใดทำไม่ได้” พี่ใหญ่เฉินผู้นั้นกำหมัดกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“โอกาสมีอยู่เสมอ” ฉินอู๋เมี่ยนส่ายหน้าเบาๆ “เที่ยวนี้ซุ่นซีเจ้าได้พบผู้อาวุโสของพันธมิตรบู๊ในพรรควาฬแดงผู้นั้นหรือไม่”

หลี่ซุ่นซีพยักหน้าเล็กน้อย “ไปพบแล้ว ผู้อาวุโสท่านนั้นไม่ได้พูดกับข้า เพียงมอบกระบอกทรงกลมอันหนึ่งให้ บอกว่ากลับมาค่อยเปิดดู”

เขาค่อยๆ หยิบกระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากในแขนเสื้อ แล้วส่งให้ฉินอู๋เมี่ยน

……………………………………….